tag:blogger.com,1999:blog-2607956776384828731.post7490056956607019023..comments2024-03-26T16:45:49.634+07:00Comments on Learn with Prin เรียนรู้ไปพร้อมกับน้องปริญญ์: กรนอันตรายprinkotakoon.blogspot.comhttp://www.blogger.com/profile/14705723465727610769noreply@blogger.comBlogger7125tag:blogger.com,1999:blog-2607956776384828731.post-82087012796628186002013-08-22T04:58:16.824+07:002013-08-22T04:58:16.824+07:00
การรักษาการนอนกรนโดยวิธีผ่าตัด
การผ่าตัดรักษาโรค...<br />การรักษาการนอนกรนโดยวิธีผ่าตัด<br /><br />การผ่าตัดรักษาโรคนอนกรนมีหลายวิธี ขึ้นอยู่กับชนิดของการนอนกรน มีรายละเอียดดังนี้ การผ่าตัดแก้ไขทางเดินหายใจอุดตันขณะนอนหลับ แพทย์จะแก้ไขให้ตรงตำแหน่งที่มีการอุดตัน ซึ่งอาจมีอยู่หลายแห่ง แต่ที่สำคัญมีอยุ่ 2 ตำแหน่งคือ บริเวณหลังเพดานอ่อน และบริเวณหลังโคนลิ้น โดยการผ่าตัดมีจุดมุ่งหมาย เพื่อทำให้ทางเดินหายใจทุกแห่งที่แคบกว้างขึ้น ไม่เกิดการอุดตันขณะนอนหลับอีก ไม่ใช่เพียงแต่ลดเสียงกรนอันน่ารำคาญเท่านั้น<br /><br />เสียงกรน เป็นเหมือนสัญญาณเตือนภัย ที่บอกว่า คนนั้นมีปัญหาการหายใจขณะนอนหลับ การผ่าตัดเพียงเพื่อให้เสียงกรนเบาลง แต่ยังมีการหยุดหายใจอยู่ เช่น การผ่าตัดด้วยเลเซอร์ ในกรณีที่เป็นโรคนอนกรนชนิดมีการหยุดหายใจร่วมด้วย กลับเป็นผลร้ายต่อผู้ป่วย เพราะเปรียบเสมือน การทำให้ผู้ป่วยยังคงตกอยู่ในภาวะที่เป็นอันตราย แต่ปราศจากสัญญาณเตือนภัย<br /><br />การผ่าตัดรักษาโรคนอนกรนมีหลายวิธี ขึ้นอยู่กับชนิดของการนอนกรน มีรายละเอียดดังนี้<br /> <br /><br /><br /><br />การผ่าตัดตกแต่งเพดานอ่อนโดยเลเซอร์ <br />(Laser Assisted Uvulopalatopolasty = LAUP)<br /><br />เป็นการผ่าตัดบริเวณลิ้นไก่และเพดานอ่อน สามารถทำได้โดยการใช้ยาชาเฉพาะที่ แผลผ่าตัด จะเป็นแผลชนิดเปิดทำให้มีอาการเจ็บมากและแผลหายช้า การทำผ่าตัดวิธีนี้จะทำผ่าตัดทีละน้อย และจะรอดูผลหลังการผ่าตัดประมาณ 2-3 เดือน ถ้าอาการกรนหายไป หรือลดน้อยลงจนยอมรับได้ ก้ไม่ต้องผ่าตัดเพิ่ม แต่ถ้ายังไม่ดีขึ้นอาจจะ ต้องทำซ้ำอีก วิธีเลเซอร์ จะไม่ได้ผลดีนัก ในกรณีที่เป็นการนอนกรนชนิดอันตรายที่มีการหยุดหายใจร่วมด้วย จะใช้เฉพาะกรณีที่เป็นการนอนกรนชนิดธรรมดาเท่านั้น<br /> <br /><br /><br /> <br /><br /><br /><br />การผ่าตัดตกแต่งช่องคอและ เพดานอ่อน<br />(Uvulopatatopharyngoplasty = UPPP.)<br /><br />เป็นการผ่าตัดเพื่อลดขนาดของเพดานอ่อน ลิ้นไก่และผนังด้านข้างของช่องคอ รวมทั้งอาจจำเป็นต้องตัดต่อมทอมซิลออกร่วมด้วย เพื่อทำให้ทางเดินหายใจกว้างขึ้น การผ่าตัดต้ออาศัยการดมยาสลบ และจะต้องอยู่โรงพยาบาล เพื่อสังเกตอาการอย่างน้อย 1 คืน แผลผ่าตัดจะถูกเย็บปิด แผลจึงหายเร็ว โดยใช้เวลาประมาณ 1-2 สัปดาห์ และจะเจ็บคอหลังผ่าตัดประมาร 1 สัปดาห์ ยังมีการผ่าตัดอีกหลายวิธีที่มีหลักการ คือ เพื่อเปิดช่องทางเดินหายใจให้กว้างขึ้น เช่นการพยายามให้ลิ้นเคลื่อนมาด้านหน้า เพื่อทำให้ช่องทางเดินหายใจบริเวณหลังโคนลิ้นกว้างขึ้น และป้องกันไม่ให้ลิ้นตกลงไปอุดกั้นทางเดินหายใจขณะนอนหลับ <br /><br />นอกจากนั้นยังมีการผ่าตัดอื่นๆ ตามสิ่งผิดปกติของผู้ป่วย เช่นการผ่าตัดแก้ไขภาวะอุดตันในโพรงจมูก เพื่อขจัดภาวะทางเดินหายใจอุดตันให้หมดไป เช่น การผ่าตัดแก้ไขกรณีผนังกั้นโพรงจมูกคด หรือการผ่าตัดไวนัสอักเสบ และริดสีดวงจมูก หรือการผ่าตัดลดขนาดเยื่อบุจมูกที่บวมมาก<br /> <br /><br /><br /> <br /><br /><br /><br />การผ่าตัดตกแต่งเพดานอ่อน (Uvulopalatal Flap)<br /><br />เป็นการผ่าตัด เพื่อพับลิ้นไก่ขึ้นสู่ด้านบน บริเวณเพดานอ่อน ทำให้ลิ้นไก่ และเพดานอ่อนส่วนล่างตึงขึ้น กว้างขึ้นไม่ขวางทางเดินหายใจ และไม่สะบัดเวลานอนหลับ มักต้องทำการผ่าตัดโดยการดมยาสลบ และต้องพักรักษาตัวในโรงพยาบาล<br /> <br />prinkotakoon.blogspot.comhttps://www.blogger.com/profile/14705723465727610769noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-2607956776384828731.post-72747681294468086332013-08-22T04:57:26.589+07:002013-08-22T04:57:26.589+07:00บริการบันทึกการนอนหลับที่บ้าน
Sleep test หรื...<br />บริการบันทึกการนอนหลับที่บ้าน<br /><br /><br /><br /><br /><br /><br />Sleep test หรือ polysomnograph เป็นการตรวจด้วยเครื่องมือที่ทันสมัย ปัจจุบันสามารถนำเครื่องไปติดตั้งถึงบ้านผู้ป่วย ซึ่งจะมีข้อดีกว่า การตรวจในห้องปฏิบัติการของโรงพยาบาล คือบรรยากาศในการนอนเหมือนเดิม และค่าใช้จ่ายถูกกว่า มีข้อเสียคือ กรณีสายสัญญาณหลุดไม่สามารถแก้ไขในคืนนั้นได้ เป็นต้น<br />การตรวจการนอนหลับ (sleep study) แบ่งเป็นประเภทต่างๆได้ 4 ประเภท ตามจำนวนสัญญาณและรูปแบบการตรวจวัด ได้แก่<br /><br />1. Type 1 sleep study: Full attended polysomnography (³ 7 channels) เป็นการตรวจวัดสัญญาณต่างๆที่ใช้ประกอบในการแปลผลการนอนหลับอย่างครบถ้วน ได้แก่ คลื่นสมอง (electroencephalogram, EEG) คลื่นกล้ามเนื้อลูกตา (electro-oculogram, EOG), คลื่นกล้ามเนื้อคางและขา (chin & leg electro-myogram [EMG]), คลื่นหัวใจ (electrocardiogram, ECG), ลมหายใจ (airflow), การขยับเคลื่อนไหวของทรวงอกและช่องท้อง (chest & abdominal movement), ความอิ่มตัวของออกซิเจนในเลือด (oxygen saturation), ท่าทางการนอน (body position) โดยระหว่างการตรวจนั้น จะมีเจ้าหน้าที่ตรวจการนอนหลับ เฝ้าสังเกตสัญญาณต่างๆ ผ่านทางจอคอมพิวเตอร์และกล้องวิดีโอตลอดเวลา <br />2. Type 2 sleep study: Full unattended polysomnography (³ 7 channels) เป็นการตรวจวัดสัญญาณต่างๆ ที่ครบถ้วนเช่นเดียวกับ type I sleep study เพียงแต่ไม่มีเจ้าหน้าที่เฝ้าในระหว่างการตรวจ <br />3. Type 3 sleep study: Limited channel devices (4-7 channels) เป็นการตรวจเฉพาะระบบหัวใจและการหายใจ โดยทำการตรวจได้ทั้งแบบ attended หรือ unattended กล่าวคือ จะมีการตรวจวัดสัญญาณต่างๆ คล้ายกับ type I sleep study แต่ไม่มีการติด EEG, EOG, chin & leg EMG <br /> 4. Type 4 sleep study: 1 or 2 channels devices เป็นการตรวจวัดเพียงแค่ 1-2 สัญญาณ โดยส่วนใหญ่จะประกอบไปด้วย oxygen<br /> saturation ร่วมกับการวัด airflow ซึ่งทำให้ได้ข้อมูลที่ไม่เพียงพอ และมีข้อจำกัดในการใช้มาก<br /> <br /><br /><br /><br />ภาพการติดอุปกรณ์ตรวจการนอนหลับ Type 1 , 2<br /> <br /><br /><br /> <br /><br /><br /><br /><br /> ขั้นตอนปฎิบัติในการตรวจการนอนหลับ <br /><br />1.เมื่อถึงวันนัดหมาย กรุณาอาบน้ำ สระผม (ไม่ใส่ครีมนวด)ไว้ก่อน ชุดนอนควรเป็นแบบเสื้อผ่าหน้า ทำกิจวัตรประจำวันตามปกติ เช่น เคยรับประทานยาก็ทานยาตามปกติ<br />2.พนักงานจะไปถึงที่นัดหมาย (โดยปกติจะเป็นบ้านของลูกค้าเอง) เวลาประมาณ 20.30 ทุ่ม เพื่อติดตั้งอุปกรณ์ ใช้เวลาในการติดตั้งประมาณ 15 นาที (ไม่จำเป็นต้องติดตั้งในห้องนอน) สำหรับการติดแบบ Type 3 ใช้เวลาในการติดตั้งประมาณ 40 นาที สำหรับการติดแบบ Type 2<br />3.หลังจากติดตั้งอุปกรณ์เสร็จแล้ว สามารถอ่านหนังสือ ดูทีวีหรือเข้าห้องน้ำตามปกติ<br />4.เข้านอนตามเวลาปกติ<br />5.ในตอนเช้าของวันรุ่งขึ้น ตื่นนอนตามเวลาปกติ และถอดสายสัญญาณ ต่างๆ ใส่กระเป๋า<br />6.พนักงานบริษัท จะไปรับเครื่องกลับตามเวลานัดหมาย<br />7.บริษัท จะทำการส่งผลข้อมูลไปให้แพทย์ เพื่อวิเคราะห์ผลต่อไป ภายใน 4 วันทำการ<br />ติดต่อนัดหมายกับทางบริษัท ฯ (จองคิว) สายด่วน 083 989 5842<br /><br /><br />หมายเหตุ บริษัท ฯ บริการบันทึกข้อมูล ส่วนการวินิจฉัยต้องติดต่อแพทย์เท่านั้น<br /><br /> <br /><br /><br /><br />บุคคลที่สมควรได้รับการตรวจการนอนหลับ<br /><br />1. Loud irregular snoring (นอนกรนเสียงดังไม่สม่ำเสมอ)<br /><br />2. Stroke (โรคสมองขาดเลือด)<br /><br />3. Pronounced daytime fatique and drowsiness (อ่อนเพลีย เหนื่อยล้า และง่วงหงาวหาวนอนในเวลากลางวัน)<br /><br />4. Hypertension (โรคความดันโลหิตสูง)<br /><br />5. Impaired concentration irritability (หงุดหงิดง่าย/ไม่มีสมาธิ)<br /><br />6. Erectile dysfunction (อวัยวะเพศไม่แข็งตัว)<br /><br />7. Diabetes mellitus type II (โรคเบาหวานชนิดที่ 2)<br /><br />8. ผู้ขับขี่ยวดยานพาหนะสาธารณะ เช่นนักบิน พนักงานขับรถไฟ พนักงานขับรถโดยสาร พนักงานขับรถขนส่งสินค้า และ พนักงานที่ต้องควบคุมเครื่องจักร เป็นต้น<br /> <br />prinkotakoon.blogspot.comhttps://www.blogger.com/profile/14705723465727610769noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-2607956776384828731.post-10034967324280310662013-08-22T04:56:43.999+07:002013-08-22T04:56:43.999+07:00
แนวทางการตรวจวินิจฉัยโรคนอนกรน
จะทำการตรวจหา 2 ปร...<br />แนวทางการตรวจวินิจฉัยโรคนอนกรน<br />จะทำการตรวจหา 2 ประการ <br /><br />ประการแรก คือ ตรวจค้นหาตำแหน่งการอุดกั้นของทางเดินหายใจที่ทำให้เกิดโรคนอนกรน โดยศัลยแพทย์หู คอ จมูก จะสอบถามเกี่ยวกับการนอนกรน และอาการผิดปกติที่เกิดขึ้น โรคประจำตัว ประวัติการใช้ยา ดื่มเหล้าหรือสูบบุหรี่ ชั่งน้ำหนัก และวัดส่วนสูง เพื่อนำมาคำนวณหามวลของร่างกาย วัดขนาดรอบคอ ตรวจวัดความดันโลหิต ตรวจลักษณะโครงสร้างใบหน้า และกราม ตรวจอย่างละเอียดทางหู คอ จมูก ทั้งหมด รวมทั้งใช้กล้องส่องตรวจขนาดเล็ก เพื่อตรวจดูรายละเอียดของทางเดินหายใจส่วนบน ตั้งแต่จมูกลงไปถึงกล่องเสียงหลอดลมใหญ่ ในบางรายอาจมีการตรวจเอกซเรย์ เพื่อหาตำแหน่งที่ตีบแคบของทางเดินหายใจส่วนบน<br /> <br /><br /><br /> <br />จากข้อมูลทั้งหมด ถ้ามีลักษณะของการนอนกรน ที่มีภาวะหยุดหายใจร่วมด้วย แพทย์จะแนะนำให้ตรวจการนอนหลับที่เรียกว่า Polysomnography (การตรวจการนอนหลับในห้องปฏิบัติการ อาจเรียกอีกชื่อได้ว่า Sleep Laboratory) ปัญหาที่เกิดขึ้นในขณะหลับโดยเฉพาะภาวะหยุดหายใจขณะหลับ โดยผู้ป่วยจะมานอนในห้องปฏิบัติการทั้งคืน <br /><br />ปัจจุบันมีเครื่องมือที่มีขนาดเล็กพกติดตัวสำหรับ ตรวจการนอนหลับที่บ้าน เพื่อให้บรรยากาศการนอนหลับเหมือนปกติที่สุด ทำให้ไม่ต้องวิตกกังวล ข้อมูลเกี่ยวกับการนอน และการหายใจ ตลอดจนการทำงานของสมอง และหัวใจ และระดับออกซิเจนในเลือด จะถูกบันทึกไว้ตลอดการนอนหลับทั้งคืน จากข้อมูลเหล่านี้ แพทย์จะทราบว่า ผู้ป่วยมีปัญหารุนแรงมากน้อยเพียงไร<br /><br /> ตรวจการนอนหลับที่บ้าน คลิ๊กที่นี่ ...<br /> <br /><br /><br /><br />การรักษาโรคนอนกรน<br />•ควบคุมน้ำหนักไม่ให้น้ำหนักเกินกณฑ์<br />•ออกกำลังกาย เพื่อให้ร่างกายแข็งแรง และกล้ามเนื้อแข็งแรงตื่นตัว<br />•หลีกเลี่ยงการนอนหงาย โดยพยายามนอนในท่าตะแคงและ นอนศรีษะสูงเล็กน้อย<br />•หลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ หรือยานอนหลับ หรือยากล่อมประสาทก่อนนอน<br /> <br /><br /><br />•กรณีที่เป็นการนอนกรนชนิดอันตราย ที่มีการหยุดหายใจร่วมด้วย อาจใช้เครื่องที่เรียกว่า Nasal CPAP. (nasal continuous positive airway pressure) ใส่ครอบจมูกขณะหลับ เครื่องนี้จะอัดอากาศที่มีแรงดันเข้าไปในทางเดินหายใจ เพื่อทำให้ช่องทางเดินหายใจที่แคบกว้างขึ้น เนื่องจากเครื่องจะสร้างความดันในทางเดินหายใจให้เป็นบวก ตลอดเวลา เป็นการป้องกันการยุบตัวของทางเดินหายใจ จึงทำให้หายใจได้สะดวกขึ้น และหลับสบายขึ้น วิธีนี้ปลอดภัย และได้ผลดีในผู้ป่วยเกือบทุกราย<br /> <br /><br /><br /> <br />prinkotakoon.blogspot.comhttps://www.blogger.com/profile/14705723465727610769noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-2607956776384828731.post-47587381921336492012013-08-22T04:55:55.144+07:002013-08-22T04:55:55.144+07:00
ผลเสียและปัจจัยที่ทำให้เกิดการนอนกรน
1.นอนกรนเสี...<br />ผลเสียและปัจจัยที่ทำให้เกิดการนอนกรน <br />1.นอนกรนเสียงดัง ทำให้รบกวนผู้ที่อยู่ด้วย บางรายทำให้เกิดปัญหาการดำเนินชีวิตคู่ได้<br />2.ร่างกายอ่อนเพลีย รู้สึกว่านอนไม่พอ ทำให้เกิดอาการง่วงนอน ซึ่งเป็นผลเสีย ต่อการเรียน การทำงานหรือเกิดอุบัติเหตุในการขับรถ หรือการควบคุมเครื่องจักรกล<br />3.ไม่มีสมาธิในการทำงาน ความสามารถในการจดจำลดน้อยลง หงุดหงิด อารมณ์เสียง่ายกว่าปกติ<br />4.ในเด็กจะมีพัฒนาการของสมองและร่างกายไม่ดี เพราะได้รับออกซิเจนไม่เพียงพอ ปัสสาวะรดที่นอน<br />5.มีโอกาสเสี่ยงมากขึ้นที่จะเป็นโรคความดันโลหิตสูง โรคของหลอดเลือดในสมอง (เช่น อัมพาต) และโรคหัวใจขาดเลือด (อาจทำให้เสียชีวิตทันที เพราะหัวใจทำงานผิดปกติ ขณะเกิดภาวะหยุดหายใจในช่วงนอนหลับ ที่ชาวบ้านเรียกว่า ไหลตาย) ได้มากกว่าคนปกติ เป็นเหตุให้เสียชีวิตก่อนวัยอันสมควร<br /> <br /><br /><br /> <br /><br /><br />คัดลอกจากวารสารทางการแพทย์ Chest 1998:(1) : 9-14<br />เรื่อง Mortality and Apnea Index in Obstructive Sleep Apnea : <br />Exprience in 385 Male Patients โดย Jiang He et al, <br /><br /><br /><br />ปัจจัยที่ทำให้เกิดอาการนอนกรนได้มากขึ้นหรือรุนแรงขึ้น<br />•อายุมาก ทำให้เนื้อเยื่อและกล้ามเนื้อของทางเดินหายใจบริเวณลำคอ เช่น ผนังด้านข้างของช่องคอ ลิ้นไก่ เพดานอ่อน ลิ้นหย่อนยาน และขาดความตึงตัวทำให้ตกไปขวางทางเดินหายใจได้ง่าย<br /> <br /><br /><br /> •เพศชาย จะกรนมากกว่าเพศหญิง เนื่องจากฮอร์โมนเพศหญิงจะมีส่วนทำให้กล้ามเนื้อ ที่ทำหน้าที่ขยายช่องทางเดินหายใจมีความตึงตัวที่ดี<br />•อ้วน ทำให้ไขมันสะสมที่ด้านข้างของช่องลำคอมากขึ้น ทำให้ช่องทางเดินหายใจ แคบลง<br />•ภาวะใดที่ทำให้จมูกคัดแน่น จะทำให้การหายใจติดขัดและลำบากมากขึ้น เช่น ผนังกั้นโพรง จมูกคด เยื่อบุจมูกอักเสบ และเนื้องอกในจมูก เป็นต้น<br />•สุราและยานอนหลับ จะทำให้กล้ามเนื้อที่เปิดช่องทางเดินหายใจอ่อนแรง ทำให้เกิดภาวะทางเดินหายใจอุดตันได้ง่าย และมีผลกดการทำงานของสมองทำให้สมองตื่นขึ้นมา เพื่อตอบสนองต่อภาวะการขาดออกซิเจนได้ช้า ซึ่งส่งผลเสียต่อร่างกายได้เมื่อเกิดภาวะการหยุดหายใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลเสียต่อสมองและหัวใจ<br /> <br /><br /><br />•ลักษณะโครงสร้างของกระดูกใบหน้า คนที่มีคางเล็กหรือกระดูกแก้มแบน จะมีผลทำให้ช่องทางเดินหายใจบริเวณลำคอแคบ<br />•การสูบบุหรี่ ทำให้ประสิทธิภาพการทำงานของทางเดินหายใจแย่ลง<br />•กรรมพันธุ์ พบว่าผู้ที่มีประวัติโรคนอนกรนในครอบครัว จะมีโอกาสเป็นโรคนอนกรนได้มากขึ้น<br /> <br /><br /><br /> <br />prinkotakoon.blogspot.comhttps://www.blogger.com/profile/14705723465727610769noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-2607956776384828731.post-9886150633872468952013-08-22T04:54:32.677+07:002013-08-22T04:54:32.677+07:00
การนอนกรน
นั้นอาจเป็นเพียงแค่เสียงกรนรบกวนธรรมด...<br />การนอนกรน<br /><br /> นั้นอาจเป็นเพียงแค่เสียงกรนรบกวนธรรมดา หรือเป็นสัญญาณเตือนถึง ภาวะอันตรายที่คนทั่วไป ไม่เคยนึกถึงหรือ ทราบมาก่อน เสียงกรนเกินจากการสั่นพริ้วสะบัดของลิ้นไก่ และเพดานอ่อนที่สั่นมากกว่าปกติ ขณะกำลังนอนหลับ สาเหตุที่ทำให้เกิดการสั่น เนื่องจาก เกิดการอุดกั้นของทางเดินหายใจ ไม่สามารถผ่านลงสู่หลอดลม และปอดได้อย่างสะดวก ทำให้กระแสลมที่ถูกปิดกั้นนั้น เกิดการหมุนวนทำให้ลิ้นไก่ และเพดานอ่อน เกิดการสั่นมากกว่าปกติ ทำให้เกิดเป็นเสียงกรนขึ้น<br /> <br /><br /><br /><br />อุบัติการของโรคนอนกรน<br /><br />จากการศึกษาในต่างประเทศพบว่า ผู้ชายนอนกรนมากกว่าผู้หญิง โดยพบว่าผู้ชายที่นอนกรน มีประมาณ 20-50% และมีปัญหาหยุดหายใจ จากทางเดินหายใจอุดตันขณะนอนหลับ มีประมาณ 25% ส่วนผู้หญิงที่นอนกรนมีประมาณ 10-20% และมีปัญหาหยุดหายใจประมาณ 10% แต่ถ้าศึกษาจำเพาะลงไปในกลุ่มอายุ 41-65 ปี พบว่าเพศชายมีอัตราการนอนกรนอยู่ที่ประมาณ 50% ในขณะที่เพศหญิง มีอัตราการนอนกรนจะเห็นว่าในผู้สูงอายุ จะมีผู้นอนกรนถึงเกือบครึ่งหนึ่งเลย<br /><br />นอกจากนี้จากการศึกษาเปรียบเทียบโรคนอนกรนในระหว่างคนฝรั่งกับคนเอเชีย ในกลุ่มที่มีน้ำหนักและส่วนสูงพอๆกัน พบว่า คนเอเชียมีความรุนแรงของกานนอนกรนมากกว่าฝรั่งอย่างชัดเจน สาเหตุเกิดจากลักษณะโครงสร้างของกระดูกโหนกแก้มแบน ประกอบกับมีคางที่เล็กและถอยไปด้านหลัง ทำให้ช่องทางเดินหายใจบริเวณลำคอของคนเอเชียแคบมาก เกิดการตีบแคบและอุดตัน ได้ง่ายขณะนอนหลับ <br /><br />ในเด็กไทยยังไม่มีการศึกษาถึงอุบัติการของโรคนอนกรน แต่คาดคะเนว่าน่าจะมีไม่น้อยทีเดียว<br /> <br /><br /><br /><br />ชนิดความผิดปกติในการนอนกรน<br /><br />การนอนกรนสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ชนิดใหญ่ๆ ตามความรุนแรงหรือผลเสียต่อสุขภาพ<br />1.การนอนกรนธรรมดา คือการกรนที่ทำให้เกิดเสียงกรนธรรมดา ซึ่งจัดว่าเป็นชนิดไม่อันตราย<br />2.การนอนกรนที่มีการหยุดหายใจร่วมด้วย คือการกรนที่ทำให้เกิดเสียงรบกวน และมีผลเสียต่อสุขภาพด้วย ซึ่งจัดเป็นชนิดอันตราย<br /><br />ชนิดแรกเป็นชนิดที่ไม่เป็นอันตราย<br /><br />ไม่ทำให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพเพียงแต่ก่อให้เกิดความรำคาญให้ผู้ที่อยู่ใกล้กลุ่มนี้มักมี การอุดกั้นทางเดินหายใจเพียงเล็กน้อย เนื่องจากเวลาเรานอนหลับสนิทจะเป็นเวลาที่กล้ามเนื้อต่างๆ คลายตัว รวมทั้งกล้ามเนื้อบริเวณช่องคอด้วย ทำให้ลิ้นและลิ้นไก่ตกไปทางด้านหลังโดยเฉพาะในท่านอนหงาย ทำให้ทางเดินหายใจส่วนนี้ตีบแคบลง เวลาหายใจเข้าผ่านตำแหน่งที่แคบ จะทำให้มีการสั่นสะเทือนของลิ้นไก่ และเพดานอ่อน หรือโคนลิ้น ทำให้เกิดเป็นเสียงกรนขึ้น<br /> <br /><br /><br /> <br /><br /><br /><br />ชนิดที่สองเป็นการนอนกรนที่เป็นอันตราย<br /><br />เกิดจากการที่มีทางเดินหายใจแคบมากเวลาหลับ อาจเนื่องจากการที่มีช่องคอแคบมาก เช่น มีเนื้อเยื่อเพดานอ่อน, ลิ้นไก่ หรือโคนลิ้นขนาดใหญ่ และหย่อนยาน หรือเกิดจากต่อมทอมซินที่โตมากจนอุดกั้นช่องคอ หรือบางรายที่มีกระดูกใบหน้าหรือ กรามเล็กทำให้ช่องทางเดินหายใจด้านหลังแคบกว่าปกติ หรือคนที่มีคางสั้นทำให้ลิ้นตกไปทางด้านหลังมากกว่าคนปกติ ผู้ป่วยกลุ่มนี้จะมีเสียงกรนที่ไม่สม่ำเสมอ โดยจะมีช่วงที่กรนเสียงดำ และค่อยสลับกันเป็นช่วงๆ และจะกรนดังขึ้นเรื่อยๆ และจะมีช่วงหยุดกรนไปชั่วขณะหนึ่ง ซึ่งเป็นช่วงที่เกิดการหยุดหายใจนี้ จะทำให้เกิดอันตราย เนื่องจากระดับออกซิเจนในเลือดแดงจะลดต่ำลง ทำให้เกิดความผิดปกติ ในการทำงานของอวัยวะต่างๆ เช่น ปอด หัวใจ และสมอง เป็นต้น <br /> <br /><br /><br /> <br />ร่างกายจะมีกลไกตอบสนองต่อภาวะนี้ โดยสมองจะถูกกระตุ้นให้ตื่นขึ้น ทำให้การหลับของคนนอนกรนนั้นถูกขัดขวาง ทำให้ตื่นขึ้นเพื่อหายใจใหม่ โดยมีอาการสะดุ้งตื่นเหมือนสะดุ้งเฮือก หรืออาการเหมือนสำลักน้ำลายตนเอง หรือหายใจอย่างแรงเหมือนขาดอากาศ <br /><br />เพื่อให้ร่างกายได้รับออกซิเจนอีก หลังจากนั้นไม่นานสมองก็เริ่มหลับอีก การหายใจก็จะเริ่มติดขัดอีกทำให้สมองต้องถูกปลุก หรือกระตุ้นอีก การกลับก็จะถูกขัดขวางอีก วนเวียนซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทำให้การนอนหลับสนิทของคนที่นอนกรนไม่ต่อเนื่องเพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย <br /><br />ดังนั้นคนนอนกรนจึงตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกว่านอนไม่พอ แม้ว่าจะนอนเป็นจำนวนชั่วโมงที่มากพอก็ตาม รวมทั้งยังเป็นผลเสียต่อสุขภาพ โดยเฉพาะต่อหัวใจ ระบบไหลเวียนโลหิต ปอด และสมอง<br /> <br />prinkotakoon.blogspot.comhttps://www.blogger.com/profile/14705723465727610769noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-2607956776384828731.post-32662283445777208412013-08-22T04:53:17.616+07:002013-08-22T04:53:17.616+07:00...
•มีการเติบโตไม่สมวัย ทั้งทางด้านส่วนสูง และน้......<br /><br />•มีการเติบโตไม่สมวัย ทั้งทางด้านส่วนสูง และน้ำหนักทั้งนี้อธิบายได้จาก<br />- มีการอักเสบติดเชื้อ ของตอมทอนซิลและ อดีนอยด์บ่อยๆ<br />- ภาวะที่นอนหลับไม่สนิท ทำให้มีการเคลื่อนไหวของร่างกายขณะหลับ มีการใช้พลังงานมากขึ้น<br />- การลดลงของฮอร์โมนการเจริญเติบโต (growth hormone) ซึ่งจะมีการหลั่งสูงสุดในช่วงการนอนหลับลึก<br />- ภาวะการอุดตันในจมูก ทำให้ต้องหายใจทางปาก การรับประทานอาหารไม่สะดวก และทำให้การรับรู้รส และกลิ่นลดลง ความอยากอาหารก็ลดลงด้วย<br />- ยังทำให้เกิดการติดเชื้อของหูชั้นกลางและ มีน้ำขัง (20% case มี Postnasal airway obstruction) และมีการอักเสบของโพรงไซนัส เพิ่มขึ้นเนื่องจากเยื่อบุโพรงจมูกขาดความชุ่มชื้น และความอบอุ่น ความสามารถในการกรองเชื้อโรคลดลง ทั้งนี้พบว่าเด็กกลุ่มนี้มีการเจริญเติบโตที่ดีขึ้น ภายหลังการผ่าตัดต่อมทอมซิล และอะดีนอยด์<br />- ภาวะปัสสาวะรดที่นอน (Nocturnal enuresis, Bed-wetting) เนื่องจากความตึงตัวของกล้ามเนื้อลดลงมาก ในช่วงที่มีการอุดกั้นทางเดินหายใจขณะหลับ<br /> <br />•มีเสียงพูดไม่ชัด โดยเฉพาะเสียง ม. น. ง. เพราะเป็นเสียง นาสิก ต้องมีลมผ่านออกทางจมูก หรือมีลักษณะเหมือนมีก้อน อมในลำคอ <br />•โครงสร้างใบหน้าผิดปกติ (adenoid face) เนื่องจากต่อมอะดีนอยด์โต เกิดลักษณะใบหน้า ยาว แบน จมูกแบน ริมฝีปากสั้น ปากเผยอปิดไม่สนิท มีการหายใจทางปาก และพบว่ามีแนวโน้มต้องจัดฟัน เมื่ออายุมากขึ้น (87%)<br />•ภาวะไหลตายในเด็กทารก (SIDS Sudden infant death syndrome) พบว่าส่วนหนึ่งของทารกกลุ่มนี้ มีภาวะอุดกั้นทางเดินหายใจ อธิบายได้ว่าทารกเหล่านี้ไม่สามารถทนทาน ต่อภาวะการลดลงของออกซิเจน และการเปลี่ยนแปลงของภาวะกรดด่าง (Acid base balance)<br /><br />นอกจากนี้ อาจเป็นสาเหตุของโรคหัวใจได้ เนื่องจากหัวใจต้องทำงานหนักกว่าปกติ (Premature cardiac morbidity and mortality) ภาวะอื่นที่พบได้คือ ภาวะอกโป่งหรือ ไส้เลื่อนของสะดือ และฝันร้าย<br /><br /><br />.prinkotakoon.blogspot.comhttps://www.blogger.com/profile/14705723465727610769noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-2607956776384828731.post-22408733985442357772013-08-22T04:51:51.165+07:002013-08-22T04:51:51.165+07:00สาเหตุของการนอนกรนในเด็ก
•ต่อมทอมซิล (ที่เห็นเป็...สาเหตุของการนอนกรนในเด็ก<br /><br /><br />•ต่อมทอมซิล (ที่เห็นเป็นก้อนอยู่ข้างลิ้นไก่ ในลำคอทั้งสองข้าง) หรือต่อมอะดินอยด์ (อยู่บริเวณด้านหลังโพรงจมูก) มีขนาดโตมาก เพราะมีการอักเสบเรื้อรัง ซึ่งอาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับการอักเสบเรื้อรังของบริเวณช่องปก ฟัน ช่องคอ ช่องจมูก รวมทั้งโพรงไวนัส<br /><br />•ภาวะจมูกอักเสบเรื้อรัง เช่น โรคภูมิแพ้ หรือไซนัสอักเสบ โดยเฉพาะไซนัสอักเสบเรื้อรัง หรือภาวะที่มีเนื้องอกในโพรงจมูก เช่นริดสีดวงจมูก หรือมีผนังกั้นจมูกคด ซึ่งมักเกิดร่วมกับเยื่อจมูกบวมโต ทำให้แน่นจมูก หายใจไม่สะดวก ต้องอ้าปากช่วยยิ่งทำให้นอนกรนมากขึ้น<br />•บางราย มีความผิดปกติแต่กำเนิด ทำให้กระดูกใบหน้าเล็ก หรือมีเนื้อเยื่อในทางเดินหายใจใหญ่ เช่น มีลิ้นโต เป็นสาเหตุให้มี ภาวะอุดตันของทางเดินหายใจได้ในขณะนอนหลับ<br /> <br /><br /><br />ปัญหาและผลเสียต่อสุขภาพในเด็ก<br /><br />ในเด็กการอุดกั้นทางเดินหายใจที่ไม่มาก หรือ เสียงกรนที่ไม่ดังมากนัก อาจก่อปัญหาการนอนหลับไม่สนิท และสร้างผลเสียต่อสุขภาพเด็กได้ ฉะนั้นจึงไม่อาจคำนึงถึงแค่เสียงกรนที่ดังเท่านั้น (Consider more than an acoustic anoyance) <br /><br /><br /><br />ปัญหาที่เกิดกับเด็กที่มีภาวะการอุดกั้นทางเดินหายใจ หรือมีการนอนหลับไม่สนิท<br />•มีภาวะที่ง่วงเหงาหาวนอนในเวลากลางวันมากกว่าเด็กทั่วไป (Daytime Sleepness)<br />•มีการขาดสมาธิ หรือลักษณะของการอยู่ไม่สุข ก้าวร้าง หดหู่ (Loss of Concentration, Hyperactivity, aggression, depression)<br />•เด็กในวัยเรียน มีปัญหาในการเรียน และมีความทนในการออกกำลังกายลดลง<br /> <br /><br /><br />...prinkotakoon.blogspot.comhttps://www.blogger.com/profile/14705723465727610769noreply@blogger.com