Learn with Prin เรียนรู้ไปพร้อมกับน้องปริญญ์

จำหน่ายผลิตภัณฑ์ Legacy /Reborn Set ลด Fat ตัวช่วยลดไขมัน ลดน้ำหนัก แบบถูกวิธี 🔥 ติดต่อสอบถาม/สั่งซื้อ 📍 โทร ☎️ :: 084-110-5021 🌸 Line ID :: pla-prapasara 🌸 รับโปรโมชั่นสุดพิเศษเฉพาะทาง Line นะคะ 📍

วันพฤหัสบดีที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2567

27 ประโยชน์ของวิตามินซี (Vitamin C)

 27 ประโยชน์ของวิตามินซี (Vitamin C)


วิตามินซี 

วิตามินซี (Vitamin C) มีชื่อทางเคมีซึ่งเป็นตัวที่ออกฤทธิ์คือ กรดแอสคอร์บิก (Ascorbic acid) เป็นวิตามินที่ละลายในน้ำ และร่างกายไม่สามารถสร้างหรือสังเคราะห์เองได้ จึงจำเป็นต้องได้รับโดยการรับประทานอาหาร ซึ่งการเสริมวิตามินซีอาจทำได้โดยการเพิ่มการรับประทานอาหารประเภทผักและผลไม้ เช่น ส้ม กีวี มะละกอ แตงโม องุ่น แคนตาลูป บรอกโคลี กะหล่ำปลี กะหล่ำดอก หรือรับประทานวิตามินซีในรูปของผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร (Dietary supplement) 

ปัจจุบันมีการนำมาวิตามินซีมาใช้ในทางคลินิกอย่างแพร่หลาย ทั้งการป้องกันและการรักษาโรคต่าง ๆ ในบทความนี้จะมากล่าวถึงประโยชน์ของวิตามินซีทางการแพทย์กันอย่างละเอียดตามงานวิจัย รวมถึงผลเสียและข้อควรระวังของการใช้วิตามินซี



อาหารที่ให้วิตามินซีมากที่สุด




รวมผักและผลไม้ที่ให้วิตามินซีมากที่สุดต่อ 100 กรัม จากมากไปน้อย ตามข้อมูลของ USDA FoodData Central และข้อมูลจากสำนักโภชนาการ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุขประเทศไทย ได้แก่


🧡   คาคาดูพลัม (Kakadu plum) เป็นผลไม้พื้นเมืองของประเทศออสเตรเลีย ใน 100 กรัม จะให้วิตามินซี 2,907 มก.

🧡   อะเซโรลาเชอร์รี่ (Acerola Cherry) 100 กรัม ให้วิตามินซี 1,680 มก. 
🧡   โรสฮิป (Rose Hips) หรือ ผลกุหลาบป่า 100 กรัม ให้วิตามินซี 426 มก. 
🧡   มะขามป้อม 100 กรัม ให้วิตามินซี 276 มก. 
🧡   ฝรั่ง 100 กรัม ให้วิตามินซี 228 มก. 
🧡   พริกหวานสีเหลือง 100 กรัม ให้วิตามินซี 184 มก. 
🧡   แบล็กเคอร์แรนต์ (Blackcurrant) 100 กรัม ให้วิตามินซี 181 มก. 
🧡   ผักคะน้า 100 กรัม ให้วิตามินซี 147 มก. 
🧡   พาร์สลีย์ (Parsley) 100 กรัม ให้วิตามินซี 133 มก. 
🧡   ผักปวยเล้ง 100 กรัม ให้วิตามินซี 120 มก. 
🧡   เงาะโรงเรียน 100 กรัม ให้วิตามินซี 97 มก. 
🧡   ผักเคล (Kale) 100 กรัม ให้วิตามินซี 93.4 มก.

🧡   พริกหวานสีเขียว 100 กรัม ให้วิตามินซี 80.4 มก. 
🧡   กีวี 100 กรัม ให้วิตามินซี 74.7 มก. 
🧡   ลิ้นจี่ 100 กรัม ให้วิตามินซี 71.5 มก. 
🧡   ลูกพลับ 100 กรัม ให้วิตามินซี 66 มก. 
🧡   บรอกโคลี 100 กรัม ให้วิตามินซี 64.9 มก. 
🧡   กะหล่ำดาว (Brussels sprouts) 100 กรัม ให้วิตามินซี 62 มก. 
🧡   มะละกอ 100 กรัม ให้วิตามินซี 60.9 มก. 
🧡   ส้ม 100 กรัม ให้วิตามินซี 59.1 มก. (ส้ม 1 ผล หนักประมาณ 140 กรัม ให้วิตามินซีประมาณ 82.7 มก.) 
🧡   สตรอว์เบอร์รี 100 กรัม ให้วิตามินซี 58.8 มก (สตรอว์เบอร์รี 1 ถ้วย ให้วิตามินซีประมาณ 84.7 มก.) 
🧡   มะนาว 100 กรัม ให้วิตามินซี 53 มก. 
🧡   ถั่วลันเตา 100 กรัม ให้วิตามินซี 40 มก. 
🧡   มะม่วง 100 กรัม ให้วิตามินซี 36.4 มก. 
🧡   เกรปฟรุต 100 กรัม ให้วิตามินซี 31.2 มก. 
🧡   มะเขือเทศ 100 กรัม ให้วิตามินซี 13.7 มก. 
🧡   แคนตาลูป 100 กรัม ให้วิตามินซี 10.9 มก. 
🧡   กล้วย 100 กรัม ให้วิตามินซี 8.7 มก. 
🧡   แครอท 100 กรัม ให้วิตามินซี 5.9 มก. 
🧡   แอปเปิ้ล 100 กรัม ให้วิตามินซี 4.6 มก.



ประโยชน์ของวิตามินซี 

มีการศึกษาและงานวิจัยมากมายที่ระบุว่าวิตามินซีอาจมีประโยชน์ต่อสุขภาพหลายประการ ดังนี้ 

1. มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidant) วิตามินซีเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยต่อต้านและลดระดับอนุมูลอิสระได้ เมื่ออนุมูลอิสระในร่างกายลดลงและกลับมาอยู่ในระดับปกติ ความเสี่ยงของโรคที่มาจากการอักเสบและความเสียหายเรื้อรังของเซลล์ภายในร่างกายก็จะลดลง พูดง่าย ๆ ก็คือ วิตามินซีมีส่วนช่วยชะลอการเสื่อมสภาพของเซลล์ต่าง ๆ ในร่างกาย ป้องกันการถูกทำลายและการตายของเซลล์ต่าง ๆ วิตามินซีจึงอาจส่งผลดีต่อร่างกายหลายอย่าง เช่น ลดการเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชั่นของไขมันหลายชนิด เช่น LDL, ลดการเกิดสารไนโตรซามีน (Nitrosamine) ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็ง, ช่วยป้องกันการถูกทำลายของเซลล์บุหลอดเลือดด้านใน (Endothelia cell) จึงดีต่อระบบหัวใจและหลอดเลือด เป็นต้น

🧡   อนุมูลอิสระเป็นสารที่เกิดขึ้นจากกลไกธรรมชาติในร่างกายร่วมกับการมีปัจจัยภายนอกมากระตุ้น หากร่างกายมีอยู่มากเกินไปก็จะทำให้เกิดภาวะไม่สมดุลของร่างกายหรือภาวะเครียดออกซิเดชั่น (Oxidative Stress) ทำให้เกิดความเสื่อมของเซลล์ กระตุ้นการอักเสบของร่างกาย เพิ่มความเสี่ยงของโรคและปัญหาสุขภาพต่าง ๆ ตั้งแต่ระดับไม่รุนแรงหรือโรคเรื้อรังไปจนถึงโรคร้ายแรงหลายชนิด เช่น โรคหลอดเลือดสมอง โรคหัวใจ โรคมะเร็ง


2. เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน จากการศึกษาพบว่าวิตามินซีมีส่วนช่วยกระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดขาว ช่วยเสริมความแข็งแรงและป้องกันความเสียหายของเม็ดเลือดขาวที่เป็นผลมาจากอนุมูลอิสระ โดยรวมจึงทำให้ร่างกายต่อสู้กับเชื้อโรคได้ดีขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้ที่ทำงานหนัก พักผ่อนน้อย หรือสูบบุหรี่ ที่พฤติกรรมเหล่านี้ส่งผลให้เซลล์เม็ดเลือดขาวและระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอลง ก็จะทำให้เกิดโรคหรืออาการของโรครุนแรงขึ้นได้ 

🧡   เม็ดเลือดขาวเป็นหนึ่งในสารภูมิต้านทาน (Antibody) ของร่างกาย มีหน้าที่ในการต่อต้านและกำจัดเชื้อโรคที่เข้าสู่ร่างกาย เมื่อกำจัดเชื้อโรคแปลกปลอมสำเร็จ เม็ดเลือดขาวก็จะจดจำวิธีการตอบสนองต่อเชื้อโรคชนิดนั้น ๆ และส่งผลให้ระบบภูมิคุ้มกันแข็งแรงขึ้น โดยจะช่วยลดความรุนแรง ความเสี่ยงในการติดเชื้อ หรือการป่วยจากเชื้อชนิดเดิมได้

3. ผลิตคอลลาเจน วิตามินซีช่วยให้ร่างกายผลิตคอลลาเจนซึ่งเป็นส่วนประกอบพื้นฐานของเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน คอลลาเจนเป็นองค์ประกอบโครงสร้างที่สำคัญในผนังหลอดเลือด เหงือก ผิวหนัง และกระดูก ทำให้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อผู้ที่ฟื้นตัวจากบาดแผลหรือการผ่าตัด วิตามินซียังช่วยเพิ่มการดูดซึมธาตุเหล็กจากอาหารเสริมและอาหารจากพืช (คอลลาเจนประกอบขึ้นเป็นเนื้อเยื่อเกี่ยวพันในผิวหนัง กระดูกอ่อน เส้นเอ็น และหลอดเลือด การมีคอลลาเจนเพียงพอไม่เพียงแต่ทำให้ผิวและข้อต่อแข็งแรง แต่ยังช่วยรักษาความดันโลหิตของคุณโดยการรักษาหลอดเลือดแดงและเส้นเลือดของคุณให้แข็งแรง)

4. อาจช่วยให้ผิวขาวกระจ่างใสขึ้น (เล็กน้อย) วิตามินซีเป็นสารที่อยู่ในกลุ่มที่ออกฤทธิ์ยับยั้งการสร้างเม็ดสีผิว (Tyrosinase inhibitor) ออกฤทธิ์โดยการไปลดจำนวนของสารควิโนน (Quinones) ที่เป็นตัวเปลี่ยนไปเป็นเม็ดสีผิวที่ทำให้ผิวคล้ำหรือดำ นอกจากนี้วิตามินซียังมีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ จึงช่วยลดสารอนุมูลอิสระที่เป็นตัวกระตุ้นให้เกิดการสร้างเม็ดสีผิว และช่วยป้องกันรังสียูวีจากแสงแดดที่เป็นตัวทำให้ผิวคล้ำ เพราะฉะนั้นตามหลักการเสริมวิตามินซีจึงน่าจะช่วยให้ผิวขาวกระจ่างใสขึ้นได้ แต่อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีหลักฐานที่ชัดเจนว่าการเสริมวิตามินซีในรูปของอาหารเสริมจะช่วยให้ขาวกระจ่างใสขึ้น จึงจำเป็นต้องมีการศึกษาต่อไป

🧡   ขนาดที่ Medthai แนะนำเพื่อความเปลี่ยนแปลงของผิวคือ ขนาด 500 มก. วันละ 2 ครั้ง (หลังอาหารเช้าและเย็น รวมเป็นวันละ 1,000 มก.) ร่วมกับการดูแลผิวอย่างเหมาะสมในทุก ๆ วัน (เช่น การทาครีมกันแดดอย่างสม่ำเสมอ และการหลีกเลี่ยงแสงแดด) ก็จะได้ประโยชน์มากที่สุด (มากกว่าการทาน 1,000 มก. ครั้งเดียว) โดยอาจจะเริ่มเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงของสีผิวเมื่อทานอย่างต่อเนื่อง 30 วันขึ้นไป เพราะเม็ดสีของเราจะมีอายุได้ประมาณ 30 วัน จึงต้องรอให้เม็ดสีผิวเก่าที่สร้างขึ้นก่อนหน้ามีการเสื่อมสภาพหรือหลุดลอกไปก่อน

🧡   ต้องย้ำอีกครั้งว่านี่เป็นเพียงทฤษฎี เอาเข้าจริงทานไปก็อาจจะไม่ได้ผลเลยก็ได้เพราะผิวหนังของเรานั้นมีวิตามินซีอยู่แล้ว แม้การทานวิตามินซีเสริมจะช่วยเพิ่มระดับวิตามินซีในผิวได้ แต่เมื่อระดับวิตามินซีในเลือดเมื่อถึงจุดอิ่มตัวแล้ว ทานไปมากขึ้นก็ไม่ได้ไปช่วยเพิ่มวิตามินซีที่ชั้นผิวแต่อย่างใด (ทานขนาดสูง ๆ ก็เปล่าประโยชน์ ทานขนาดน้อย ๆ ไปเรื่อย ๆ จะดีกว่า)

🧡   ถ้าถามว่าทานแล้วจะขาวขึ้นจริงไหม? ก็ขอตอบชัด ๆ จากประสบการณ์เลยนะครับว่า “ยาก” เพราะขนาดวิตามินซีในรูปแบบฉีดเข้าเส้นเลือดที่เห็นคนไปฉีด ๆ กันมายังแทบไม่ค่อยเห็นผล กับแบบเม็ดคงเป็นไปได้ยากมากครับ และงานวิจัยยืนยันก็ยังไม่มี (เคยมีการศึกษาในใต้หวัดสำหรับวิตามินซีแบบฉีดว่าสามารถช่วยลดเม็ดสีผิวในผู้ป่วยที่ล้างไตได้ ซึ่งในความเป็นจริงเราคงไปนอนฉีดทุกวันไม่ได้ ส่วนอีกการศึกษาก็มีพบว่าเมื่อได้รับวิตามินซีแบบฉีดแล้วรอยดำจากการทำเลเซอร์ดูจางลง แต่นี่เป็นรายงานจากคนไข้เพียง 1 เคส 1 คนเท่านั้น และรอยดำที่ดีขึ้นอาจไม่ใช่มาจากวิตามินซีก็ได้ครับ) เพราะฉะนั้นอย่าหวังผลในเรื่องนี้มาก แต่ส่วนที่พอจะมีหวังได้บ้างเล็กน้อยก็คงจะเป็นเรื่องของผิวดูมีสุขภาพดีเปล่งปลั่ง ป้องกันผิวเสียจากยูวี และการช่วยลดริ้วรอยก่อนวัยเสียมากกว่า

5. ดีต่อสุขภาพผิวและริ้วรอย วิตามินซีมีอยู่ในผิวหนังตามธรรมชาติ มีบทบาทในการสังเคราะห์คอลลาเจนและช่วยปกป้องผิวจากอนุมูลอิสระได้  (ในวัยชราหรือในผู้ที่ผิวถูกทำลายจากอนุมูลอิสระมักมีระดับวิตามินซีในเลือดที่ต่ำกว่าปกติ ) และงานวิจัยส่วนใหญ่ในประเด็นนี้มักทำการศึกษาในรูปแบบครีมหรือเซรั่มสำหรับทาผิวมากกว่ารูปแบบรับประทาน โดยมีการศึกษาที่สำคัญดังนี้

🧡   การเสริมวิตามินซีในรูปแบบรับประทานพบว่า สามารถช่วยปกป้องกันผิวจากรังสียูวี (UV) เมื่อทานร่วมกับวิตามินอี และช่วยลดริ้วรอยเหี่ยวย่นหรือผิวเสียก่อนวัยได้  แต่บางงานวิจัยก็ระบุว่ามีผลน้อย และยังมีข้อสรุปไม่ชัดเจน 
🧡   การศึกษาหลายชิ้นแสดงให้เห็นว่า การใช้ครีมกันแดดที่มีส่วนผสมของวิตามินซีและวิตามินอี สามารถช่วยลดความเสียหายต่อผิวหนังที่เกิดจากรังสียูวีได้เมื่อเทียบกับการใช้ครีมกันแดดเพียงอย่างเดียว  ส่วนการใช้ครีมที่มีส่วนผสมของวิตามินซีเพียงอย่างเดียวดูเหมือนว่าจะไม่มีประโยชน์ในการป้องกันรอยแดงจากรังสียูวีเมื่อเทียบกับสูตรยาหลอก 
🧡   การศึกษาขนาดเล็กในผู้หญิง (อายุเฉลี่ย 55 ปี) พบว่าการใช้เซรั่มวิตามินซี 5% ทาวันละครั้ง เป็นเวลา 6 เดือน ช่วยให้ริ้วรอยเหี่ยวย่น ผิวหยาบกร้าน ผิวหย่อนคล้อย ดีขึ้นเล็กน้อย เมื่อเปรียบเทียบกับเซรั่มที่ไม่มีวิตามินซี  
🧡   การวิจัยในห้องปฏิบัติการโดยใช้หนังสัตว์ พบว่าการดูดซึมของวิตามินซีในรูปแบบทาจะได้ผลดีที่สุดเมื่อผลิตภัณฑ์มีค่า pH น้อยกว่า 3.5 และมีความเข้มข้นของวิตามินซีที่ 10-20%  แต่ปัญหาคือผลิตภัณฑ์ส่วนใหญ่มักไม่ได้บอกรายละเอียดเหล่านี้เอาไว้ และโปรดทราบว่าวิตามินซีรูปแบบทาไม่สามารถซึมผ่านผิวชั้นบนสุด (Stratum corneum) ได้ง่าย และรูปแบบทาไม่ได้ช่วยเพิ่มระดับวิตามินซีในผิวหนังหากว่าร่างกายมีระดับวิตามินซีในเลือดที่อิ่มตัวอยู่แล้ว (ซึ่งเกิดเมื่อรับประทานวิตามินซีวันละ 500 มก.)

6. ป้องกันภาวะขาดวิตามินซี (Vitamin C deficiency) ภาวะนี้อาจพบได้ในผู้รับประทานอาหารที่มีวิตามินซีไม่เพียงพอ หรือพบในกลุ่มเสี่ยง ได้แก่ ผู้สูงอายุ การสูบบุหรี่ ภาวะแอลกอฮอล์เรื้อรัง และภาวะเจ็บป่วยจากโรคเรื้อรังต่าง ๆ เช่น โรคเบาหวาน โรคหัวใจ โรคมะเร็ง โรคหอบหืด โรคไตวายเรื้อรัง โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ เป็นต้น และภาวะขาดวิตามินซียังเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเลือดออกตามไรฟัน ทำให้แผลหายช้าในผู้ป่วยที่มีแผล (การสมานแผลอาจลดลง) เกิดภาวะโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็ก ส่วนอาการแรกเริ่มของการขาดวิตามินซีมักจะไม่เฉพาะเจาะจง เช่น อาจทำให้มีอาการอ่อนเพลีย กล้ามเนื้ออ่อนแรง มีอาการปวดตามแขนขา หายใจสั้น ข้ออักเสบ เป็นต้น ซึ่งการได้รับวิตามินซีอย่างเพียงพอต่อวันสามารถช่วยป้องกันโรคหรืออาการเหล่านี้ได้

🧡   เลือดออกตามไรฟัน (Scurvy) การขาดวิตามินซีเป็นเวลานานอาจทำให้เกิดโรคเลือดออกตามไรฟันได้ โดยจากการศึกษาพบว่า ผู้ที่มีระดับวิตามินซีในเลือดต่ำ (27 µmol/L หรือต่ำกว่าในผู้ใหญ่) หรือได้รับวิตามินซีจากการบริโภคอาหารต่ำ (เพียงวันละ 30-60 มก. ในผู้ใหญ่) สัมพันธ์กับการเกิดอาการเลือดออกตามไรฟัน และการเสริมวิตามินซีเฉลี่ยวันละ 222 มก. เป็นเวลา 41 วัน สามารถช่วยลดอาการเลือดออกตามไรฟันได้ (นักวิจัยแนะนำว่าปริมาณเพียงครึ่งหนึ่งหรือ 110 มก. ก็ถือว่าเพียงพอแล้ว เพราะเป็นปริมาณที่มากกว่า RDA ที่แนะนำในผู้ใหญ่) อย่างไรก็ตาม ในผู้ที่มีระดับวิตามินซีในเลือดอยู่ในระดับปกติ คือ 48-70 µmol/L อาหารเสริมวิตามินซีจะไม่ได้ช่วยลดอาการเลือดออกตามฟัน


🧡   ภาวะโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็ก การขาดวิตามินซีส่งผลต่อการดูดซึมของธาตุเหล็ก และหากร่างกายขาดธาตุเหล็กก็อาจทำให้เกิดภาวะโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็ก (Iron deficiency anemia) ได้ ซึ่งจะทำให้มีอาการเหนื่อยง่ายเวลาออกแรง อ่อนเพลีย ใจสั่น ง่วงนอน ปวดศีรษะ เวียนศีรษะ วูบหน้ามืด ตัวซีด ผมร่วง ผิวแห้ง เล็บผิดปกติ ฯลฯ


🧡   เล็บผิดปกติ การศึกษาพบว่าการขาดวิตามินซีอาจเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงของสุขภาพเล็บ เช่น ทำให้เล็บเว้าลงจนคล้ายรูปช้อน (Koilonychia), เล็บอ่อนและบางทำให้งอหรือหักได้ง่าย (Hapalonychia)  ซึ่งอาจเป็นเพราะวิตามินซีช่วยเพิ่มการดูดซึมของธาตุเหล็ก และการขาดธาตุเหล็กส่งผลต่อสุขภาพเล็บ อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีการศึกษาใดแสดงให้เห็นได้ว่า การเสริมวิตามินซีจะช่วยให้เล็บมีสุขภาพดีขึ้นทั้งในคนปกติหรือในคนที่ร่างกายขาดวิตามินซีหรือธาตุเหล็ก


🧡   การอักเสบของข้อ การขาดวิตามินซีอาจทำให้เกิดอาการคล้ายกับอาการอักเสบ เช่น ปวดกล้ามเนื้อ ปวดข้อ โดยมีรายงานว่าผู้ป่วยจำนวน 10คน (อายุ 3-20 ปี) ที่เป็นโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ในเด็ก (Juvenile arthritis) และโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ (Rheumatoid arthritis) มีระดับวิตามินซีในเลือดที่ต่ำผิดปกติ และการเสริมวิตามินซีวันละ 250-1,000 มก. สามารถช่วยให้ผู้ป่วยทั้ง 10 คนหายจากอาการดังกล่าวได้  สอดคล้องกับอีก 2 การศึกษาที่พบว่าวิตามินซีอาจช่วยหยุดการทำลายของข้อที่อักเสบได้


🧡  การขาดสารอาหารมีผลลดการทำงานของเยื่อบุผนังหลอดเลือดที่เหมาะสมและมีส่วนเกี่ยวข้องกับการเกิดภาวะความดันหลอดเลือดแดงปอดสูง (Pulmonary arterial hypertension) โดยมีรายงานเรื่องนี้ในชายอายุ 60 ปีที่มีภาวะการขาดวิตามินซีอย่างรุนแรง ทำให้ผู้ป่วยมีอาการหายใจลำบาก ขาบวม และอาการอื่น ๆ ของการขาดวิตามินซีที่ระบุไว้ข้างต้น แต่เมื่อให้การรักษาด้วยการเสริมวิตามินซี 1,000 มก. วันละ 2 ครั้ง เป็นเวลา 5 เดือน อาการดังกล่าวก็หายไป (ระดับวิตามินซีในเลือดเพิ่มขึ้นจาก 5.7 µmol/L เป็น 85 µmol/L)

7. ลดความรุนแรงและระยะเวลาที่เป็นหวัด การรับประทานวิตามินซีเป็นประจำสามารถช่วยลดความรุนแรงและระยะเวลาในการเป็นหวัดได้เล็กน้อย (ส่วนการเสริมเมื่อเป็นหวัดไม่มีประโยชน์) และอาจช่วยป้องกันการเป็นหวัดได้ในบางกรณี เช่น ในกลุ่มคนที่ออกกำลังกายหรือเล่นกีฬาอย่างหนัก หรือในช่วงฤดูหนาว (ปริมาณที่ Medthai แนะนำสำหรับไข้หวัดคือ 500 มก. วันละ 2 ครั้ง เช้าและเย็น) ส่วนรายละเอียดการศึกษาที่สำคัญดังนี้


🧡  วิตามินซีช่วยในการทำงานของเม็ดเลือดขาวในการกำจัดเชื้อโรคและช่วยให้การทำงานของระบบภูมิคุ้มกันต่อต้านเชื้อโรคได้ดียิ่งขึ้น โดยจากการศึกษาพบว่า การเสริมวิตามินซีวันละ 250 มก. เป็นอย่างน้อย สามารถช่วยเพิ่ม Neutrophils chemotaxis (เป็นตัวป้องกันหลักของร่างกายจากเชื้อโรคต่าง ๆ) ได้ประมาณ 20% และผลด้านนี้จะดีขึ้นถ้าทานร่วมกับวิตามินอี


🧡  การเสริมวิตามินซีเป็นประจำช่วยลดความรุนแรงและระยะเวลาที่เป็นหวัดได้ โดยที่ในเด็กจะมีแนวโน้มได้ประโยชน์มากกว่าผู้ใหญ่ และการเสริมวิตามินซีวันละ 2,000 มก. อาจมีประสิทธิภาพดีกว่าการเสริมวันละ 1,000 มก. ในการลดความรุนแรงและระยะเวลาการเป็นหวัด แต่เมื่อพิจารณาจากประสิทธิภาพและความปลอดภัยแล้ว ขนาดมาตรฐานที่แนะนำสำหรับหวัดคือวันละ 1,000 มก.


🧡   การทบทวนการศึกษาจำนวน 44 ชิ้น พบว่าการเสริมวิตามินซีก่อนเป็นหวัด (โดยปกติคือวันละ 1,000 มก.) สามารถช่วยลดความรุนแรงของอาการหวัดได้เล็กน้อยประมาณ 5% และช่วยให้หายจากอาการหวัดได้เร็วขึ้นประมาณ 8% ในผู้ใหญ่และ 14% ในผู้หญิง เมื่อเปรียบเทียบกับยาหลอก ส่วนการเสริมวิตามินซีหลังจากที่เป็นหวัดไปแล้วพบว่าไม่มีประโยชน์ คือ ไม่ได้ช่วยลดความรุนแรงและระยะเวลาที่เป็นหวัดเมื่อเทียบกับกลุ่มที่ได้รับยาหลอก [21] อย่างไรก็ตาม มีการศึกษาที่พบว่าการเสริมวิตามินซีในขนาดสูงวันละ 6,000-8,000 มก. ภายใน 24 ชั่วโมงหลังเป็นหวัด สามารถช่วยลดความรุนแรงและระยะเวลาที่เป็นหวัดได้ แต่การเสริมวิตามินซีในขนาด 3,000-4,000 มก. พบว่าไม่มีประโยชน์ต่อผู้ป่วย


🧡   จากการวิเคราะห์การทดลองทางคลินิก 9 ฉบับ (ระหว่างปี 1950-2001) สรุปได้ว่า การเสริมวิตามินซีเป็นประจำวันละ 1,000 มก. หรือน้อยกว่า หรือการเสริมวิตามินซีในขนาดที่สูงขึ้นเป็นวันละ 3,000-4,000 มก. ในช่วงที่เป็นหวัด อาจช่วยลดระยะเวลาที่เป็นหวัดลงได้เล็กน้อย (ประมาณครึ่งวัน) และลดอาการหนาวสั่นและเจ็บหน้าอกได้เล็กน้อย แต่ไม่ได้ช่วยให้อาการคัดจมูกหรืออาการเจ็บคอดีขึ้น เมื่อเทียบกับกลุ่มที่ได้รับยาหลอก

🧡   การศึกษาทั่วไปพบว่า การเสริมวิตามินซีก่อนเป็นหวัดไม่สามารถช่วยป้องกันหรือลดความเสี่ยงต่อการเป็นหวัดได้ ยกเว้นในกลุ่มที่มีภาวะความเครียดทางกายภาพ เช่น ผู้ที่ออกกำลังกายหรือเล่นกีฬาอย่างหนัก เช่น นักกีฬามาราธอน นักสกี หรือทหาร จะสามารถลดความเสี่ยงจากการเป็นหวัดได้ถึง 52% เมื่อเทียบกับกลุ่มที่ได้รับยาหลอก (หากรับประทานวิตามินซีก่อนเป็นหวัดหลายวัน)


🧡   การศึกษาเล็ก ๆ ในผู้ชายที่มีสุขภาพดีและไม่สูบบุหรี่ (อายุ 18-35 ปี) ที่มีระดับวิตามินซีในเลือดต่ำถึงปานกลาง (น้อยกว่า 45 µmol/L) พบว่าการเสริมวิตามินซี 500 มก. วันละ 2 ครั้งเช้าและเย็น ติดต่อกันเป็นเวลา 2 เดือน จะมีโอกาสเป็นหวัด “ในช่วงฤดูหนาว” น้อยลงเมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มที่ได้รับยาหลอก (7 ต่อ 11 คน) และช่วยลดระยะเวลาการป่วยเป็นหวัดลง 59% เมื่อเทียบกับกลุ่มที่ได้รับยาหลอก


8. ลดอาการภูมิแพ้ วิตามินซีสามารถช่วยลดระดับการผลิตฮีสตามีน (Histamine) ซึ่งเป็นตัวการของอาการที่ไม่พึงประสงค์ของโรคภูมิแพ้ได้ โดยมีการศึกษาที่พบว่าการเสริมวิตามินซีวันละ 2,000 มก. เป็นเวลา 1 เดือนขึ้นไป สามารถช่วยลดระดับฮีสตามีนได้ประมาณ 38% และมีผลช่วยให้ลดการกำเริบและอาการของภูมิแพ้ดีขึ้น  สอดคล้องกับอีกการศึกษาที่ให้วิตามินซีสูงในขนาด 7,500 มก. ทางเส้นเลือด แล้วพบว่าระดับฮีสตามีนลดลงประมาณ 50%  และยังสัมพันธ์กับอาการภูมิแพ้ที่ลดลงอีกด้วย เช่น น้ำมูกไหล ตาม คัน กระสับกระส่าย ปัญหาเรื่องการนอนหลับ

9. อาการเมาเรือ วิตามินซีอาจมีประสิทธิภาพในการแก้อาการเมาเรือ (โดยเฉพาะในผูหญิงและผู้ชายที่อายุน้อยกว่า 27 ปี) โดยไม่มีผลข้างเคียง เพราะระดับฮีสตามีนที่สูงขึ้นเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการเมาเรือ

10. โควิด 19 (COVID-19) เนื่องจากวิตามินซีมีบทบาทช่วยเสริมระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง อาหารเสริมวิตามินซีจึงได้รับการส่งเสริมโดยแพทย์บางท่านเพื่อใช้ป้องกัน COVID-19 จากการติดเชื้อ SARS-CoV-2 อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีหลักฐานที่ชัดเจนว่าการได้รับวิตามินซีเกินความต้องการในแต่ละวันจะช่วยป้องกันการติดเชื้อ COVID-19 หรือช่วยลดระยะเวลาและความรุนแรงของโรคเมื่อป่วยได้


🧡   การศึกษาในผู้ใหญ่ที่ได้รับการวินิจฉัยว่าติดเชื้อ COVID-19 จำนวน 214 คน พบว่าการรับประทานวิตามินซีวันละ 8,000 มก. (แบ่งทานวันละ 2-3 มื้อหลังอาหาร) ไม่ได้ช่วยลดระยะเวลาของอาการโควิดได้อย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับการรักษามาตรฐานตามปกติ และผู้ที่ได้รับวิตามินซียังมีแนวโน้มที่จะเกิดอาการคลื่นไส้ ท้องร่วง และปวดท้องมากขึ้นด้วย ซึ่งเป็นผลข้างเคียงที่พบได้บ่อยจากการรับประทานวิตามินซีในขนาดสูง และยังไม่พบประโยชน์เมื่อทำการเสริมวิตามินซีร่วมกับสังกะสีหรือซิงค์ (Zinc) ในขนาดสูงวันละ 50 มก. หรือเสริมซิงค์เพียงอย่างเดียวก็ตาม สอดคล้องกับการศึกษาในกลุ่มชายและหญิงจำนวน 98 คน (อายุ 40 ปีขึ้นไป) ที่ป่วยเป็น COVID-19 และมีอาการเล็กน้อยถึงปานกลาง ซึ่งเมื่อให้รับประทานวิตามินซี 1,000 มก. ทุกวันเป็นเวลา 14 วันหลังมีอาการได้ 6 เดือน ก็ไม่พบว่าวิตามินซีจะช่วยลดระยะเวลาที่ป่วยหรือความรุนแรงของโรคแต่อย่างใดเมื่อเทียบกับกลุ่มที่ได้รับยาหลอก


🧡   การเสริมวิตามินซีวันละ 1,000-6,000 มก. ก่อนติด COVID-19 ดูเหมือนว่าจะมีประโยชน์เล็กน้อยกับผู้ป่วยที่ติดโควิดที่มีอาการวิกฤตและต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ (ช่วยลดระยะเวลาในการช่วยหายใจโดยเฉลี่ย 25%)  ส่วนอีกการศึกษาในประเทศจีน (อายุเฉลี่ย 66 ปี) พบว่าการเสริมวิตามินซีในขนาดที่สูงมาก ๆ คือวันละ 24,000 มก. (ทางเส้นเลือด) เป็นเวลา 7 วัน ทำให้ออกซิเจนในเลือดดีขึ้นเล็กน้อย แต่ไม่ได้ช่วยลดวันที่ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจหรือการตายในช่วง 28 วันหลังเข้ารับการรักษาเมื่อเทียบกับกลุ่มที่ได้รับยาหลอก


🧡   การศึกษาย้อนหลังในผู้ป่วยหนักจากโรค COVID-19 และมีอาการช็อก จำนวน 15 คน (อายุเฉลี่ย 72 ปี) พบว่าอัตราการเสียชีวิตก็ยังสูงมากถึง 80% แม้จะให้วิตามินซีวันละ 3,000 มก. เป็นเวลา 2-5 วัน พร้อมกับการรักษาด้วยยามาตรฐานก็ตาม

11. ลดความดันโลหิต จากการทบทวนการศึกษาจำนวน 29 เรื่อง ซึ่งส่วนใหญ่ใช้วิตามินซีวันละ 500 หรือ 1,000 มก. พบว่าความดันโลหิตตัวบน (SBP) ลดลงเฉลี่ย 3.84 mmHg และความดันโลหิตตัวล่าง (DBP) ลดลงเฉลี่ย 1.48 mmHg  สอดคล้องกับอีกการศึกษาในผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงที่พบว่า ความดันตัวบนลดลงมากกว่า 4.85 mmHg และตัวล่าง 1.67 mmHg (การศึกษานี้ ไม่พบว่าวิตามินซีมีผลโดยตรงในการป้องกันหรือลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด (Cardiovascular disease) ซึ่งอาจเป็นเพราะการทดลองมีระยะสั้นเกินไป) อย่างไรก็ตาม การลดความดันโลหิตด้วยการเสริมวิตามินซีนั้นช่วยได้เล็กน้อยเมื่อเทียบกับการใช้ยามาตรฐานที่จะลดความดันโลหิตได้ประมาณ 10 mmHg

🧡   การศึกษาของ Mullan BA และคณะ พบว่าการเสริมวิตามินซีวันละ 500 มก. เป็นเวลา 1 เดือน สามารถช่วยลดความดันโลหิตและความแข็งตัวของหลอดเลือดในผู้ป่วยเบาหวานได้

12. ลดระดับน้ำตาลในเลือด การศึกษาในปี 2018 ในผู้ใหญ่ที่มีน้ำหนักเกินหรือเป็นโรคอ้วน โดยทั้ง 27 คนเป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 พบว่าการเสริมวิตามินซี 500 มก. วันละ 2 ครั้ง (1,000 มก./วัน) เป็นเวลา 4 เดือน นอกจากจะช่วยลดความดันโลหิตเมื่อเปรียบเทียบกับยาหลอกแล้ว (ความดันตัวบน (SBP) ลดลงเฉลี่ย 7 mmHg และความดันตัวล่าง (DBP) ลดลงเฉลี่ย 5 mmHg)) ยังช่วยลดปริมาณน้ำตาลกลูโคสหลังรับประทานอาหารได้ถึง 36% และมีภาวะน้ำตาลในเลือดสูงน้อยลงไป 2.8 ชั่วโมงในแต่ละวัน (แต่ไม่มีผลต่อค่าน้ำตาลสะสม (HbA1c)

🧡   การศึกษาในปี 2017 พบว่าในผู้ที่เป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 จะมีระดับวิตามินซีในเลือดน้อยกว่าผู้ที่มีระดับน้ำตาลในเลือดปกติอย่างมีนัยสำคัญ และมีความต้องการวิตามินซีที่มากกว่าตยปกติ และการศึกษายังพบด้วยว่า ผู้ที่เป็นโรคอ้วน ผู้ที่สูบบุหรี่ รวมถึงผู้ที่เสี่ยงเป็นเบาหวาน ก็พบระดับวิตามินซีในเลือดต่ำเช่นกัน และร่างกายจำเป็นต้องได้รับวิตามินซีเพิ่มขึ้น

🧡   การศึกษาที่เก่ากว่าในปี 2007 พบว่าการเสริมวิตามินซีวันละ 1,000 มก. ในผู้ที่เป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 เป็นเวลา 6 สัปดาห์ ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือด (FBS), ค่าน้ำตาลสะสม (HbA1c), ไตรกลีเซอร์ไรด์ (TG), คอเลสเตอรอลชนิดไม่ดี (LDL) และระดับฮอร์โมนอินซูลินลดลงอย่างนัยสำคัญเมื่อเทียบกับกลุ่มที่ได้รับยาหลอกอย่าง อย่างไรก็ตาม การให้วิตามินซีวันละ 500 มก. ไม่พบการเปลี่ยนอย่างมีนัยสำคัญ

13. โรคหัวใจและหลอดเลือด ด้วยวิตามินซีมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ, มีฤทธิ์ลดปฏิกิริยาออกซิเดชั่นของไขมันชนิด LDL และมีฤทธิ์ป้องกันการถูกทำลายจากเซลล์บุหลอดเลือดด้านใน จึงเชื่อว่าการเสริมวิตามินซีอาจเป็นประโยชน์ต่อระบบหัวใจและหลอดเลือด โดยมีการศึกษาที่พบว่าการได้รับวิตามินซีจากอาหารน้อยมีความสัมพันธ์กับการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด รวมถึงการเกิดโรคหลอดเลือดสมอง (Stroke) อย่างไรก็ตาม เมื่อศึกษาผลของการใช้วิตามินซีในรูปของอาหารเสริมยังไม่สามารถสรุปได้ เนื่องจากการศึกษาในปัจจุบันให้ผลขัดแย้งกัน แต่เชื่อว่าการเสริมวิตามินซีน่าจะมีประโยชน์ในการลดความเสี่ยงนี้ในผู้ที่มีภาวะขาดวิตามินซี


🧡   การเสริมวิตามินซีวันละ 500 มก. สามารถช่วยลดภาวะหลอดเลือดกลับมาตีบซ้ำอีกหลังจากการขยายหลอดเลือดด้วยวิธี Angioplasty

14. โรคไขมันพอกตับ (Non-alcoholic fatty liver disease : NAFLD) การรับประทานอาหารที่มีวิตามินซีสูง (มากกว่าวันละ 146 มก.) สัมพันธ์กับอัตราการเกิดโรคไขมันพอกตับ (NAFLD) ที่ลดลง 29% เมื่อเทียบกับผู้ที่ได้รับวิตามินซีต่ำ (น้อยกว่าวันละ 75 มก.)


🧡   การศึกษาในประเทศจีนในคนที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคไขมันพอกตับ (NAFLD) จำนวน 84 คน ซึ่งไม่มีใครขาดวิตามินซี พบว่าการรับประทานวิตามินซีวันละ 200, 1,000 หรือ 2,000 มก. ก่อนอาหารเป็นเวลา 12 สัปดาห์ บ่งชี้ว่าการทำงานของตับดีขึ้น (AST, ALT และ/หรือ GGT) โดยกลุ่มที่ให้ในขนาด 1,000 มก. พบว่าได้ประโยชน์สูงสุด


15. ลดความเสี่ยงการเสียชีวิตจากทุกสาเหตุ การศึกษาในระยะยาว (ประมาณ 14 ปี) พบว่าความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตจะต่ำเมื่อมีระดับวิตามินซีในเลือดมากกว่า 15.33 µmol/L และความเสี่ยงจะลดลงอย่างต่อเนื่องจนถึง 45.99-59.62 µmol/L โดยที่ระดับวิตามินซีในเลือดที่มากกว่านี้จะไม่ลดความเสี่ยงลงอีก ส่วนความเสี่ยงจากการเสียชีวิตด้วยโรคหัวใจและหลอดเลือดก็พบว่ามีลักษณะคล้ายกัน แต่กับความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตจากโรคมะเร็งจะยังลดลงได้อย่างต่อเนื่องแม้จะมีระดับวิตามินซีในเลือดที่สูงขึ้นหรือสูงกว่า 60.19 µmol/L อย่างไรก็ตาม มีการศึกษาที่แยกออกมาที่พบว่าระดับวิตามินซีในเลือดที่สูงกว่า 60 µmol/L มีความสัมพันธ์กับความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตที่เพิ่มขึ้นแทน (แทนที่จะลดลง) เมื่อเทียบกับระดับวิตามินซีในเลือดที่ต่ำกว่า (อ่านข้อเพิ่มเติมในหัวข้อ “ผลข้างเคียง/ข้อควรระวัง” ด้านล่าง)


🧡   ผู้สูงอายุที่รับประทานวิตามินซีและวิตามินอีเสริมมีอัตราการตายจากโรคก่อนเวลาอันควรน้อยกว่าเมื่อเทียบกับกลุ่มที่ไม่ได้เสริม [42] สอดคล้องกับการศึกษาในแคลิฟอร์เนียที่พบว่า ผู้ที่เสริมวิตามินซีมากกว่าวันละ 750 มก. มีอัตราการตายจากโรคก่อนเวลาอันควรลดลง 60%


🧡   การเสริมวิตามินซีวันละมากกว่า 700 มก. ช่วยลดความเสี่ยงจากการตายด้วยโรคหัวใจ 62% เมื่อเทียบกับกลุ่มที่ได้รับวิตามินซีวันละ 60 มก. หรือน้อยกว่า


16. ลดความเสี่ยงมะเร็ง มีทฤษฎีว่าวิตามินซีอาจช่วยป้องกันมะเร็งได้จากการศึกษาเมื่อนานมาแล้วที่พบว่าการรับประทานผักและผลไม้ที่ให้ปริมาณวิตามินซีขนาด 200 มก./วัน มีความสัมพันธ์กับการลดลงของอุบัติการณ์เกิดโรคมะเร็งช่องปาก มะเร็งปอด มะเร็งหลอดอาหาร มะเร็งลำไส้ และมะเร็งกระเพาะอาหาร (พบประโยชน์ชัดเจนที่สุดในการป้องกันมะเร็งกระเพาะอาหาร) แต่ยังไม่ชัดเจนว่าประโยชน์ที่เกิดขึ้นเป็นผลมาจากวิตามินซีหรือสารอื่น ๆ ที่มีในผักและผลไม้ ส่วนการศึกษาใหม่ ๆ เราพบว่าการใช้วิตามินซีในรูปอาหารเสริมแบบเดี่ยว ๆ ไม่ได้ช่วยป้องกันการเกิดมะเร็งได้ (แต่ในรูปของอาหารปกติอาจช่วยได้) เช่น การศึกษาในผู้ชายที่มีสุขภาพดีที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป พบว่าการเสริมวิตามินซีวันละ 500 มก. และวิตามินอี 400 IU (วันเว้นวัน) ไม่ได้ช่วยลดความเสี่ยงของโรคมะเร็งต่อมลูกหมากหรือมะเร็งทั้งหมด สอดคล้องกับการศึกษาในประเทศแคนาดาในผู้ชายสูงอายุที่ไม่พบความเกี่ยวข้องใด ๆ ระหว่างการเสริมวิตามินซีทั้งจากอาหารปกติและอาหารเสริมกับอุบัติการณ์เกิดโรคมะเร็งต่อมลูกหมากและระดับความรุนแรงของโรคมะเร็งต่อมลูกหมาก

🧡   การได้รับวิตามินซีในปริมาณที่เหมาะสมมีผลช่วยลดความเสี่ยงต่อการโรคมะเร็งหลายชนิด ได้แก่ มะเร็งเต้านม ปากมดลูก ลำไส้ใหญ่ ลำไส้ตรง หลอดอาหาร ช่องปาก กล่องเสียง ปอด ต่อมลูกหมาก และมะเร็งกระเพาะอาหาร


🧡   มะเร็งลำไส้ใหญ่ (Colorectal cancer) การเสริมวิตามินซีวันละ 3,000 มก. ช่วยป้องกันการเจริญเติบโตของมะเร็งลำไส้ใหญ่ และพบว่าการบริโภควิตามินซีมากกว่าวันละ 157 มก. ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้ 50%


🧡   มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ (Bladder cancer) การเสริมวิตามินซีวันละ 500 มก. นาน 10 ปีหรือมากกว่าในผู้ชายและหญิงวัยกลางคน พบว่าช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งกระเพาะปัสสาวะได้


🧡   การเสริมวิตามินซีวันละมากกว่า 10,000 มก. ในการรักษาผู้ป่วยมะเร็ง พบว่าผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้ายที่ได้รับวิตามินซีมีชีวิตอยู่นานกว่ากลุ่มที่ไม่ได้รับวิตามินซี เกิดความเจ็บปวดน้อยกว่า และโดยรวมมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น (เมื่อเสริมวิตามินอื่น ๆ เข้าไปด้วยในปริมาณมาก คือ เบต้าแคโรทีน วิตามินอี ไนอะซิน วิตามินบีอื่น ๆ และแร่ธาตุบางอย่าง ก็พบว่ากลุ่มผู้ป่วยมะเร็งที่ได้รับการเสริมวิตามินและแร่ธาตุดังกล่าว มีชีวิตอยู่ได้นานกว่ากลุ่มที่ไม่ได้เสริม)

🧡   เชื่อว่าการแพร่กระจายตัวของมะเร็งเต้านมส่วนใหญ่สามารถควบคุมได้ด้วยการเสริมวิตามินซีที่มากขึ้น


17. ต้อกระจกและจอตาเสื่อม ในระยะยาว 10 ปีขึ้นไป ดูเหมือนว่าการได้รับวิตามินซีในขนาดต่ำ คือ 60-250 มก. อาจช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคต้อกระจกได้ ในขณะที่วิตามินซีขนาดสูงไม่ได้ช่วยลดความเสี่ยง แต่กลับเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคต้อกระจกแทน นอกจากนี้ วิตามินซีในขนาด 250 มก. ยังเป็นส่วนหนึ่งของสูตร ARED2 ด้วย ซึ่งเป็นสูตรของวิตามินที่ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าช่วยชะลอการลุกลามของโรคจอตาเสื่อมในผู้สูงอายุ (Age-related macular degeneration : AMD) ส่วนการศึกษาที่เกี่ยวข้องมีดังนี้

🧡   การเสริมวิตามินซีในปริมาณที่เหมาะสม สามารถช่วยลดความเสี่ยงและชะลอการลุกลามของโรคต้อกระจกได้ โดยมีการศึกษาในประเทศอังกฤษที่พบว่า เมื่อเทียบกับผู้ที่บริโภควิตามินซีจากอาหารต่ำที่สุด ในผู้ที่บริโภควิตามินซีจากอาหารมากที่สุดจะมีโอกาสเกิดโรคต้อกระจกน้อยลง 19% และโอกาสเกิดต้อกระจกจะน้อยลง 33% ในอีก 10 ปีข้างหน้า ส่วนผู้ที่รับประทานวิตามินซีในรูปของอาหารเสริมรวมถึงวิตามินรวม ก็มีโอกาสน้อยลงเช่นกันที่จะเป็นโรคต้อกระจก


🧡   การศึกษาในประเทศแคนาดาในผู้ชายที่มีสุขภาพดี พบว่าการเสริมวิตามินซีวันละ 500 มก. และวิตามินอี 400IU (วันเว้นวัน) ในระยะยาว ไม่สามารถป้องกันการเกิดโรคต้อกระจกได้


🧡   การศึกษาในระยะยาวอื่น ๆ มากกว่า 10 ปี แนะนำว่าการเสริมวิตามินซีในปริมาณที่เหมาะสมคือ 150-250 มก. อาจช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคต้อกระจกได้ และการบริโภค

🧡   การศึกษาในระยะยาวพบว่า การเสริมวิตามินรวมในขนาดที่เหมาะสม (มีวิตามินซีรวมอยู่ด้วย 60 มก.) สามารถช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคต้อกระจกได้ (แต่ไม่มีผลต่อโรคจอตาเสื่อม (AMD)) ในขณะที่สูตรที่มีวิตามินซีสูง (500 มก.) พบว่าไม่ได้ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคต้อกระจก

18. ภาวะแทรกซ้อนของโรคงูสวัด (Shingles) ระดับวิตามินซีในเลือดที่ต่ำ (ต่ำกว่าหรือเท่ากับ 45 µmol/L) จะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดอาการแทรกซ้อนที่พบได้บ่อยของโรคงูสวัดที่เรียกว่า อาการปวดปลายประสาทหลังเป็นโรคงูสวัด (Postherpetic neuralgia) ซึ่งจะทำให้มีอาการปวดมากในบริเวณที่เป็นผื่น แม้ว่าผื่นจากโรคจะหายไปแล้วก็ตาม แต่การศึกษาพบว่า การฉีดวิตามินซีเข้าเส้นเลือดในขนาดวันละ 2.5-15 กรัม (2,500-15,000 มก.) เป็นเวลา 3-14 วัน ร่วมกับการรักษามาตรฐานตามปกติ จะช่วยลดอาการปวดและความรุนแรงจากอาการแทรกซ้อนที่พบบ่อยดังกล่าวได้  อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีการศึกษาว่าการใช้วิตามินซีในรูปแบบรับประทานจะได้ประโยชน์เหมือนวิตามินซีแบบฉีดหรือไม่


19. รักษาแผลที่เท้า การทดลองทางคลินิกขนาดเล็กพบว่า การเสริมวิตามินซีอาจช่วยรักษาแผลที่เท้าของผู้ป่วยเบาหวานให้ดีขึ้นได้ (รวมถึงโรคหลอดเลือด และสภาวะอื่น ๆ ที่เอื้อต่อการเกิดแผลที่เท้า) โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้ป่วยมีระดับวิตามินซีต่ำหรือได้รับวิตามินซีไม่เพียงพอ โดยการศึกษานี้ได้ทำการศึกษาในผู้สูงอายุจำนวน 16 คน (อายุเฉลี่ย 60 ปี) ที่เป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 1 และ 2 โรคหลอดเลือด หรือโรคอื่น ๆ ที่เป็นแผลที่เท้า โดยกลุ่มแรกให้ทานวิตามินซีแบบออกฤทธิ์ช้าวันละ 500 มก. เป็นเวลา 2 เดือน ส่วนอีกกลุ่มจะได้รับยาหลอก (ผู้ป่วยครึ่งหนึ่งของแต่ละกลุ่มมีระดับวิตามินซีในเลือดต่ำ) พบว่ากลุ่มที่ได้รับวิตามินซีแผลที่เท้ามีอาการดีขึ้นทุกคน ในขณะกลุ่มที่ได้รับยาหลอกมีอาการดีขึ้น แต่ไม่ทุกคน (มีจำนวน 44% ที่อาการไม่ดีขึ้น)

20. ป้องกันแผลกดทับ การเสริมวิตามินซีวันละ 1,000 มก. พบว่าช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดแผลกดทับในผู้ป่วยผ่าตัดได้อย่างมีนัยสำคัญ

21. ลดความเสี่ยงการเกิดโรคเกาต์ โดยมีงานวิจัยพบว่า กลุ่มที่ได้รับวิตามินซีจากอาหารเสริมในขนาดวันละ 1,000-1,499 มก. จะมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเกาต์น้อยกว่ากลุ่มที่ไม่ได้รับวิตามินซีประมาณ 34% และหากรับประทานวันละมากกว่า 1,500 มก. จะลดความเสี่ยงได้มากขึ้นเป็น 45%  โดยสอดคล้องกับอีกงานวิจัยที่พบว่า การได้รับวิตามินซีเสริมสามารถช่วยลดระดับกรดยูริกในเลือดที่เป็นสาเหตุของโรคเกาต์ได้ โดยเมื่อทดลองให้วิตามินซีในหลายขนาดตั้งแต่ น้อยกว่า 90 มก., 90-249, 250-499, 500-999 และ 1000 มก. ขึ้นไป แล้วพบว่าระดับความเข้มข้นของกรดยูริกในเลือดมีค่าเท่ากับ 6.4, 6.1, 6.0, 5.7 และ 5.7 mg/dL ตามลำดับ (การเสริมวิตามินซีวันละ 400-500 มก. ดูเหมือนจะช่วยลดระดับกรดยูริกในเลือดได้ดี และจะไม่ลดลงอีกเมื่อให้วิตามินซีที่สูงขึ้น)

22. อาจดีต่ออารมณ์และอาการซึมเศร้า อีกบทบาทของวิตามินซีที่คนไม่ค่อยรู้ก็คือ วิตามินซีมีบทบาทช่วยในการผลิตและการทำงานของสารสื่อประสาทบางชนิด ซึ่งรวมถึงนอร์อิพิเนฟริน (Norepinephrine) ที่การลดลงของสารนี้เเชื่อมโยงกับการเกิดโรคซึมเศร้า [62] แม้การศึกษาส่วนใหญ่จะแสดงให้เห็นว่าการเสริมวิตามินซีไม่ได้ช่วยในเรื่องนี้ แต่ก็มีบางงานวิจัยที่พบว่าการเสริมวิตามินซีอาจช่วยให้อารมณ์หรือสุขภาพจิตดีขึ้นรวมถึงลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคซึมเศร้า โดยเฉพาะในผู้ที่ร่างกายขาดวิตามินซี โดยมีงานวิจัยที่เกี่ยวข้องดังนี้

🧡   การศึกษาแบบสังเกตในประเทศจีนในผู้ใหญ่ที่มีสุขภาพดีจำนวน 25,895 คน (อายุเฉลี่ย 49 ปี) ที่ประมาณ 2,300 คน (ประมาณ 9%) มีภาวะซึมเศร้า พบว่าการบริโภควิตามินซีในขนาดที่สูงขึ้น (มากกว่า 92.95 มก. หรือสูงกว่าปริมาณที่แนะนำให้บริโภคต่อวัน (RDA) เล็กน้อย สำหรับผู้ชาย (90 มก.) และผู้หญิง (75 มก.)) ความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะซึมเศร้าจะลดลง 27% เมื่อเทียบกับกลุ่มที่บริโภควิตามินซีต่ำ (น้อยกว่าวันละ 430 มก.) แต่การให้ในขนาดที่สูงถึงวันละ 126 มก. ไม่พบประโยชน์เพิ่มเติม

🧡  การศึกษาในผู้ใหญ่ในนิวซีแลนด์จำนวน 128 คน ซึ่งร่างกายได้รับวิตามินซีไม่เพียงพอ พบว่าการรับประทานวิตามินซีวันละ 250 มก. เมื่อเทียบกับยาหลอก เป็นเวลา 4 สัปดาห์ ไม่ได้ช่วยปรับปรุงเรื่องอารมณ์ซึมเศร้า ความโกรธ หรือความวิตกกังวล แต่พบว่ามี Vitality ดีขึ้นเล็กน้อย เช่น ความเหนื่อยล้าลดลง รู้สึกมีความสุขมากขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับอีกการศึกษาในปี 2020 ที่ให้วิตามินซีในผู้ใหญ่วันละ 250 มก. แล้วพบว่ามี Vitality ดีขึ้นเล็กน้อยเช่นกัน

🧡   การศึกษาในผู้ที่ขาดวิตามินซีจำนวน 46 คน พบว่าการให้วิตามินซี 500 มก. วันละ 2 ครั้ง เป็นเวลา 4 สัปดาห์ เมื่อเทียบกับยาหลอกแล้วพบว่าไม่ได้ช่วยเรื่องอารมณ์ซึมเศร้า ความเครียด วิตกกังวล และความเหนื่อยล้า แต่ช่วยเพิ่มแรงจูงใจในการทำงาน เพิ่มสมาธิ และมีส่วนเพิ่มประสิทธิภาพในงานที่ต้องอาศัยความรู้ความเข้าใจและต้องการสมาธิได้เล็กน้อย นอกจากนี้ยังพบว่า การขาดวิตามินซีเกี่ยวข้องกับ Vitality ในระดับที่ต่ำ

23. ใช้เสริมในผู้ที่สูบบุหรี่ เพราะในผู้ที่สูบบุหรี่ร่างกายจะมีการใช้วิตามินซีมากกว่าคนปกติ อีกทั้งในเด็กที่ผู้ปกครองสูบบุหรี่ด้วยก็พบว่าอาจมีปริมาณวิตามินซีในร่างกายที่ลดลงได้ถึง 50% ดังนั้น ผู้สูบบุหรี่หรืออยู่ในสิ่งแวดล้อมที่มีคนสูบบุหรี่ควรเสริมวิตามินซีจากอาหารปกติให้มากขึ้น

24. เพิ่มการดูดซึมธาตุเหล็ก วิตามินซีช่วยเพิ่มดูดซึมของธาตุเหล็กจากอาหารได้ดีขึ้น ซึ่งอาจมีประโยชน์ต่อผู้ที่มีอาการผมร่วงที่มีสาเหตุมาจากการขาดธาตุเหล็ก รวมถึงอาการต่าง ๆ ที่เกิดจากการขาดธาตุเหล็ก

25. รักษาประสิทธิภาพยากลุ่มไนเตรท (Nitrates) จากข้อมูลพบว่าวิตามินซีอาจช่วยรักษาประสิทธิภาพของยาในกลุ่มไนเตรท เช่น ไนโตรกลีเซอริน (Nitroglycerin) ที่ใช้รักษาอาการเจ็บหน้าอกและโรคหลอดเลือดหัวใจ

26. ลดพิษจากสารเสพติดแอมเฟตามีน (Amphetamine) โดยพบว่าการเสริมวิตามินซีวันละ 2,000 มก. จะช่วยลด pH และเพิ่มความเป็นกรดให้แก่ปัสสาวะ จึงมีผลเพิ่มการขับออกแอมเฟตามีนในปัสสาวะได้ (แอมเฟตามีนมีคุณสมบัติเป็นเบสอ่อน) ในทางปฏิบัติจึงมีการนำวิตามินซีมาใช้ในผู้ป่วยที่เกิดพิษจากแอมเฟตามีน เช่น เกิดอาการโรคจิต

27. ลดการดูดซึมนิกเกิล (Nickel) งานวิจัยบางชิ้นแสดงให้เห็นว่าวิตามินซีสามารถช่วยลดการดูดซึมนิกเกิลซึ่งเป็นพิษต่อร่างกายได้




🧡   สรุปประโยชน์วิตามินซีตามงานวิจัย วิตามินซีดูเหมือนจะมีประโยชน์อย่างชัดเจนในเรื่องของการช่วยป้องกันภาวะขาดวิตามินซี (เช่น เลือดออกตามไรฟัน), ช่วยลดความรุนแรงและระยะเวลาที่เป็นหวัดได้เล็กน้อย, ลดอาการภูมิแพ้, ลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคต้อกระจกและจอประสาทตาเสื่อมในผู้สูงอายุ (ถ้าใช้ในขนาดน้อย), ลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเกาต์, ลดความดันโลหิตและน้ำตาลในเลือด, รักษาแผลที่เท้า เป็นต้น และวิตามินซีอาจมีประโยชน์ในเรื่องการช่วยลดริ้วรอยก่อนวัย ปัญหาผิวเสียจากรังสียูวี, อาจช่วยป้องกันหวัดได้ในบางกรณีหรือในบางคน รวมถึงอาจช่วยอารมณ์และอาการซึมเศร้า แต่วิตามินซีไม่น่าจะมีประโยชน์ในเรื่องการช่วยให้ผิวขาว การป้องกันโรคมะเร็ง โรคหัวใจและหลอดเลือด หรือใช้ได้ผลกับโรคโควิด-19  🧡  



ที่มา    https://medthai.com/vitamin-c/ | Medthai