tag:blogger.com,1999:blog-2607956776384828731.post5673996552672991831..comments2024-03-29T17:41:39.830+07:00Comments on Learn with Prin เรียนรู้ไปพร้อมกับน้องปริญญ์: ริดสีดวงทวาร...กับการตั้งครรภ์ prinkotakoon.blogspot.comhttp://www.blogger.com/profile/14705723465727610769noreply@blogger.comBlogger7125tag:blogger.com,1999:blog-2607956776384828731.post-58168753255544730642013-02-12T21:53:11.100+07:002013-02-12T21:53:11.100+07:00ไขข้อข้องใจ เรื่องริดสีดวงทวาร
อยากรู้ไหมว่า โ...ไขข้อข้องใจ เรื่องริดสีดวงทวาร <br /><br /><br /><br />อยากรู้ไหมว่า โรคริดสีดวงทวารมีกี่ชนิด และการรักษามีกี่วิธี แล้ววิธีไหนได้ผลดีที่สุด...นพ.วรุตม์ โล่สิริวัฒน์ จะมาให้คำตอบเกี่ยวกับโรคริดสีดวงทวารค่ะ<br /><br /> สำหรับโรคริดสีดวงทวาร เป็นโรคที่พบบ่อย อาการส่วนใหญ่ของริดสีดวงทวาร คือ ถ่ายอุจจาระเป็นเลือดแดงสด หรือมีก้อนโผล่ขณะถ่ายอุจจาระ การกินอาหารที่มีกากใยน้อย อาหารรสจัด หรือดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ อาจกระตุ้นอาการของริดสีดวงทวารให้เป็นมากขึ้นได้ แต่ไม่ใช่สาเหตุโดยตรง<br /><br />การรักษาโรคริดสีดวงทวารขึ้นอยู่กับชนิด และระยะของโรค<br /><br /> หากเป็นริดสีดวงทวารระยะแรก หัวยังอยู่ภายใน ไม่เจ็บ แต่จะมีเลือดออกได้<br /><br /> ระยะที่ 2 จะมีหัวริดสีดวงยื่นออกมาจากปากทวารเมื่อถ่ายอุจจาระ แต่จะหดกลับเข้าไปเองได้<br /><br /> ริดสีดวงทวารทั้ง 2 ระยะนี้ สามารถรักษาโดยให้ยากิน หรือยาเหน็บทางทวารหนัก ร่วมกับการปรับพฤติกรรมของผู้ป่วย และอาจพิจารณาการรัดหัวริดสีดวงทวารด้วยยาง หรือฉีดยาเข้าไปในตำแหน่งริดสีดวงทวารที่เลือดออก<br /><br /> ระยะที่ 3 และ 4 ริดสีดวงทวารใหญ่มากเกินกว่าจะกลับเข้าไปเอง ต้องรักษาด้วยการผ่าตัดเท่านั้น<br /><br /><br />สำหรับการผ่าตัดจะขึ้นกับจำนวนและชนิดของริดสีดวงทวาร รวมทั้งความชำนาญของศัลยแพทย์ เช่น ริดสีดวง 1-2 ตำแหน่ง อาจใช้อุปกรณ์พิเศษช่วยในการตัดริดสีดวงทวาร โดยไม่ต้องใช้ไหมเย็บแผล แต่ถ้าริดสีดวงทวาร 3 ตำแหน่งขึ้นไป อาจใช้เครื่องมือตัดต่อเยื่อบุลำไส้ชนิดกลม โดยการตัดและเย็บนี้จะเกิดตามแนวเส้นรอบวงของช่องทวารหนัก ทำให้สามารถตัดหัวริดสีดวงออกได้ทุกหัว และไม่ทำให้รูทวารหนักแคบลง อีกทั้งแนวการเย็บแผลอยู่สูงกว่าปากทวารหนัก ผู้ป่วยจะไม่แผลภายนอกเลย รวมถึงเจ็บปวดก้นหลังผ่าตัดน้อย<br /><br /> ทั้งนี้ แพทย์จะเป็นผู้พิจารณาตามความเหมาะสม เนื่องจากการผ่าตัดแบบใหม่นี้มีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง และอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนได้ หากไม่ใช่แพทย์ผู้เชี่ยวชาญโดยตรง<br /><br /> ส่วนวิธีป้องกันโรคริดสีดวงทวารนั้น ควรกินอาหารที่มีกากใยมากขึ้น ดื่มน้ำวันละ 8-10 แก้ว ลดอาหารประเภทไขมัน ออกกำลังกายสม่ำเสมอ และหลีกเลี่ยงการเบ่งอุจจาระนาน ๆ หรือนั่งอ่านหนังสือในขณะขับถ่าย<br /><br /><br /><br /><br /><br />.<br /><br /><br />prinkotakoon.blogspot.comhttps://www.blogger.com/profile/14705723465727610769noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-2607956776384828731.post-75153355404629490652013-02-12T21:51:44.061+07:002013-02-12T21:51:44.061+07:008 วิธีป้องกันริดสีดวงทวาร-10 วิธีบรรเทาอาการ
...8 วิธีป้องกันริดสีดวงทวาร-10 วิธีบรรเทาอาการ <br /><br /><br /><br /><br />...ต่อ...<br /><br /><br /><br />วิธีบรรเทาอาการริดสีดวงทวาร, เรื่องที่ท่านควรรู้ คือ ริดสีดวงทวารส่วนใหญ่คล้ายเส้นเลือดขอดที่ขา, ถึงไม่หายก็ควรใส่ใจ และทำใจ (อย่างน้อยควรรู้ว่า คนอื่นก็เป็นโรคนี้ประมาณ 3.2% - ท่านไม่ได้เป็นโรคนี้คนเดียว มีเพื่อนร่วมทุกข์มากมาย) เพื่อให้อยู่กับมันให้ได้ <br /><br />.<br /> <br />(1). ล้างก้นด้วยน้ำ หรือกระดาษทิชชูเปียก เช่น ทิชชูที่ใช้เช็ดอุจจาระเด็ก ฯลฯ ปลอดภัยกว่ากระดาษชำระ เนื่องจากกระดาษชำระอาจครูดริดสีดวงทวาร (เส้นเลือดขอด โป่งพอง) ทำให้เกิดแผล ตกเลือดได้<br /> <br />.<br /> <br />(2). อาบน้ำด้วยสบู่อ่อน เช่น สบู่เด็ก สบู่เหลว ฯลฯ หลีกเลี่ยงสบู่ที่ผสมสีหรือกลิ่น และฝึกนิสัย "ไม่ล้างก้นด้วยสบู่", ล้างด้วยน้ำเปล่าปลอดภัยกว่า เพื่อป้องกันริดสีดวงทวารระคายเคือง เกิดอาการคัน ซึ่งจะตกเลือดได้ง่ายถ้าเกา<br /> <br />.<br /> <br />(3). การประคบเย็น เช่น ใช้ถุงพลาสติกใส่น้ำปนน้ำแข็ง ฯลฯ 10 นาที แล้วตามด้วยการประคบร้อนด้วยถุงพลาสติกใส่น้ำอุ่น 10-20 นาที อาจช่วยบรรเทาอาการปวดจากเลือดคั่งได้ในบางคน<br /> <br />.<br /> <br />(4). นั่งแช่น้ำอุ่น (อย่าใช้น้ำร้อน หรือน้ำอุ่นจัด) ในกาละมังเล็ก (sitz bath) 15 นาที เช้า-เย็น หรือบ่อยกว่านั้น, ทดสอบก่อนแช่ว่า น้ำไม่ร้อนเกินไป โดยใช้หลังมือแตะน้ำเบาๆ ก่อนทุกครั้ง, หลังแช่ให้ล้างมือด้วยสบู่<br /> <br />.<br /> <br />(5). ช่วงที่มีอาการปวด หรือตกเลือดบ่อย โดยเฉพาะในคนตั้งครรภ์ ควรนอนตะแคงเป็นพักๆ ใช้หมอนเตี้ยรองเอว ให้ทวารหนักอยู่ในระดับสูงกว่าหัวใจ เพื่อลดเลือดคั่ง<br /> <br />.<br /> <br />(6). หลีกเลี่ยงการยกของหนัก และไม่เบ่งในช่วงที่ตกเลือดหรือปวด<br /> <br />.<br /> <br />(7). ใช้หมอน หรือของอ่อนนุ่มรองก่อนนั่ง ในช่วงที่ตกเลือดหรือปวด (เบาะรองนั่งที่ดีและแพงสุดๆ ดูจะเป็นชนิดทำด้วยเจล)<br /> <br />.<br /> <br />(8). ไม่สวมเสื้อผ้าคับ เช่น กางเกงยีนส์ ฯลฯ, ใช้ชุดชั้นในทำจากผ้าฝ้าย เพื่อป้องกันการระคายเคือง และอับชื้น, ผู้หญิงอาจสวมผ้าถุง ผู้ชายอาจใช้กางเกงขาสั้นแทนกางเกงใน<br /> <br />.<br /> <br />(9). ปรึกษาหมอใกล้บ้าน ซึ่งถ้าได้รับคำแนะนำให้ใช้ยาเหน็บ ควรนอนตะแคง สอดยาเข้าไป ยาจะละลาย ให้นอนต่อ 5-10 นาที นอนพลิกไปข้างตรงข้าม แล้วนอนต่อ 5 นาที (ถ้าเหน็บก่อนนอน จะหลับไปเลยก็ได้)<br /> <br />.<br /> <br />ระวังการใช้ยาเหน็บที่มีสารออกฤทธิ์สเตอรอยด์ (steroid - สารกดการอักเสบ) ติดต่อกันนานเกิน 2 สัปดาห์ เนื่องจากอาจทำให้ผิวหนังรอบทวารหนักบางลง ระคายเคือง คัน หรือเป็นแผลได้ง่ายขึ้น ยกเว้นหมอที่ดูแลท่านแนะนำ<br /> <br />.<br /> <br />(10). ยาทาทำจากวาสลีน (petroleum jelly) หรือที่ดีมาก คือ ครีมสังกะสี (zinc oxide paste/ซิ้งก์ เพสท์) ใช้ทาริดสีดวงทวาร เพื่อลดการเสียดสี ระคายเคือง อาการคันได้<br /> <br /><br /><br /><br /><br />....<br /><br /><br /><br /><br />prinkotakoon.blogspot.comhttps://www.blogger.com/profile/14705723465727610769noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-2607956776384828731.post-49458101019925000182013-02-12T21:50:32.462+07:002013-02-12T21:50:32.462+07:008 วิธีป้องกันริดสีดวงทวาร-10 วิธีบรรเทาอาการ
ริ...8 วิธีป้องกันริดสีดวงทวาร-10 วิธีบรรเทาอาการ <br /><br /><br />ริดสีดวงทวารตรงกับศัพท์ภาษาอังกฤษว่า 'hemorrhoids', เป็นภาวะที่หลอดเลือดในทวารหนักโป่งพอง หรือยื่นออกมาจากผนังทวารหนักส่วนล่าง ส่วนที่ยื่นเป็นผนังหลอดเลือดดำที่โป่งพอง คล้ายเส้นเลือดขอดที่ขา<br /> <br />.<br /> <br />คนอเมริกัน 313 ล้านคน เป็นริดสีดวงทวารหนัก 10 ล้านคน = 3.2% (100 คนพบเป็นริดสีดวงทวาร 3 คน) หรือถ้าพบคนอเมริกัน 31 คน จะพบคนเป็นริดสีดวงทวาร 1 คน<br /> <br />.<br /> <br />ถ้าคนไทยเป็นริดสีดวงทวารเท่าคนอเมริกัน > 67.09 ล้านคน จะพบคนเป็นโรคนี้ 2.16 ล้านคน [ webmd ]; [ doctoroz ]; [ census ]; [ CIA ]; [ หมอชาวบ้าน ]<br /> •[ hemorrhoid ] > [ เฮ้ม - เหมาะ - หร่อย - d/ดึ(เสียงเบา) ] > http://www.thefreedictionary.com/hemorrhoid > noun = ริดสีดวงทวาร; ศัพท์เดิมมาจาก 'blood (hemor-) + flow (-rhoid) = blood flow = การไหลของเลือด เลือดไหล<br /> •[ piles ] > [ พ้าย - เอ่า - s/สี (เสียงเบา) ] > http://www.thefreedictionary.com/piles > noun = ริดสีดวงทวาร; ศัพท์เดิมมาจากภาษาละติน = ball = ก้อนกลมๆ ก้อนริดสีดวงทวาร<br /> •นิยมใช้ 'hemorrhoids' & 'piles' รูปพหูพจน์ - เติม 's' เข้าใจว่า ริดสีดวงทวารส่วนใหญ่มีหลายหัว<br /> <br /><br /><br />.<br /> <br />วิธีป้องกันริดสีดวงทวารที่สำคัญได้แก่ การป้องกันท้องผูก และป้องกันแรงดันในช่องท้องไม่ให้สูงมากหรือสูงนาน เนื่องจากแรงดันในช่องท้องที่สูงขึ้นจะทำให้เลือดดำคั่งในทวารหนักส่วนล่าง และอาจยื่นออกมาพ้นแนวทวารหนัก ซึ่งจะทำให้เลือดคั่งมากขึ้นไปอีก<br /> <br />.<br /> <br />(1). กินอาหารที่มีเส้นใยหรือไฟเบอร์ให้มากพอทุกวัน โดยเฉพาะเส้นใยจากธัญพืช หรือข้าว<br /> <br />.<br /> <br />เปลี่ยนข้าวขาวเป็นข้าวกล้อง เปลี่ยนขนมปังขาวเป็นขนมปังเติมรำ (โฮลวีท), กินผัก ผลไม้ที่ไม่หวานจัดทั้งผล ถั่ว เมล็ดพืช<br /> <br />.<br /> <br />การกินเส้นใยเสริม เช่น เมทามิวซิว (Metamucil) ฯลฯ พร้อมกับน้ำ, การกินลูกพรุน มีส่วนช่วยป้องกันท้องผูกได้, คนสูงอายุที่ท้องผูกบ่อยอาจดื่มน้ำมะขามช่วยระบาย ซึ่งไม่ควรกินบ่อยกว่า 3 วัน/ครั้ง เพื่อป้องกันการดื้อยา (กินแล้วไม่กระตุ้นการถ่าย)<br /> <br />.<br /> <br />(2). ดื่มน้ำให้มากพอ โดยดื่มน้ำ 1-2 แก้วหลังบ้วนปากตอนตื่นนอน และดื่มน้ำทุกๆ 1/2-1 ชั่วโมงตอนกลางวัน, กลางคืนควรดื่มน้ำให้น้อยลง เพื่อป้องกันการปวดปัสสาวะตอนนอน ซึ่งอาจทำให้ฝันร้าย นอนหลับไม่สนิท หรือต้องลุกขึ้นมาปัสสาวะ<br /> <br />.<br /> <br />สังเกตสีปัสสาวะ... ถ้าเหลืองเข้ม หรือปัสสาวะน้อยกว่า 2 ชั่วโมง/ครั้ง แสดงว่า ดื่มน้ำไม่พอ, ถ้าปัสสาวะบ่อยกว่า 1 ชั่วโมง/ครั้ง แสดงว่า ดื่มน้ำมากเกินไป<br /> <br />.<br /> <br />(3). ออกแรง-ออกกำลังทุกวัน, การออกกำลังหนัก เช่น วิ่ง ฯลฯ ป้องกันท้องผูกได้ดีกว่าการออกกำลังแรงปานกลางหรือเบา, การออกกำลังต่อเนื่อง 10 นาทีขึ้นไปป้องกันท้องผูกได้ดีกว่าการออกกำลังสั้นกว่า 10 นาที <br /> <br />.<br /> <br />คนทั่วไปออกกำลังหนัก เช่น วิ่งเร็วหน่อย ฯลฯ 20 นาที 3 ครั้ง/สัปดาห์, หรือแรงปานกลาง เช่น เดินเร็วมากๆ ฯลฯ 30 นาที 5 ครั้ง/สัปดาห์ก็พอ ทว่า... ถ้าไม่ออกกำลังหนัก, คนที่ท้องผูกง่ายมีแนวโน้มจะต้องออกกำลังแรงปานกลางให้นานหรือบ่อยกว่านั้น จึงจะป้องกันท้องผูกได้ดี<br /> <br />.<br /> <br />(4). ถ่ายให้ตรงเวลา ถ่ายทันทีที่ปวดอุจจาระ ไม่รีบเร่ง และไม่เบ่ง, การเบ่งเพิ่มแรงดันในช่องท้อง เพิ่มเสี่ยงเลือดคั่งในทวารหนัก เสี่ยงหลอดเลือดโป่งออกมาเป็นริดสีดวงทวาร <br /><br />.<br /> <br />โถส้วมแบบนั่งยองช่วยให้ถ่ายง่าย ทว่า... อาจทำให้ทวารหนักเคลื่อนลงมาต่ำกว่าปกติ เพิ่มเสี่ยงเลือดคั่งได้ในคนที่กล้ามเนื้อเชิงกรานหย่อน, การเสริมที่นั่งถ่ายให้สูงขึ้น โดยใช้เก้าอี้เจาะรูใหญ่ตรงกลาง หรือแผ่นรองที่ก้นอาจช่วยแก้ปัญหานี้ได้ (กรณีที่ส้วมเป็นแบบนั่งยอง)<br /> <br />.<br /> <br />(5). ฝึกนิสัยไม่เบ่งตอนถ่าย และไม่กลั้นหายใจตอนถ่าย เพื่อป้องกันความดันในช่องท้องสูงขึ้น (เพิ่มเสี่ยงเลือดคั่ง), เวลายกของ-ออกกำลัง เช่น ยกน้ำหนัก ฯลฯ ควรหายใจออก หรือฝึกไม่กลั้นหายใจ เพื่อป้องกันความดันเลือด-ความดันช่องท้องสูงขึ้น<br /> <br />.<br /> <br />(6). ฝึกไม่อ่านหนังสือตอนถ่าย (ถ้าติดนิสัย... ให้ฝึกดูภาพประกอบ ไม่อ่าน) เพื่อป้องกันการนั่งนาน (นั่งนานเพิ่มแรงดัน เพิ่มเสี่ยงเลือดในทวารหนักคั่ง)<br /> <br />.<br /> <br />(7). ฝึกไม่นั่งนานหรือยืนนานเกิน 1-2 ชั่วโมง/ครั้ง, การนั่งหรือยืนนานเพิ่มเสี่ยงเลือดในทวารหนักคั่ง, ให้เดินเร็วๆ สลับบ่อยๆ หรือลุกขึ้นยืนสลับนั่งเป็นระยะๆ<br /> <br />.<br /> <br />(8). ท่านที่ตั้งครรภ์, ควรฝึกนอนตะแคง เพื่อป้องกันน้ำหนักจากเด็ก-รก-น้ำคร่ำกดหลอดเลือดดำในช่องท้อง หลีกเลี่ยงท่านอนหงาย ซึ่งจะทำให้ในทวารหนักคั่งได้ง่าย<br /> <br /><br /><br /><br />.....prinkotakoon.blogspot.comhttps://www.blogger.com/profile/14705723465727610769noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-2607956776384828731.post-57420455823907679452013-02-12T21:48:21.174+07:002013-02-12T21:48:21.174+07:00ริดสีดวงทวาร Haemorrhoids
...ต่อ...
...ริดสีดวงทวาร Haemorrhoids <br /><br /><br /><br /><br /><br />...ต่อ...<br /><br /><br /><br /><br /><br /><br />อาการของโรคริดสีดวงทวาร <br />• มีก้อนเนื้อปลิ้นจากภายในขณะเบ่งถ่ายอุจจาระ และยุบกลับเข้าไปเมื่อหยุดเบ่ง เมื่อเป็นมากต้องดันจึงจะกลับเข้าไป และขั้นสุดท้ายอาจย้อยอยู่ภายนอกตลอดเวลา<br />• มีเลือดแดงสดหยดออกมา หรือพุ่งออกมาขณะเบ่งถ่าย หรือหลังถ่ายอุจจาระจำนวนแต่ละครั้งไม่มากนัก ไม่มีอาการปวด หรือแสบขอบทวาร หรือพบเลือดบนกระดาษชำระ เลือดที่ออกจะไม่ปนกับอุจจาระไม่มีมูก และมักหยุดได้เอง อาการเหล่านี้จะเป็นๆหายๆ<br />•เมื่อเป็นมาก หลอดเลือดจะบวมมาก รวมทั้งเนื้อเยื่อเกี่ยวพันรอบหลอดเลือดจะบวมออกมาถึงปากทวารหนัก เห็นเป็นก้อนเนื้อนิ่ม ปลิ้นโผล่ออกมานอกทวารหนัก ซึ่งในภาวะเช่นนี้ จะก่ออาการเจ็บปวดได้<br />•นอกจากอาการดังกล่าวแล้วผู้ป่วยบางรายอาจจะมีอาการคันรอบทวารหนัก<br />•อาจจะมาด้วยอาการมีมูกหลังจากถ่ายอุจาระ<br />•เมื่อมีลิ่มเลือดเกิดในริดสีดวงที่โป่งพองจะก่ออาการปวด เจ็บ บวม และก่ออาการระคายเคืองบริเวณรอบปากทวารหนัก และอาการคัน แต่มักไม่ค่อยพบมีเลือดออกจากติ่งเนื้อนี้<br /><br />1. การวินิจฉัยริดสีดวงทวาร <br /><br />หลักการวินิจฉัยที่สำคัญ<br />• คือ การแยกโรคออกจากโรคอื่น ๆเช่นโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งทวารหนัก<br />• ตรวจดูขอบทวารหนัก ส่วนใหญ่จะปกติ หรือ อาจเห็นริดสีดวงทวารหนักยื่นออกมา<br />• การตรวจทวารหนักด้วยนิ้วมือ (PR) ไม่ช่วยวินิจฉัยริดสีดวงทวารหนัก แต่ช่วยตรวจแยกโรคอื่น ๆ ที่มีอาการคล้ายริดสีดวงทวารหนัก โดยเฉพาะก้อนหรือแผลบริเวณทวารหนักหรือภายใน rectum<br />•การตรวจด้วยส่องดูทวารหนัก anoscope จะตรวจพบหัวริดสีดวงภายในได้ชัดเจน ควรทำเสมอเพื่อการวินิจฉัยโรคที่แน่นอน<br />•การตรวจด้วยส่องด้วยกล้อง sigmoidoscope ควรทำในรายที่มีอายุมาก และจำเป็นต้องทำถ้ามีประวัติขับถ่ายผิดปกติเรื้อรัง หรือถ่ายเป็นมูก ปนเลือด หรือคลำก้อนได้ภายในทวารหนัก <br />•การส่งตรวจด้วยสวนสี x-ray ลำไส้ใหญ่ barium enema หรือการส่องกล้องดูลำไส้ใหญ่ colonoscopy ใช้ตรวจในกรณีทีอาการไม่ชัดเจนว่าเป็นโรคอะไรหรือมีอาการอื่น ๆ รวมทั้งตรวจในผู้ป่วยสูงอายุ <br />•การตรวจร่างกายตามปกติ <br /><br />จะต้องรายงานแพทย์ทุกครั้งหากมีอาการดังต่อไปนี้<br />•น้ำหนัดลงชัดเจน<br />•ระบบขับถ่ายผิดปกติ เช่นท้องผูกสลับกับท้องผู้ก<br />•มีการเปลี่ยนแปลงของสีอุจาระ<br />•อุจาระมีเลือดปน<br />•พบมูกในอุจาระ<br /><br /><br /><br /><br />.prinkotakoon.blogspot.comhttps://www.blogger.com/profile/14705723465727610769noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-2607956776384828731.post-91974887935563109162013-02-12T21:47:39.768+07:002013-02-12T21:47:39.768+07:00ริดสีดวงทวาร Haemorrhoids
ริดสีดวงทวารคือการ...ริดสีดวงทวาร Haemorrhoids <br /><br /><br /><br /><br />ริดสีดวงทวารคือการที่หลอดเลือดที่ปลายลำไส้ใหญ่ และทวารหนักมีการบวมโป่งพอง และมีหลอดเลือดบางส่วนยื่นออกจากทวารหนัก<br /><br />โครงสร้างทวารหนัก<br /><br /><br /><br /><br /><br /><br />ภายในทวารหนัก (ทวารหนักอยู่ต่อจากลำไส้ใหญ่ตอนล่าง สุด เป็นลำไส้ใหญ่ส่วนที่ต่อกับทวารหนัก) จะมีแนวเส้นที่เรียกว่า เส้นเด็นเทท หรือเส้นเพ็กทิเนท (Dentate line หรือ Pectinate line) ซึ่งเป็นเส้นแบ่งทวารหนักออกเป็นส่วนล่างและส่วน บน ทั้งนี้เมื่อเกิดริดสีดวงทวารในส่วนที่อยู่ใต้ต่อเส้นเด็นเทท เรียกว่า “โรคริดสีดวงภายนอก(External hemorrhoids)” และเมื่อเกิดริดสีดวงทวารเหนือต่อเส้นเด็นเทท เรียกว่า “โรคริดสี ดวงภายใน (Internal hemorrhoids)”<br /><br /> โรดริดสีดวงทวารเป็นโรคที่พบได้บ่อย โดยมีอาการทางทวารหนักที่สำคัญคือเลือดออกขณะและหลังถ่ายอุจจาระ และติ่งเนื้อขอบทวาร อาการในระยะแรกมักเป็น ๆ หาย ๆ ไม่รุนแรง ผู้ที่มีการดำเนินโรคมากขึ้นเรื่อย ๆ มีไม่มากนักและมักกินเวลานานหลายปีก่อนจะถึงระดับที่รุนแรง ริดสีดวงแบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ<br /><br /> ริดสีดวงภายใน<br /><br /> คือ การที่เนื้อเยื่อของทวารหนัก ที่อยู่สูงกว่าdentate line เลื่อนตัวลงมาทางปากทวารหนักทำให้เกิดอาการเลือดออกขณะถ่ายอุจจาระ หรือยื่นออกมาจากขอบทวารหนัก <br /><br /> ริดสีดวงภายนอก <br /><br />คือเนื้อเยื่อที่อยู่ใต้ dentate line ยืดออกเป็นติ่งเนื้อ<br /><br />ริดสีดวงภายในแบ่งตามความรุนแรงเป็น 4 ระยะ คือ <br />• ระยะที่ 1 ริดสีดวงอยู่เหนือ dentate line และไม่ยื่นออกมานอกขอบทวาร<br />• ระยะที่ 2 ริดสีดวงยื่นออกมานอกขอบทวาร ขณะถ่ายอุจจาระและเลื่อนกลับเข้าไปในทวารหนัก หลังถ่ายอุจจาระ<br />• ระยะที่ 3 ริดสีดวงยื่นออกนอกขอบทวาร ขณะถ่ายอุจจาระ และหลังถ่ายอุจจาระต้องดันกลับเข้าไปในทวารหนัก<br />•ระยะที่ 4 ริดสีดวงยื่นออกนอกทวารหนักตลอดเวลา<br /><br /> ริดสีดวงทวารภายในและภายนอกจะเกิดร่วมกันได้บ่อยครั้ง การดูแลรักษาพิจารณาจากชนิด และ ความรุนแรงของโรค ทั้งนี้การรักษามุ่งเพื่อบรรเทาอาการ และไม่จำเป็นต้องขจัดหัวริดสีดวงทวารที่มีอยู่ทั้งหมด<br /><br />สาเหตุของริดสีดวงทวาร<br /><br />เกิดจากการที่หลอดเลือดดำหรือเนื้อเยื่อรอบทวารมีความดันสูงทำให้หลอดเลือดมีการโป่งพองออก โดยเฉพาะเมื่อเวลาเบ่งอุจาระ<br /><br />ผู้ที่เสี่ยงสูงต่อการเกิดริดสีดวงทวาร<br />•ท้องผูก การนั่งแช่นานๆ รวมทั้งนั่งถ่ายอุจจาระนานๆ ทำให้ต้องเบ่งอุจจาระเป็นประจำ แรงเบ่งจะเพิ่มความดัน และ/หรือการบาดเจ็บในกลุ่มเนื้อเยื่อหลอดเลือด ส่งผลให้หลอดเลือดโป่งพอง หรือหลอดเลือดขอดได้ง่าย<br />•ท้องเสียเรื้อรัง การอุจจาระบ่อยๆจะเพิ่มความดัน และ/หรือการบาดเจ็บต่อกลุ่มเนื้อเยื่อหลอดเลือด เช่นกัน<br />•อายุ ผู้สูงอายุจะมีการเสื่อมของเนื้อเยื่อต่างๆรอบหลอดเลือด รวมทั้งของกลุ่มเนื้อเยื่อหลอดเลือด หลอดเลือดจึงโป่งพองได้ง่าย<br />•การตั้งครรภ์ เพราะน้ำหนักของครรภ์จะกดทับลงบนกลุ่มเนื้อเยื่อหลอดเลือด จึงเกิดหลอดเลือดบวมพองได้ง่าย<br />•โรคอ้วนและน้ำหนักตัวเกิน ส่งผลให้เพิ่มแรงดันในช่องท้องและในอุ้งเชิงกรานสูงขึ้น เช่นเดียวกับในหญิงตั้งครรภ์<br />•การมีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนัก จึงเกิดการกดเบียดทับ/บาดเจ็บต่อกลุ่มเนื้อเยื่อหลอดเลือดส่วนนี้เรื้อรัง จึงมีเลือดคั่งในหลอดเลือด เกิดโป่งพองได้ง่าย<br />•โรคแต่กำเนิดที่ไม่มีลิ้นปิดเปิด (Valve) ในหลอดเลือดดำในเนื้อเยื่อหลอดเลือดซึ่งช่วยในการไหลเวียนเลือด จึงเกิดภาวะเลือดคั่งในหลอดเลือด จึงเกิดหลอดเลือดโป่งพองง่าย<br />•อาจจากพันธุกรรม เพราะพบโรคได้สูงกว่า เมื่อครอบครัวมีประวัติเป็นโรคริดสีดวงทวาร<br /><br /><br /><br /><br />...prinkotakoon.blogspot.comhttps://www.blogger.com/profile/14705723465727610769noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-2607956776384828731.post-44818345846796190502013-02-12T21:45:49.776+07:002013-02-12T21:45:49.776+07:00ริดสีดวงทวาร
...ต่อ...
อาการของโรคริดสี...ริดสีดวงทวาร <br /><br /><br />...ต่อ...<br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br />อาการของโรคริดสีดวง มีอะไรบ้าง? <br />อาการของโรคนี้ที่มีพบแพทย์ มี 3 อาการ <br />1.ถ่ายอุจจาระเป็นเลือดสด <br />ลักษณะจะเป็นดังนี้คือ จะถ่ายอุจจาระออกมาก่อน ( ระหว่างถ่ายอาจจะเจ็บหรือไม่ก็ได้) จากนั้นจะมีเลือดสดๆ <br />หยดออกมา ตามหลังจากอุจจาระ เลือดจะเป็นเลือดสดจริงๆ มักไม่มีมูกเลือดปน<br />2.มีก้อนออกมาระหว่างถ่ายอุจจาระ <br />ขณะที่เบ่งอุจจาระ จะมีก้อนยื่นออกมา หรือ มีก้อนออกมาตลอดเวลา ขึ้นกับ ระยะที่เป็น<br />3.เจ็บบริเวณ ทวารหนัก <br />ปกติ ริดสีดวงจะไม่เจ็บ จะเจ็บในกรณีที่มีภาวะแทรกซ้อน เช่น เส้นเลือดอุดตัน(Thrombosis) <br />หรือ มีเนื้อเยื่อตาย(Necrosis)<br /> <br />การรักษาโรคริดสีดวงทวาร <br />ขึ้นกับระยะที่เป็น <br />ระยะ1 <br />การรักษาใน ระยะนี้ ไม่ว่าจะเลือดออกหรือไม่ จะเน้นการใช้ยาและการปฏิบัติตัว <br />การใช้ยา จะเป็นพวก ยาที่ทำให้อุจจาระนุ่ม(Stool Softener) <br />อาจใช้ยาประเภท Steroid เหน็บทวารเพื่อลดการอักเสบ<br />การปฏิบัติตัว คือ ทานอาหารมีกากมากๆ ทานน้ำมากๆ หลีกเลี่ยงการเบ่ง หรือนั่งนานๆ <br />มีบางแห่ง อาจใช้ Infrared ช่วย แต่ไม่จำเป็นครับ<br />ระยะ2-3 ต้นๆ <br /><br />การรักษาด้วยยา รวมทั้ง การปฏิบัติตัวเหมือนเดิม <br />อาจใช้ยางชนิดพิเศษ รัดริดสีดวงทวาร ( Rubber Band Ligation) ซึ่งได้ผลดีมาก <br />ไม่เจ็บ ไม่ต้องผ่าตัด ทำได้บ่อยๆ ภาวะแทรกซ้อนต่ำ<br />ระยะ 3ที่ใหญ่ๆ -4 <br /><br />ต้องผ่าตัดครับ<br /> <br />เมื่อไร ที่ต้องผ่าตัดริดสีดวง? <br />1.เป็นระยะ 3ที่ใหญ่ หรือ ระยะ 4 <br />2.เป็นทั้ง ภายนอกและ ภายใน พร้อมกัน (Mixed Type)ซึ่งไม่สามารถ ที่จะใช้ยางรัดได้ (เพราะจะเจ็บมาก) <br />3.มีภาวะแทรกซ้อน เช่น เส้นเลือดอุดตัน ปวดมาก หรือ หัวริดสีดวงเน่า จากการขาดเลือด <br />นั่นคือ จะเห็นว่า ถ้าเป็นไม่มากจริงๆ ไม่ต้องผ่าตัดครับ สามารถรักษาแบบผู้ป่วยนอกได้ <br /> <br />การป้องกัน <br />ขับถ่ายให้เป็นเวลา ไม่ทำให้ท้องผูก <br />กินอาหารที่มีกาก ผักผลไม้ เพื่อช่วยในการขับถ่าย <br />ดื่มน้ำมากๆ <br />ถ้ามีอาการผิดปรกติ รีบปรึกษาแพทย์ <br /> <br /> <br />ทำไมเราต้องมาสนใจโรคริดสีดวงด้วย? <br /> จริงๆ แล้วโรคริดสีดวง ไม่ได้มีอะไรน่ากลัวเลย อย่างมากก็เจ็บ เลือดออกส่วนใหญ่มักจะไม่มาก <br />แต่ที่มากๆ จน Shock ก็มีครับ แต่ที่น่าจะระวังมากกว่านั้นคือ เราอาจไม่ได้เป็นริดสีดวงก็ได้ <br />อาการถ่ายเป็นเลือดสดนั้น อาจเกิดได้จากหลายอย่าง เช่น โรคแผลที่ทวารหนัก(Anal fissure) ฯลฯ <br />แต่ที่น่ากลัวกว่า คือ เนื้องอก หรือมะเร็ง บริเวณ ลำไส้ตรง หรือ ทวารหนัก ซึ่งจะมีอาการ ถ่ายเป็นเลือด <br />เหมือนกัน ซึ่งสามารถให้การวินิจฉัยได้ด้วยการตรวจร่างกายธรรมดาเท่านั้น การรักษานั้น คนละเรื่องครับ <br />ดังนั้น ถ้ามีอาการถ่ายเป็นเลือด ไม่ควรรักษาตัวเอง ควรมาพบแพทย์ครับ <br /><br /><br />โดย นพ.ธเนศ พัวพรพงษ์ ศัลยแพทย์<br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br />.<br /><br />prinkotakoon.blogspot.comhttps://www.blogger.com/profile/14705723465727610769noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-2607956776384828731.post-36883531346772754502013-02-12T21:45:05.454+07:002013-02-12T21:45:05.454+07:00ริดสีดวงทวาร เกิดจากการโตขึ้นกลุ่มของ เส้นเลือด แล...ริดสีดวงทวาร เกิดจากการโตขึ้นกลุ่มของ เส้นเลือด และ เนื้อเยื่อ บริเวณส่วนปลายของลำไส้ตรง ที่เรียกว่า hemorrhoidal tissue <br />คนปกติมีริดสีดวงหรือไม่ เนื่อเยื่อนี้มีหน้าที่อะไร <br /> ในคนปกติ จะมีริดสีดวง(hemorrhoidal tissue)ทุกคน <br />โดยจะอยู่บริเวณ ส่วนล่างของ ทวารหนัก <br />เนื้อเยื่อ ริดสีดวงจะมีอยู่ 3 กลุ่มใหญ่ๆคือ <br />(ลองนึกภาพ ถ้าเรานอนหงายแล้วกางขาออก เหมือนท่าคนจะคลอดลูก <br />เปรียบเทียบกับ นาฬิกาด้านหน้า เป็น 6 นาฬิกา ด้านหลังเป็น 12 นาฬิกา <br />ด้านซ้ายเป็น 3 นาฬิกา ด้านขวาเป็น 9 นาฬิกา <br />(ค่อยๆนึกครับ วาดรูปประกอบก็ได้) <br /><br />เนื้อเยื่อริดสีดวงปกติจะมีอยู่ 3 ตำแหน่ง คือ ที่ 3 , 7 , และ 11 นาฬิกา <br />(ที่บอกมี 3 หัวอะไรทำนองนี้ครับ)<br /> <br /> <br /><br />เนื่อเยื่อริดสีดวงมีหน้าที่อะไร? <br />หน้าที่ปกติ จะมีหน้าที่ ป้องกัน กล้ามเนื้อของทวารหนัก รวมทั้งหูรูด ระหว่าง ถ่ายอุจจาระ และช่วยให้ <br />ทวารหนักปิดได้สนิท ในขณะที่เราอยู่เฉย <br /> <br />โรคริดสีดวงทวารเกิดจากอะไร? <br /> ริดสีดวง เกิดจากการโตขึ้น ของ เนื้อเยื่อ Hemorrhoid ซึ่งสาเหตุแบ่งง่ายๆ เป็น 2 อย่างคือ <br />1.เป็นความผิดปกติของหลอดเลือดบริเวณนั้น <br />2.เกิดจากการเพิ่ม ความดัน ต่อ กำบังลมด้านล่าง(Pelvic Floor) นานๆ ซึ่งการเพิ่มความดัน ดังกล่าว <br />เกิดได้จาก การเบ่งอุจจาระบ่อยๆ จากท้องผูก การยกของหนัก การยืนนานๆ รวมทั้งการตั้งครรภ์ <br />จากการที่มีเด็กอยู่ ทำให้ เลือดไหลกลับไม่สะดวก <br /> <br /> จากสาเหตุดังกล่าวทำให้ กลุ่มเส้นเลือดดังกล่าว โตและ ยืดออก ซึ่งการที่มีเลือดออกนั้นเกิดจาก การที่มี <br />การบาดเจ็บของเส้นเลือด บริเวณดังกล่าว(Local Injury) ที่เจอบ่อยๆเกิดจาก อุจจาระที่แข็งมากๆ ร่วมกับ <br />การเบ่งนานๆ ทำให้จะมีเลือดสดๆ ไหลออกจากทวารหนัก <br /> <br />โรคริดสีดวงมีกี่ชนิด? <br />เราแบ่งโรคนี้ออกเป็น 2 ชนิด คือ <br />1.ริดสีดวงภายใน <br /> คือริดสีดวง ที่อยู่เหนือ เส้นสมมุติที่เรียกว่า dentate line(บริเวณแถวๆ รอยที่หยักๆครับ)จะมีลักษณะที่สังเกตง่ายๆ คือ <br />-จะคลุมด้วยเยื่อบุของทวารหนัก ไม่ใช่ผิวหนัง ด้านนอก <br />-จะไม่เจ็บ ถ้าไม่มีภาวะแทรกซ้อน <br />-ส่วนใหญ่มักเป็นอันนี้กัน<br />ริดสีดวงภายใน แบ่งออกเป็น 4 ระยะ คือ <br />1.ไม่มีก้อนยื่นออกมานอกทวารหนัก <br />2.มีก้อนยื่นออกมาขณะเบ่งอุจจาระ และหดกลับเข้าไปได้เอง <br />3.มีก้อนยื่นออกมาขณะเบ่งอุจจาระ แต่ไม่หดกลับเข้าไปต้องใช้มือช่วยดันเข้าไป <br />4.มีก้อนยื่นออกมาและไม่สามารถใช้มือดันเข้าไปได้ <br />2.ริดสีดวงภายนอก <br />คือริดสีดวงที่อยู่ใต้เส้น Dentate line สังเกตง่ายๆคือ <br /><br />-จะเป็นก้อนทีอยู่ข้างนอก <br />-ส่วนที่คลุมก้อน จะเป็นผิวหนัง มักมีอาการคัน และ เจ็บมากกว่า ริดสีดวงภายใน <br />-หลังจากอาการหายไป บางครั้ง ติ่งผิวหนังนั้นอาจยังอยู่ กลายเป็นติ่งเนื้อที่เรียกว่า Skin Tag<br /> <br /><br /><br /><br />...prinkotakoon.blogspot.comhttps://www.blogger.com/profile/14705723465727610769noreply@blogger.com