Learn with Prin เรียนรู้ไปพร้อมกับน้องปริญญ์

จำหน่ายผลิตภัณฑ์ Legacy /Reborn Set ลด Fat ตัวช่วยลดไขมัน ลดน้ำหนัก แบบถูกวิธี 🔥 ติดต่อสอบถาม/สั่งซื้อ 📍 โทร ☎️ :: 084-110-5021 🌸 Line ID :: pla-prapasara 🌸 รับโปรโมชั่นสุดพิเศษเฉพาะทาง Line นะคะ 📍

วันเสาร์ที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2562

ศรีริต้า เจนเซ่น สร้างเซอร์ไพรส์ เดินพรมแดงเมืองคานส์เป็นปีแรก 2019

ศรีริต้า เจนเซ่น สร้างเซอร์ไพรส์ เดินพรมแดงเมืองคานส์เป็นปีแรก 2019

แซ่บมาก! “ศรีริต้า” สร้างเซอร์ไพรส์ เดินพรมแดงเมืองคานส์เป็นปีแรก



YouTube Video


แซ่บได้อีก! นักแสดงสาว “ศรีริต้า เจนเซ่น” ทำเซอร์ไพรส์ ร่วมเดินพรมแดงเมืองคานส์เป็นปีแรก สวยสง่า



ทำเอาแฟนคลับหลายคนตกอกตกใจไม่น้อย เมื่อนักแสดงสาวคนสวย “ศรีริต้า เจนเซ่น” สร้างเซอร์ไพรส์ให้กับวงการแฟชั่น ด้วยการเดินทางไปร่วมเดินพรมแดง
ที่เทศกาลภาพยนตร์นานาชาติเมืองคานส์ 2019 ประเทศฝรั่งเศส ในฐานะตัวแทนเซเลบริตี้หนึ่งเดียวจากประเทศไทยในปีนี้



แม้จะเป็นครั้งแรกที่สาว “ศรีริต้า” ได้ร่วมเดินพรมแดง แต่เห็นภาพแล้วต้องบอกเลยว่าเธอสดใส สมเป็นนางฟ้าแห่งทุ่งลาเวนเดอร์ ที่แฟนคลับขนานนามไว้ให้อย่างแท้จริง






YouTube Video




ริต้า ศรีริต้า  กับลุคที่ 2 บนพรมแดงคานส์ 2019 เจ้าหญิงลาเวนเดอร์ 
กับชุดม่วงสุดโดดเด่น





ริต้า-ศรีริต้า เจนเซ่น มาเงียบๆ แต่กวาดเรียบนะจ๊ะ หลังจากทำเซอร์ไพรส์ปรากฏตัวในลุคแรก และครั้งแรกกับการเดินพรมแดงเทศกาล
ภาพยนตร์นานาชาติเมืองคานส์ 2019 (Cannes 2019) ครั้งที่ 72 ประเทศฝรั่งเศส ในฐานะแขกคนพิเศษของ "Dior Cosmetics" 
ไปแล้ว ลุคที่ 2 นี้ ยิ่งไม่ทำให้ผิดหวังไปอีก!



"ริต้า" มาในลุคสมกับฉายา "เจ้าหญิงลาเวนเดอร์" ที่หอมอบอวลไปทั่วพรมแดง สวยสง่าดุจเจ้าหญิงในเทพนิยาย กับชุดเดรสกระโปรง
อัดพลีทฟูฟ่องไล่เฉดสีลาเวนเดอร์สวยละมุนละไม โดย "Michael Cinco" (ไมเคิล ซินโก้) ดีไซเนอร์เจ้าของแบรนด์ตั้งใจออกแบบและ
ตัดเย็บชุดนี้มาให้ เจ้าหญิงลาเวนเดอร์ ริต้า โดยเฉพาะ 


ซึ่งผสานความเป็นเจ้าหญิงสวยหวานสไตล์ริต้า แต่แอบซ่อนความเปรี้ยวเผ็ดที่ด้านข้าง ด้วยดีเทลสนุกแบบ "อวองต์-การ์ด" (Avant-Garde)



แมตช์กับเมคอัพลุคที่ครีเอทออกมาโดยได้รับแรงบันดาลใจจากดอกไม้เมืองหนาว ด้วยเฉดสีม่วง สีพีช เบรคความหวานด้วยการแต่งคิ้วเรียงเส้นอย่างเป็น
ธรรมชาติ เสกความสวยหวาน โดย "น้องฉัตร ฉัตรชัย" ส่วนทรงผมรวบตึง Ponytail แสดงถึงความมั่นใจ พร้อมเฉิดฉายบนพรมแดง


สวย แพง แบบดับเบิ้ล ด้วยการฟาดเซ็ทเครื่องเพชรประดับ อเมทิสต์และมุกดีไซน์เก๋ จากแบรนด์ "Avakian" (อเวเคียน)



และรองเท้าประดับคริสตัลของ "Christian Louboutin" เรียกได้ว่า สวย สง่า ม่วงสุดตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า สมกับเป็น "เจ้าหญิงลาเวนเดอร์" ไปเลยจ้า



วันพฤหัสบดีที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2562

ทดสอบไอคิวลูก แบบง่ายๆ ด้วย Gesell drawing test ใช้ได้ตั้งแต่อายุ 2-12 ขวบ

ทดสอบไอคิวลูก แบบง่ายๆ ด้วย Gesell drawing test ใช้ได้ตั้งแต่อายุ 2-12 ขวบ
























ทดสอบไอคิวลูก แบบง่ายๆ ด้วยวิธีการวัด จากการให้ลูกน้อยลองวาดภาพ ด้วยแบบทดสอบ Gesell drawing test ซึ่งคุณพ่อคุณแม่สามารถใช้วัดลูกน้อยได้ตั้งแต่ ตั้งแต่อายุ 2-12 ขวบเลยทีเดียว


ไอคิว (IQ) หรือ Intelligence Quotient คือ ความสามารถทางเชาวน์ปัญญา ซึ่งรวมไปถึงการคิด การเชื่อมโยง การใช้เหตุผล การคำนวณ สามารถวัดออกมาเป็นค่าสัดส่วนตัวเลขที่แน่นอนด้วยแบบทดสอบทางสติปัญญา ระดับของไอคิวปกติอยู่ใน ช่วง 90-110 คนที่มีระดับไอคิวสูงจะเป็นคนเก่งมีสมองรับรู้ว่องไว เรียนหนังสือเก่ง พ่อแม่ทุกคนจึงปรารถนาให้ลูกมีไอคิวสูง แม้ศักยภาพทางสมองนั้นเป็นสิ่งที่ติดตัวมาแต่กำเนิด เปลี่ยนแปลงแก้ไขได้ไม่ง่ายนัก แต่พ่อแม่มีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการจัดสภาพแวดล้อมเพื่อพัฒนาสมองให้ลูกได้

ทดสอบไอคิวลูก แบบง่ายๆ ตั้งแต่อายุ 2-12 ขวบ


ทดสอบไอคิวลูก เขาวัดไอคิวกันอย่างไร?


ไอคิวถูกคิดค้นโดย Louis William Stern นักจิตวิทยาชาวเยอรมัน และต่อมา Lewis Terman นักจิตวิทยาชาวอเมริกัน ได้พัฒนาแบบทดสอบไอคิว (IQ Test) ขึ้นเพื่อวัดระดับสติปัญญาเป็นครั้งแรก โดยแบ่งระดับจาก A ถึง E แต่ปัจจุบันเรานิยมใช้ระบบแปลผลออกมาเป็นตัวเลข ซึ่งมีแบบทดสอบไอคิวหลายแบบ ซึ่งการวัดไอคิวต้องทำโดยนักจิตวิทยาคลินิกซึ่งได้รับการฝึกฝนการใช้แบบทดสอบจนชำนาญ ไม่ใช่การทดสอบที่ใครก็สามารถวัดได้ ดังนั้น แบบทดสอบไอคิวที่มีจำหน่ายตามท้องตลาด หรือแบบทดสอบทางเว็บไซต์จึงเป็นเพียงแบบทดสอบที่ทำเล่นสนุก ๆเ ท่านั้น

ทั้งนี้ การคำนวณตัวเลขไอคิวจะใช้สูตร IQ = [อายุสมอง (Mental Age) ÷ อายุจริง (Chronologic Age)] × 100 ซึ่งเป็นการเทียบระดับการเรียนรู้หรือพัฒนาการของสมองว่าอยู่ระดับไหนเมื่อเทียบกับอายุจริง หากวัดไอคิวได้ 100 หมายความว่า อายุสมองเท่ากับอายุจริง เช่น ถ้าอายุ 6 ปี แสดงว่าอายุสมองคือ 6 ปีเช่นกัน แต่ถ้าวัดไอคิวได้ต่ำกว่า 100 แสดงว่าอายุสมองต่ำกว่าอายุจริง หรือถ้าวัดไอคิวได้มากกว่า 100 แสดงว่า อายุสมองมากกว่าอายุจริง และนำคะแนน มาเทียบกับตารางสถิติของประชากรในโลกซึ่งมีระดับไอคิวในแต่ละช่วงเป็นร้อยละ ดังนี้





















































ภาพจาก IQ Scores – Average IQ Score http://www.iqtest-center.com/iq-scores.php

จากแผนภูมิจะพบว่า คนส่วนใหญ่ มีระดับไอคิวอยู่ในช่วง 100 มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่มีไอคิวอยู่ในระดับต่ำมาก หรือสูงมาก

ลักษณะของเด็กปัญญาเลิศ


  • พัฒนาการทางร่างกายและจิตใจสูงกว่าเด็กในวัยเดียวกัน
  • เรียนรู้สิ่งต่างๆ ได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย
  • อยากรู้อยากเห็นอย่างจริงจัง ชอบซักถาม
  • มีเหตุผลในการแก้ปัญหา การใช้สามัญสำนึก
  • จดจำได้รวดเร็วและแม่นยำ
  • มีความรู้ ใช้คำศัพท์เกินวัย
  • มีความคิดริเริ่ม มีวิธีการคิดและแนวคิดแปลกๆ
  • เป็นคนตื่นตัว เฉียบแหลม ว่องไว และช่างสังเกต
  • มีแรงจูงใจ และมีความมานะบากบั่นมีความจริงใจในการทำงาน
  • ชอบแสวงหาสิ่งท้าทายความคิดความอ่าน


























ไอคิวสูงหรือต่ำเกิดจากอะไร?


ความฉลาดหรือ ความสามารถทางเชาวน์ปัญญา เป็นสิ่งที่ถูกกำหนดจากพันธุกรรม ไอคิวของลูกจึงได้รับการถ่ายทอดมาจากพ่อแม่ ปู่ย่า ตายายมาตั้งแต่เกิด ดังนั้น พ่อแม่ที่มีไอคิวสูง ลูกมักมีไอคิวสูงด้วย ส่วนพ่อแม่ที่มีไอคิวไม่สูง ลูกก็จะมีไอคิวไม่สูงเช่นกัน เราจึงไม่พบเด็กอัจฉริยะที่พ่อแม่มีไอคิวไม่สูง หากพบแต่กรณีที่พ่อแม่มีไอคิวสูง แต่ลูกมีไอคิวไม่สูงได้จากบางสาเหตุ เช่น การไม่ได้รับการกระตุ้นที่เหมาะสม ดังนั้น สิ่งสำคัญกว่าตัวเลขระดับไอคิวคือ การจัดสภาพแวดล้อมที่กระตุ้นการเรียนรู้ให้เหมาะสมกับระดับความสามารถของสมองของลูก เพราะหากกระตุ้นน้อย แม้เกิดมามีต้นทุนสมองดี แต่สมองก็ไม่พัฒนาเต็มศักยภาพเมื่อโตขึ้น

แบบทดสอบไอคิวลูก Gesell drawing test


โดย Gesell drawing test เป็นการวัดความสามารถทางกล้ามเนื้อมือ และการทำงานประสานกันของตากับมือตามระดับอายุที่ควรจะเป็น ซึ่งเป็นทักษะที่บ่งชี้ถึงระดับสติปัญญาหรืออายุสมองได้แบบคร่าวๆ

วิธีการตรวจสอบ


ให้ลูกดูแบบแล้ววาด (ควรขยายขนาดเพิ่มให้จากรูปที่แนบมา) โดยที่คุณพ่อคุณแม่ไม่ได้วาดให้ดู ลูกสามารถวาดซ้ำได้ในแต่ละรูปให้ผ่านถ้ารูปที่วาด สมบูรณ์ใกล้เคียงกับรูปต้นแบบ ซึ่งหากลูกของเราอายุจริง 8 ปี แต่สามารถวาดรูปได้ถึงรูปที่ 7 โดยที่รูปที่ 8 เป็นต้นไปวาดไม่ได้หรือไม่สมบูรณ์ แสดงว่าอายุสมองของลูกอยู่ที่ระดับ 7 ปี เป็นต้น

























การวัด  IQ


  • รูปที่ 1 เป็นความสามารถของเด็ก 2 ปี
  • รูปที่ 2 เป็นความสามารถของเด็ก 3 ปี
  • รูปที่ 3 เป็นความสามารถของเด็ก 3 ปีครึ่ง
  • รูปที่ 4 เป็นความสามารถของเด็ก 4 ปี
  • รูปที่ 5 เป็นความสามารถของเด็ก 5 ปี
  • รูปที่ 6 เป็นความสามารถของเด็ก 6 ปี
  • รูปที่ 7 เป็นความสามารถของเด็ก 7 ปี
  • รูปที่ 8 เป็นความสามารถของเด็ก 8 ปี
  • รูปที่ 9 เป็นความสามารถของเด็ก 9 ปี
  • รูปที่ 10 เป็นความสามารถของเด็ก 11 ปี
  • รูปที่ 11 เป็นความสามารถของเด็ก 12 ปี


***หมายเหตุ : การทดสอบนี้เป็นวิธีคัดกรองแบบหยาบๆ เท่านั้น ไม่ได้บอกระดับ IQ ที่แท้จริง เพราะวัดเฉพาะความสามารถของกล้ามเนื้อมือ ดังนั้น ถ้าลูกทำไม่ได้ก็ไม่ต้องตกใจ แต่ลองฝึกฝนลูกเรื่องกล้ามเนื้อมือให้มากขึ้น หรือถ้าลูกมีปัญหาการเรียนหรือพัฒนาการร่วมด้วย ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ (หมอไปป์ แฮปปี้คิดส์ จากเพจ ชมรมจิตแพทย์เด็กและวัยรุ่นแห่งประเทศไทย)



ผลการวัดไอคิวบ่งบอกความฉลาดของลูกได้แน่นอนหรือไม่?


ผลการวัดไอคิวบ่งชี้เฉพาะระดับสติปัญญาในบางด้านของเด็กที่สามารถวัดออกมาเป็นตัวเลขได้เท่านั้น ยังมีความฉลาดในด้านอื่นๆอีกมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความฉลาดทางอารมณ์ ( EQ) นอกจากนี้ ในการทดสอบ ยังต้องพิจารณาองค์ประกอบอื่นที่มีผลต่อคะแนนไอคิวด้วย เช่น แบบทดสอบที่ใช้เป็นแบบทดสอบมาตรฐานหรือไม่ ใครเป็นผู้ทดสอบ ช่วงเวลาที่ทดสอบ เด็กมีความพร้อมเพียงใด ให้ความร่วมมือหรือไม่ นอกจากนี้ ยังอาจเกิดความคลาดเคลื่อนอันเนื่องมาจากระดับอายุของเด็กในขณะทดสอบ มีงานวิจัยพบว่าไอคิวที่วัดเมื่อเด็กอายุต่ำกว่า 2 ปี กับไอคิววัดเมื่ออายุ 17-18 ปี นั้นมีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์กันต่ำมาก โดยจะค่อยๆสูงขึ้นเมื่ออายุ 5-7 ปี และมีพัฒนาการของเชาวน์ปัญญาถึงขั้นสูงสุดคือ ระหว่างอายุ 15-25 ปี จากนั้นจะเริ่มเสื่อมลงตามวัย ดังนั้น การวัดไอคิวเมื่อเด็กเข้าสู่ระดับประถมและมัธยม คะแนนไอคิวจึงจะเชื่อถือได้มากขึ้น


























ชวนพ่อแม่สังเกตพัฒนาการลูกจาก “ภาพวาด”


ภาพวาดสวยๆ จากการวาดของเด็กเกิดจากช่วงเวลาที่เด็กหยิบจับอุปกรณ์วาดเขียนขึ้นมาสักชิ้น  แล้วลงมือวาดภาพสร้างงานศิลปะด้วยตัวเอง  หมายความว่าเด็กต้องใช้ทั้งพัฒนาการด้านร่างกาย (กล้ามเนื้อมัดเล็ก)  การทำงานประสานกันของสายตากับมือ  และใช้พัฒนาการด้านสติปัญญา  เพื่อถ่ายทอดความคิดออกมาเป็นงานศิลปะ  ภาพวาดของเด็กจึงไม่ใช่แค่ภาพวาด  แต่เป็นกิจกรรมหนึ่งที่เด็กได้เสริมสร้างพัฒนาการด้านต่างๆ  ได้ผ่อนคลายจิตใจ  และยังเป็นกิจกรรมที่บ่งบอกถึงลำดับพัฒนาการตามวัยของเขาได้อีกด้วย

1 ขวบครึ่ง – 3 ขวบ  :  ขีดเขี่ย


เมื่อลูกน้อยเริ่มอยากจับช้อน  หรืออยากหยิบอาหารเข้าปากเอง  หมายความว่าเขาเริ่มใช้กล้ามเนื้อมัดเล็กบ้างแล้ว  หลังจากนั้นอีกสักระยะประมาณ 8 เดือนหรืออายุประมาณ 1 ขวบครึ่ง  เด็กบางคนเริ่มจะจับดินสอ  แล้วลงมือขีดเขี่ยเอง  ในช่วงอายุนี้เราใช้คำว่า “ขีดเขี่ย” แทนคำว่า “ขีดเขียน”  เพราะว่าภาพของเขาเป็นลักษณะเส้นยุ่งๆ  ตามอารมณ์สนุกสนานของเขาเท่านั้น  ไม่ได้วาดเพื่อถ่ายทอดเรื่องราว  เพราะลูกน้อยวัยนี้ยังไม่สามารถถ่ายทอดความคิดออกมาเป็นภาพได้  เพราะฉะนั้นคุณพ่อคุณแม่ควรให้อิสระเขาในการขีดเขี่ย  เพื่อให้เขาได้สนุกและพัฒนากล้ามเนื้อมืออย่างเต็มที่






























4 – 6 ปี  :  เป็นรูปเป็นร่าง


ภาพวาดของลูกน้อยวัยนี้จะเริ่มมีรูปร่างมากขึ้น  และเริ่มมีความสัมพันธ์กับความจริง  เช่น  วาดวงกลมแทนหัวคน  ขีดเส้นแทนแขนขา  แต่เด็กวัยนี้จะยังใช้สีที่ไม่สัมพันธ์กับความเป็นจริง  เช่น  เขาอาจระบายสุนัขเป็นสีชมพู  ระบายท้องฟ้าเป็นสีม่วง  ฯลฯ

7 – 9 ปี  :  ผสมผสานรูปทรง


จอมซนวัยนี้เป็นวัยที่วาดรูปทรงได้แล้ว  และสามารถนำรูปทรงมาผสมผสานในภาพวาดได้  ภาพวาดจึงเริ่มมีรายละเอียดมากขึ้น  เช่น  บ้านรูปสี่เหลี่ยม  หลังคารูปสามเหลี่ยม  และเริ่มระบายสีให้ตรงกับความเป็นจริง  เช่น  กิ่งไม้สีน้ำตาล  และใบไม้สีเขียว  ลักษณะพิเศษในช่วงวัยนี้  คือ  ภาพที่สามารถมองได้ทะลุเหมือนภาพเอ็กซ์เรย์  เช่น  เขาวาดบ้านสี่เหลี่ยมเป็นกำแพง  แต่ในสี่เหลี่ยมนั้นจะมีรายละเอียดของสิ่งที่อยู่ในตัวบ้าน  ราวกับสามารถมองทะลุเข้าไปได้ด้วย




































9 – 11 ปี  :  สมจริงสมจัง


ภาพของลูกวัยโตจะเหมือนธรรมชาติมากขึ้น  ไม่ว่าจะเป็นการใช้สี  หรือการถ่ายทอดความคิดต่างๆ ออกมาเป็นรายละเอียดตามจริง  ภาพวาดคนก็จะแยกชัดเจนระหว่างเพศชายและเพศหญิง  เช่น  ผู้ชายตัวสูงใหญ่สวมกางเกง  ผู้หญิงตัวเล็ก  แต่งหน้า  และสวมกระโปรง  เนื่องจากเด็กวัยนี้มีความเข้าใจในเรื่องต่างๆ ได้มากขึ้น  คุณพ่อคุณแม่จึงสอนเรื่องสัดส่วนและองค์ประกอบของภาพให้เขาได้บ้างแล้ว



























12 ปีขึ้นไป  :  มีเหตุมีผล


เป็นช่วงวัยที่การวาดภาพเริ่มมีเหตุและผลเข้ามาเกี่ยวข้อง  กล่าวคือ  มีความซับซ้อน  มีแสงเงา  และมีมิติมากขึ้น  หากสังเกตภาพบ้านของเด็กวัยนี้  ก็จะเห็นว่าบ้านไม่ใช่ภาพ 2 มิติแบนๆ อีกแล้ว  แต่จะมีความลึกของบ้านเพิ่มเข้ามา  หรือภาพวิวก็จะมีองค์ประกอบของภาพ  มีการซ้อนทับของภาพ  เช่น  คนที่อยู่ใกล้จะตัวใหญ่  ข้างหลังคนมีถนน  ไกลออกไปหากมีบ้านหรือต้นไม้ก็จะมีขนาดเล็ก  เพราะตั้งอยู่ไกลออกไป





























ส่งเสริมถูกวิธี เป็นศิลปินสุดล้ำได้ทุกคน


  • เริ่มด้วยแรงบันดาลใจ :  สร้างแรงบันดาลใจให้ลูกน้อย  โดยเริ่มจากชวนลูกขีดเขียน  วาดรูปให้ดู  แล้วเล่าเรื่องประกอบไปด้วยเรื่อยๆ  นอกจากจะทำให้ลูกอยากวาดตามแล้ว  เขายังจะได้เรียนรู้วิธีการถ่ายทอดความคิดออกมาเป็นภาพวาดอีกด้วย
  • งดคำตำหนิและล้อเลียน :  เวลาที่ลูกวาดไม่เหมือนหรือวาดสิ่งที่ไม่มีอยู่จริง  ต้องไม่ตำหนิและไม่ล้อเลียนเขา  เพราะจะทำให้ลูกเสียความมั่นใจ  และหมดกำลังใจวาดรูปต่อไป
  • กระตุ้นด้วยคำถามและคำชม :  การตั้งคำถาม เช่น  “หนูกำลังวาดอะไร  วาดน้องหรือจ๊ะ  น้องใส่เสื้อผ้าแบบไหน  กำลังทำอะไรอยู่”  ถามทีละคำถาม  แล้วฟังคำตอบของเขาอย่างตั้งใจ  จากนั้นจึงชื่นชมหรือให้คำแนะนำ  เพื่อเป็นกำลังใจให้เขาสามารถวาดภาพอย่างสร้างสรรค์ได้ต่อไป
  • ตั้งหัวข้อสำหรับสุดยอดงานศิลปะ :  การกำหนดโจทย์  เช่น  “ถ้าฝนตกทั้งวันจะเกิดอะไรขึ้น”  หรือการกำหนดหัวข้อภาพ  เช่น  “รถในฝัน”  เพื่อให้เขารู้จักคิดนอกกรอบ  และฝึกฝนการถ่ายทอดความคิดออกมาเป็นภาพวาด
  • อุปกรณ์ใครคิดว่าไม่สำคัญ :  ของดีไม่ใช่ของแพงเสมอไป  แต่คุณพ่อคุณแม่ควรเลือกอุปกรณ์ศิลปะให้เหมาะสมตามวัยของเด็ก  เช่น  เลือกใช้สีแท่งขนาดเหมาะมือที่ปราศจากสารเคมีอันตรายให้ลูกเล็ก  หรือเลือกใช้กระดาษแผ่นใหญ่  ให้เด็กได้นั่งวาดนอนวาดบนพื้นร่วมกับคุณพ่อคุณแม่  เขาก็จะยิ่งสนุกและมีทัศนคติที่ดีกับงานศิลปะมากขึ้น

สังเกตให้ดี ภาพวาดบอก IQ  EQ  SQ 


ถ้าเราจะดูว่าเด็กคนไหน ไอคิวค่อนข้างดีกับไอคิวต่ำกว่าวัย  เราดูได้ง่ายๆ ด้วยภาพวาดของเด็ก  ยิ่งรูปวาดมีรายละเอียดมากเท่าใด  ยิ่งเป็นการสะท้อนสติปัญญา  ว่าลูกมีความเข้าใจเรื่องของสัดส่วน  และสามารถสะท้อนภาพให้เหมือนจริงหรือตรงกับภาพในจิตนาการได้หรือไม่  ยิ่งโตขึ้น  ความซับซ้อนและมิติของภาพจึงควรจะมีมากขึ้นด้วย  นอกจากนี้ภาพวาดยังบอกได้ด้วยว่า  ลูกน้อยมีพัฒนาการด้านสังคมอย่างไร  ภาพวาดครอบครัวที่มีความสุข  ภาพวาดกลุ่มเพื่อนที่เล่นกันสนุกสนาน  หรือกลุ่มคนที่ยิ้มแย้มแจ่มใส  ล้วนสะท้อนถึงประสบการณ์ที่เขาได้พบเจอในสังคม  รวมทั้งบ่งบอกอารมณ์และทัศนคติของเขาที่มีในขณะนั้น  เพราะการวาดรูปเป็นการสื่อสารที่เด็กจะรู้สึกสบายใจ  และสามารถระบายความคิดรวมถึงสิ่งที่อยู่ในใจของเขาออกมาได้มากที่สุดแล้วค่ะ




ที่มา  ::   เว็บไซต์  amarinbabyandkids.com