tag:blogger.com,1999:blog-2607956776384828731.post6597096357087825616..comments2024-03-26T16:45:49.634+07:00Comments on Learn with Prin เรียนรู้ไปพร้อมกับน้องปริญญ์: ถุงน้ำคร่ำแตกก่อนการเจ็บครรภ์prinkotakoon.blogspot.comhttp://www.blogger.com/profile/14705723465727610769noreply@blogger.comBlogger4125tag:blogger.com,1999:blog-2607956776384828731.post-58037579170488507942013-01-07T18:02:53.673+07:002013-01-07T18:02:53.673+07:00คุณแม่ท้องระวัง น้ำคร่ำแห้ง !!
คุณแม่ท้องระวัง ...คุณแม่ท้องระวัง น้ำคร่ำแห้ง !!<br /><br /><br /><br />คุณแม่ท้องระวัง น้ำคร่ำแห้ง !! (M&C แม่และเด็ก)<br /><br /> คุณแม่ตั้งครรภ์ที่เฝ้าถนอมเจ้าตัวเล็กมาโดยตลอด 6 -7 เดือน ป่านนี้เตรียมเนื้อเตรียมตัวในการคลอดกันบ้างแล้วหรือยังคะ เริ่มตระเตรียมของใช้จำเป็นในขณะที่พอมีแรงเดินเหินอยู่ก็ดีค่ะ ถึงเวลาเจ็บท้องคลอดจะได้ไม่ฉุกละหุกจนเกินไป เตรียมพร้อมเสมอเมื่อถึงเวลาก็ตรงไป รพ. เลย<br /><br /> และช่วงไตรมาส 3 นี้ คุณแม่ตั้งครรภ์ควรจะมีเวลาสังเกตการดิ้นของเจ้าตัวเล็กบ้างนะคะ ว่าลูกน้อยยังดิ้นอยู่มั้ย จำนวนครั้งที่ดิ้นยังสม่ำเสมอเหมือนเดิมรึเปล่า เพราะช่วงนี้เรียกว่าเป็นช่วงเฝ้าระวังได้เลยนะคะ ต้องคอยประคับประครองให้การตั้งครรภ์นี้ผ่านพ้นไปได้ด้วยดีค่ะ และภาวะอีกอย่างนึงที่ไม่ควรมองข้ามเลยก็คือ น้ำคร่ำแห้ง จะเป็นอันตรายต่อลูกในท้องอย่างไรนั้น ตามมาเลยค่ะ<br /><br />รู้จักน้ำคร่ำดีแค่ไหน???<br /><br /> น้ำคร่ำ (Amniotic Fluid) เป็นของเหลวที่ห่อหุ้มทารกในครรภ์ ที่มีการเปลี่ยนแปลงขององค์ประกอบ และที่มาตลอดระยะเวลาของการตั้งครรภ์ โดยในช่วงต้นของการตั้งครรภ์ องค์ประกอบหลักของน้ำคร่ำจะมาจากน้ำเหลืองของเลือดมารดา ที่ซึมผ่านรกและเยื่อหุ้มเด็กนั่นเองค่ะ ทารกอยู่ภายในถุงน้ำคร่ำและถูกหล่อด้วยน้ำใส ๆ ที่เรียกว่า "น้ำคร่ำ" ถุงน้ำคร่ำเป็นเยื่อบาง ๆ ใส ๆ พองกลมคล้ายลูกโป่ง ผนังของถุงด้านนอกแนบติดไปกับผนังมดลูก<br /><br /> น้ำคร่ำเป็นเครื่องป้องกันการกระทบกระเทือนจากภายนอกได้เป็นอย่างดี ซึ่งในแต่ละช่วงจะมีที่มาแตกต่างกันไป แถมน้ำคร่ำยังมีความจำเป็นต่อพัฒนาการการเจริญเติบโตของลูก ในเรื่องกระดูก และกล้ามเนื้อด้วย คือเมื่อมีน้ำคร่ำ ลูกก็มีที่ในการขยับขาแขน พัฒนากล้ามเนื้อตั้งแต่อยู่ในครรภ์ และที่สำคัญ น้ำคร่ำยังเป็นเหมือนเกราะป้องกันอันตราย เป็นกันชนกันกระแทกให้กับเจ้าตัวน้อยของเราอีกด้วยค่ะ<br /><br />ว่าด้วยปัจจัยที่ทำให้น้ำคร่ำแห้ง<br /><br /> กรณีน้ำคร่ำแห้งหรือน้อย อาจเกิดจากถุงน้ำคร่ำรั่ว ถุงน้ำคร่ำแตกก่อนกำหนด หรือมีการสร้างน้ำคร่ำน้อย เนื่องจากรกเสื่อม รกเล็ก แม่มีภาวะแทรกซ้อนครรภ์เป็นพิษ ความดัน เบาหวาน โรคอื่นๆ หรือทารกเติบโตช้า ตัวเล็ก<br /><br /> ปริมาณน้ำคร่ำแห้งหรือน้อย ส่งผลทำให้สายสะดือกดรัดได้ง่าย เนื่องจากเลือดและออกซิเจนไปเลี้ยงไม่ดี หญิงตั้งครรภ์ที่ปริมาณน้ำคร่ำน้อยจะต้องได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิด แพทย์ต้องนัดมาตรวจอย่างสม่ำเสมอโดยการทำอัลตราซาวด์ ทั้งนี้มีดัชนีในการตรวจวัดปริมาณน้ำคร่ำ โดยแบ่งมดลูกออกเป็น 4 ส่วน รวมแล้วต้องไม่น้อยกว่า 5 เซนติเมตร ถ้าดัชนีน้ำคร่ำน้อยกว่า 5 เซนติเมตร ต้องระวัง อาจจะต้องให้นอนโรงพยาบาลเพื่อประเมินอาการว่าสาเหตุเกิดจากอะไร รวมทั้งประเมินสุขภาพของทารกอย่างใกล้ชิดประมาณ 2 ครั้งต่อสัปดาห์ ถ้าประเมินแล้วทารกสุขภาพไม่ดี อาจยุติการตั้งครรภ์และนำมาเลี้ยงข้างนอกต่อ<br /><br />อันตรายที่เกิดจากน้ำคร่ำแห้ง<br /><br /> น้ำคร่ำในถุงน้ำคร่ำแห้งขอดลงไปเมื่อใด ความปลอดภัยของทารกน้อยที่นอนอยู่ในท้องแม่ ก็จะมีอันตรายมากเท่านั้นนะคะ อย่างที่บอกว่าน้ำคร่ำจะช่วยป้องกันการกระทบกระเทือนต่อทารก ช่วยรักษาอุณหภูมิและช่วยให้ทารกเคลื่อนไหวได้สะดวก ปริมาณน้ำคร่ำยังเป็นตัวบอกถึงสุขภาพทารกด้วย เพราะถ้าทารกได้อาหารน้อยมีการไหลเวียนของเลือดลดลง ปริมาณปัสสาวะก็จะลดลงทำให้น้ำคร่ำลดลงได้ ถ้าน้ำคร่ำเหลือน้อยมาก ๆ โอกาสที่สายสะดือจะถูกกดทับ โดยตัวของทารกเองจนเสียชีวิตในครรภ์ก็สูงขึ้นค่ะ<br /><br /> เพราะฉะนั้น การฝากครรภ์กับสูติแพทย์ตั้งแต่ไตรมาสแรกของการตั้งครรภ์ จะเป็นวิธีที่เหมาะสมที่สุด สำหรับการคัดกรองภาวะผิดปกติของปริมาณน้ำคร่ำ เพื่อจะได้รับการดูแลรักษาที่ ถูกต้องและเหมาะสมที่สุดค่ะ และในช่วงไตรมาสสุดท้ายของการตั้งครรภ์ คุณแม่จะต้องการพลังงานจากสารอาหารมากขึ้นจากเดิมอีกราวๆ 200 แคลอรีต่อวัน คุณแม่ควรรับประทานอาหารที่ให้โปรตีนสูง เช่น นม ไข่ เนื้อปลา ปลาเล็กปลาน้อย ผัก และผลไม้ ทั้งนี้ ก็เพื่อเป็นการสะสมสารอาหารที่จำเป็นไว้สำหรับเตรียมให้น้ำนมกับลูก หลังคลอดนั่นเองค่ะ<br /><br />หน้าที่สำคัญของน้ำคร่ำกับเจ้าตัวน้อย<br /><br /> 1. ทำหน้าที่เป็นเกราะคุ้มกันอันตรายจากภายนอกให้กับทารกในครรภ์ ช่วยให้กระดูกและกล้ามเนื้อสามารถพัฒนาได้อย่างอิสระ<br /><br /> 2. ทำหน้าที่ควบคุมอุณหภูมิของทารกให้คงที่ และเป็นแหล่งอาหารส่วนน้อยสำหรับทารก<br /><br /> 3. ช่วยให้พัฒนาการการเจริญเติบโตของปอด และทางเดินอาหารมีความเหมาะสม โดยที่ทารกจะหายใจและกลืนน้ำคร่ำเข้าไปในปอดและทางเดินอาหาร <br /><br /><br /><br /><br /><br />.prinkotakoon.blogspot.comhttps://www.blogger.com/profile/14705723465727610769noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-2607956776384828731.post-31572645712722660652013-01-07T18:00:55.425+07:002013-01-07T18:00:55.425+07:00น้ำเดินก่อนกำหนดหรือถุงน้ำคล่ำแตกก่อนกำหนด
ปกติถุ...น้ำเดินก่อนกำหนดหรือถุงน้ำคล่ำแตกก่อนกำหนด<br /><br />ปกติถุงน้ำคล่ำแตกก่อนที่จะมีอาการปวดท้องคลอดเล็กน้อยถุงน้ำคล่ำแตกก่อนกำหนด หรือน้ำเดินก่อนกำหนดหมายถึงการที่ถุงน้ำคล่ำแตกก่อนอายุครรภ์ 37 สัปดาห์ ความถี่ของโรคพบได้ร้อยละ 3 ของการตั้งครรภ์ และเป็นสาเหตุของการคลอดก่อนกำหนด การที่ถุงน้ำคล่ำแตกก่อนกำหนดอาจจะก่อนให้เกิดโรคแทรกซ้อนคือ เด็กไม่แข็งแรง ทารกติดเชื้อ มีการลอกของรกก่อนกำหนด หรืออาจจะรุนแรงจนกระทั่งเสียชีวิต<br /><br />โครงสร้างของมดลูกขณะตั้งครรภ์<br /><br /><br /><br /><br /><br /><br />มดลูกของคนที่ตั้งครรภ์จะประกอบไปด้วย ชั้นที่สำคัญไล่จากนอดไปสู่ทารกดังนี้<br />•ชั้นนอกสุดคือชั้นผิวหนัง<br />•ต่อมาเป็นกล้ามเนื้อหน้าท้อ<br />•ชั้นต่อมาเป็นมดลูก uterine wall<br />•ชั้นต่อมาเป็นถุงน้ำคล่ำ amniotic sac<br />•ต่อเป็นรก placenta<br />•ต่อมาจะถึงตัวเด็ก fetus<br /><br />การที่ถุงน้ำคล่ำแตกหมายถึงถุง amniotic sac แตกทำให้มีน้ำคล่ำไหลออกจากมดลูก เชื้อโรคจากภายนอกจะมีโอกาศเข้าไปในมดลูก ซึ่งอาจจะทำให้มีการอักเสบของมดลูก และตัวเด็ก<br /><br />การที่น้ำเดินก่อนกำหนดจะเกิดผลเสียอะไรบ้าง<br /><br />การที่น้ำเดินก่อนกำหนดอาจจะทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนที่สำคัญคือ<br />•มีการกดสายสะดือทำให้ทารกขาดเลือดขาดออกซิเจน ซึ่งอาจจะทำให้ทารกเสียชีวิตในครรภ์<br />•เชื้อเร็ดรอดเข้าไปในมดลูกทำให้ทารกและแม่มีการติดเชื้อ<br />•คลอดก่อนกำหนด ซึ่งหากอายุครรภ์น้อยๆอาจจะมีความพิการของปอดและสมอง<br /><br />การที่มีน้ำเดินหมายถึงน้ำคล่ำหรือไม่<br /><br />การที่มีน้ำเดินออกมาจากช่องคลอดไม่ได้หมายถึงว่าจะเป็นถุงน้ำคล่ำแตก จะต้องมีการตรวจยืนยันว่าใช่น้ำคล่ำหรือไม่ การตรวจดังกล่าวได้แก่<br />•การวัดความเป็นกรดหรือด่าง<br />•การนำน้ำนั้นมาทำ fern test หากให้ผลบวกแสดงว่าเป็นน้ำคล่ำ<br />•การตรวจภายในเพื่อดูว่าน้ำที่เดินออกจากปากมดลูกหรือไม่ โดยการตรวจภายในและให้ผู้ป่วยไอ หากมีน้ำเดินจะพบว่าน้ำออกจากปากมดลูก<br />•ตรวจดูปากมดลูกว่ามีการถ่างขยายมากน้อยแค่ไหน<br />•การตรวจ Ultrasound <br /><br />นอกจากน้ำเดินแล้วแพทย์จะต้องติดตามว่า มดลูกมีการบีบตัวหรือไม่ มีการตกเลือดหรือไม่ และมีไข้หรือไม่<br /><br />สาเหตุของน้ำเดินก่อนกำหนด<br /> <br />สาเหตุที่แท้จริงไม่มีใครทราบ แต่หากคุณมีภาวะดังต่อไปนี้คุณจะเสี่ยงต่อน้ำเดินก่อนกำหนด<br /> •สูบบุหรี่<br />•มีการติดเชื้อทางเพศสัมพันธุ์<br />•เคยน้ำเดินก่อนกำหนดมาก่อน<br />•เคยมีประวัติตกเลือดขณะตั้งครรภ์มาก่อน<br /> <br />หากมีน้ำเดินก่อนกำหนดจริงจะต้องทำอย่างไรบ้าง<br /> <br />ในการรักษาหรือดูผู้ที่รที่มีน้ำเดินก่อนกำหนดจะต้องดูอายุครรภ์ว่าตั้งครรภ์กี่สัปดาห์ เพราะอายุครรภ์จะบอกว่าเด็กโตพอที่จะคลอดออกมาแล้วมีชีวิต<br /> <br />ผู้ที่อายุครรภ์น้อยกว่า 24 สัปดาห์<br /> <br />โดยปกติผู้ที่อายุครรภ์น้อยกว่า 24 สัปดาหฺ์และมีน้ำเดินก่อนกำหนด มักจะคลอดภายใน 1 สัปดาห์ เด็กที่คลอดมามักจะมีความผิดปกติของ โรคปอด การพัฒนาของสมอง มีพิการของสมอง ทำให้เกิดกลุ่มอาการที่เรียกว่า Potter’s syndrome<br /> <br />ผู้ที่มีอายุครรภ์อายุ 24-31 สัปดาห์<br /> <br />ทารกที่คลอดก่อนอายุครรภ์ 32 สัปดาห์มักจะมีความพิการ หรืออาจจะเสียชีวิต ดังนั้นหากมีน้ำเดินก่อนกำหนดในช่วงอายุครรภ์ดังกล่าว แพทย์จะพยายามให้อายุครรภ์ครบ 32 สัปดาห์จึงจะให้คลอด แพทย์จะให้ยาปฏิชีวนะเพื่อป้องกันการติดเชื้อ และให้ยา steriod เพื่อเร่งให้ปอดเด็กแข็งแรง ระหว่างนี้แพทย์จะเฝ้าระวังดังต่อไปนี้<br /> •ติดตามเรื่องไข้หากคุณแม่มีไข้มากกว่า 38 องศาแพทย์จะเร่งให้คลอดเพราะว่านั่นหมายถึงมีการติดเชื้อของมดลูก<br />•ติดตามการเต้นของหัวใจแม่และเด็ก หากหัวใจเด็กเต้นเร็วหรือช้า แสดงว่าเด็กเริ่มจะมีปัญหาจำเป้นต้องเร่งคลอด<br />•การบีบตัวของมดลูก<br />•อาการปวดท้องของคุณแม่ หากปวดมากขึ้นแสดงว่าอาจจะมีปัญหา<br />•เจาะเลือดคุณแม่เป็นระยะว่ามีการติดเชื้อหรือไม่<br /> <br />หากมีอาการต่อไปนี้ควรจะเร่งการคลอด<br /> •มีการติดเชื้อของมดลูก chorioamnionitis<br />•รกลอกตัว<br />•เด็กมีสัญญาณชีพไม่ปกติ<br /> <br />ผู้ที่มีอายุครรภ์ 32-33 สัปดาห์<br /> <br />เด็กอายุครรภ์ 32 สัปดาห์ซึ่งปอดเริ่มจะแข็งแรงสามารถคลอดออกมาได้ แต่อย่างไรก็ตามจะต้องเจาะเอาน้ำคล่ำมาพิสูจน์ว่าปอดเด็กแข็งแรงพอ ดังนั้นเด็กในกลุ่มนี้สามารถคลอดออกมาได้ แต่ในกรณีที่ไม่ได้เจาะน้ำคล่ำว่าปอดแข็งแรงพอหรือไม่ แนะนำว่าให้ยา steroid และยาปฏิชีวนะ 48 ชมแล้วจึงไปคลอด<br /> <br />อายุครรภ์ 34 สัปดาห์ขึ้นไป<br /> <br />หากอายุครรภ์มากกว่า 34 สัปดาห์ขึ้นไปแพทย์จะแนะนำให้เร่งคลอดเพราะหากไม่เร่งจะเสี่ยงต่อการติดเชื้อ<br /><br /><br /><br />.prinkotakoon.blogspot.comhttps://www.blogger.com/profile/14705723465727610769noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-2607956776384828731.post-86980913519182901312013-01-07T17:59:15.448+07:002013-01-07T17:59:15.448+07:00...ต่อ.....
ถุงน้ำคร่ำแตกก่อนเจ็บครรภ์
ผลข้า......ต่อ.....<br /><br /><br />ถุงน้ำคร่ำแตกก่อนเจ็บครรภ์<br /><br /><br /><br /><br />ผลข้างเคียง<br /><br /><br />ผลข้างเคียงที่เกิดตามมาได้แก่ การติดเชื้อในมารดาและทารกการเจ็บครรภ์และการคลอดก่อนกำหนด ภาวการณ์ขาดออกซิเจนเนื่องจากสายสะดือถูกกด อัตราการผ่าท้องทำคลอดบุตรเพิ่มขึ้นความผิดปกติทางโครงสร้างของทารกในครรภ์ ดังนั้นการวินิจฉัยที่ถูกต้องและรวดเร็ว มีความสำคัญยิ่งต่อการลดภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นต่อทั้งมารดาและทารก<br /><br /><br /><br /> <br /><br /><br />อาการ<br /><br /><br />คุณแม่มักให้ประวัติว่ามีน้ำใสๆ ไหลจากช่องคลอดคล้ายกับการกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ โดยคุณแม่อาจจะคิดว่าเป็นอาการของการกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ ปัสสาวะราด มีน้ำไหลตามมาหน้าขาและไหลออกมาเรื่อยๆ ส่วนบางรายอาจได้ประวัติแค่มีน้ำเลอะบริเวณกางเกงในเป็นวงใหญ่ หรืออาจเปื้อนกระโปรงเล็กน้อยเท่านั้น<br /><br /><br />ในกรณีที่ประวัติไม่ชัดเจนคุณหมอจำเป็นต้องหาข้อมูลเพิ่มขึ้นเพื่อยืนยันผลการวินิจฉัย นอกจากนี้ยังต้องแยกน้ำเดินออกมาจากสารคัดหลั่ง เช่น ตกขาวที่มีปริมาณมากผิดปกติ ซึ่งอาจเกิดจากปากมดลูกอักเสบ หรือมูกเลือด เป็นต้น<br /><br /><br /><br /> <br /><br /><br />การวินิจฉัย<br /><br /><br />เป็นขั้นตอนที่แพทย์ต้องระวังการติดเชื้อจากการตรวจสอบภายในก่อนตรวจต้องดูบริเวณปากช่องคลอดด้วยว่ามีลักษณะเปียกชื้นมากน้อยเพียงใด สีของน้ำที่เห็นบริเวณปากช่องคลอดเป็นอย่างไรแล้วจึงใส่เครื่องมือที่ปราศจากเชื้อเข้าไปในช่องคลอด พร้อมกับสังเกตลักษณะและปริมาณของเหลวภายในช่องคลอด<br /><br /><br />โดยทั่วไปหากถุงน้ำคร่ำแตกจริง จะพบว่ามีน้ำคร่ำไหลออกจากปากมดลูก ซึ่งปกติทั่วไปน้ำคร่ำจะไม่มีสี เว้นเสียแต่ช่วงครรภ์ใกล้จะครบกำหนด อาจพบคล้ายมีน้ำสีขาวปะปนได้ ในกรณีตรวจไม่พบของเหลวภายในช่องคลอดที่ชัดเจน คุณหมอจะให้คุณแม่ไอหรือเบ่ง โดยคุณหมอจะใช้มือกดบริเวณยอดมดลูก ขณะเดียวกันคุณหมอจะตรวจดูว่าปากมดลูกเปิดกี่เซนติเมตร และมีการบางตัวมากน้อยแค่ไหน<br /><br /><br />การที่ตรวจพบว่ามีน้ำไหลออกมาจากรูของปากมดลูก หรือพบน้ำปะปนขี้เทาของทารก ถือว่าเป็นการวินิจฉัยที่แน่นอนที่สุดว่าเป็นน้ำคร่ำจริง แพทย์ที่ตรวจจึงควรหลีกเลี่ยงการใช้นิ้วมือผ่านเข้าไป เพราะอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ คุณหมอจะใช้นิ้วตรวจสภาพมดลูกก็ต่อเมื่อมีการเจ็บครรภ์ หรือมีการชักนำให้เกิดการคลอดเท่านั้น<br /><br /><br /><br /> <br /><br /><br />ดูแล + รักษา ถุงน้ำคร่ำแตกก่อนเจ็บครรภ์<br /><br /><br />เมื่อวินิจฉัยภาวะถุงน้ำคร่ำแตกก่อนเจ็บครรภ์ได้แล้ว แน่นอนว่าขั้นตอนต่อไปก็คือการดูแลรักษาคุณแม่ โดยจะรับไว้รักษาในโรงพยาบาล และสอบประวัติการตั้งครรภ์ ประวัติประจำเดือนครั้งสุดท้ายเพื่อยืนยันอายุครรภ์ รวมทั้งประวัติการตรวจคลื่นเสียงความถี่สูง เพื่อดูว่าขณะนี้ลูกในครรภ์อายุเท่าใด แล้วนำมาประกอบการตัดสินใจวางแผนการดูแลรักษาต่อไป<br /><br /><br />ในรายที่มีอาการแสดงหรือตรวจพบ และยืนยันว่ามีการติดเชื้อในโพรงมดลูก หรือมีหลักฐานที่แสดงว่าทารกอยู่ในภาวะเสี่ยงต่ออันตรายจากสายสะดือกดทับ เนื่องจากภาวะน้ำคร่ำน้อยลง ต้องตัดสินใจให้คลอดโดยไม่คำนึงถึงอายุครรภ์<br /><br /><br />คุณแม่คงเข้าใจแล้วนะครับ ว่าถุงน้ำคร่ำแตกก่อนเจ็บครรภ์หมายถึงอะไร และคุณจะรู้อย่างไรว่าน้ำที่ไหลออกมาคือน้ำคร่ำซึ่งเป็นสัญญาณเตือนคุณแม่ว่าต้องมาโรงพยาบาลแล้ว<br /><br /><br /><br /> <br /> <br /> <br /> [ ที่มา...นิตยสารรักลูก ปีที่ 25 ฉบับที่ 299 ธันวาคม 2550 ] <br /> <br /><br /><br /><br />.prinkotakoon.blogspot.comhttps://www.blogger.com/profile/14705723465727610769noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-2607956776384828731.post-45420341611685028042013-01-07T17:58:25.490+07:002013-01-07T17:58:25.490+07:00ถุงน้ำคร่ำแตกก่อนเจ็บครรภ์
คงจะเคยได้ยินคุณแม่...ถุงน้ำคร่ำแตกก่อนเจ็บครรภ์ <br /><br /><br /><br />คงจะเคยได้ยินคุณแม่บางท่านบอกว่า มีน้ำไหลจากช่องคลอดเหมือนอั้นปัสสาวะไม่อยู่ จริงๆ แล้ว คือน้ำคร่ำที่ไหลออกมาจากมดลูกนั่นเองครับ<br /><br /><br />น้ำคร่ำจะช่วยปกป้อง และช่วยให้ทารกในครรภ์เจริญเติบโตและพัฒนาดีขึ้น<br /><br /><br />นอกจากนี้น้ำคร่ำยังเป็นส่วนที่หล่อเลี้ยงอยู่ภายในหลอดลมและปอดของทารก เมื่อทารกมีการหายใจเข้าและออก น้ำคร่ำจะทำให้ปอดของทารกเจริญเติบโต และคอยปกป้องทารกจากภัยอันตราย ที่สำคัญสายสะดือจะอาศัยน้ำคร่ำช่วยไม่ให้ถูกกดทับเวลาที่ทารกเคลื่อนไหวหรือมีการบีบตัวของมดลูก<br /><br /><br /><br /> <br /><br /><br />ถุงน้ำคร่ำแตก<br /><br /><br />ภาวะถุงน้ำคร่ำแตกก่อนเจ็บครรภ์ เป็นสาเหตุสำคัญที่จะทำให้ทารกคลอดก่อนกำหนด ซึ่งมีผลทำให้ทารกตายหรือทุพพลภาพได้<br /><br /><br />ภาวะถุงน้ำคร่ำแตกหรือรั่วจะเกิดขึ้นก่อนเริ่มมีอาการเจ็บครรภ์และไม่ว่าจะเกิดขึ้นก่อน หรือเมื่ออายุครรภ์ได้ครบกำหนดก็ตามโดยทั่วไปจะพบประมาณ 8% ของคุณแม่ที่ตั้งครรภ์ครบกำหนดสำหรับถุงน้ำคร่ำแตกก่อนครรภ์ครบกำหนดพบได้ประมาณ 1-3% ของการตั้งครรภ์ ส่วนใหญ่แล้วมักจะไม่ทราบสาเหตุ แต่มีภาวะที่อาจพบร่วมด้วย หรืออาจเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ก่อให้เกิดถุงน้ำคร่ำแตกก่อนการเจ็บครรภ์ คือ<br /><br /><br />1. ภาวะติดเชื้อ เชื่อว่าน่าจะเป็นสาเหตุสำคัญของถุงน้ำคร่ำแตกก่อนการเจ็บครรภ์ โดยเฉพาะในครรภ์ที่มีการคลอดก่อนกำหนดจากการติดเชื้อบริเวณช่องคลอด ทำให้ถุงน้ำคร่ำอ่อนแอลงและแตกได้ เช่น การติดเชื้อกามโรคของช่องคลอด<br /><br /><br />2. คุณแม่เคยมีประวัติการคลอดก่อนกำหนดในครรภ์ หรือเคยมีประวัติถุงน้ำคร่ำแตกก่อนการเจ็บครรภ์ในครรภ์ก่อน<br /><br /><br />3. ครรภ์แฝด และครรภ์แฝดน้ำ ทำให้มดลูกมีความตึงตัวมากผิดปกติ<br /><br /><br />4. ท่าทารกผิดปกติ เช่น ท่าก้น ท่าขวาง<br /><br /><br />5. ส่วนนำของทารกไม่เข้าสู่เชิงกราน<br /><br /><br />6. เคยตัดปากมดลูก หรือเคยได้รับการเย็บผูกปากมดลูก<br /><br /><br />7. ภาวะที่มีความพิการแต่กำเนิดของมดลูก<br /><br /><br />8. ภาวะการอักเสบเรื้อรังของระบบทางเดินปัสสาวะ ทำให้มีการรัดตัวของมดลูกเพิ่มขึ้น<br /><br /><br />9. คุณแม่ที่เคยทำหัตถการต่างๆ เพื่อการวินิจฉัยทารกในครรภ์ก่อนคลอด เช่น การเจาะน้ำคร่ำ<br /><br /><br />10. คุณแม่มีเศรษฐานะต่ำ<br /><br /><br />11. คุณแม่ที่สูบบุหรี่ขณะตั้งครรภ์<br /><br /><br /><br /> <br /><br /><br />....ต่อprinkotakoon.blogspot.comhttps://www.blogger.com/profile/14705723465727610769noreply@blogger.com