โรคดิสเล็กเซีย Dyslexia คืออะไร
- ภาวะบกพร่องด้านการสะกดคำ
- ภาวะบกพร่องด้านการตีความ
- ภาวะบกพร่องด้านการเรียงลำดับความสำคัญของคำที่อ่าน รวมถึงไม่เข้าใจเนื้อหาที่อ่าน
- ภาวะบกพร่องด้านความจำ อ่านแล้วมักลืมสิ่งที่เคยอ่าน
- ขาดทักษะด้านการอ่านออกเสียง อ่านไม่คล่อง ตะกุกตะกัก
- มักสับสนด้านซ้ายไปขวาหรือขวาไปซ้าย
- ไม่สามารถจับใจความเนื้อหาที่อ่านไปแล้วได้
- ภาวะบกพร่องทางทักษะการคำนวณ
- ภาวะบกพร่องด้านการแยกแยะโทนเสียงดนตรี
- มักสับสนเวลาเขียน ลายมือไม่เป็นระเบียบ
- ภาวะบกพร่องด้านการสื่อสารในสิ่งที่คิด ไม่สามารถอธิบายใจความสำคัญได้
เนื่องจากธรรมชาติที่ซับซ้อนของโรค จึงมีความจำเป็นที่นักจิตวิทยาการศึกษาต้องทำการค้นคว้าหาข้อมูลเพิ่มขึ้น เพื่อที่นักวิชาการผู้เชี่ยวชาญสามารถให้ข้อมูลที่ถูกต้องเกี่ยวภาวะบกพร่องด้านการศึกษาได้
สัญญาณต่อไปนี้บ่งบอกว่าเด็กอยู่ภาวะเสี่ยงที่จะเป็นโรคดิสเล็กเซีย
- มักอ่านคำผิดพลาดหรือมีความยากลำบากในการอ่านตัวอักษร
- ใช้เวลานานในการอ่านและหลังอ่านเสร็จไม่สามารถจับใจความสิ่งที่อ่านได้
- สะกดคำไม่คล่อง
- ไม่สามารถเขียนได้อย่างถูกต้องหรือมองคำที่คุณครูเขียนบนกระดานแล้วไม่สามารถเขียนตามตัวอย่างได้
- สามารถทำงานบางอย่างได้ดีแต่ในขณะเดียวกันไม่สามารถทำอีกอย่างหนึ่งได้
- ไม่สามารถเรียนรู้หรือจดจำตาราง วัน เวลา หรือแม้กระทั่งปีได้
- มักมีปัญหาในการจดจำตัวเลขหลายหลัก มักสับสน เช่น เบอร์โทรศัพท์
- มีปัญหาในการเรียงลำดับความสำคัญของประโยคคำสั่งรวมถึงสิ่งที่อ่านไป
- มักสับสนด้านขวาหรือซ้าย การมองเห็นมักจะกลับด้าน และการเขียนตัวอักษรและตัวเลขมักจะกลับด้านเสมอ
- ไม่สามารถเขียนเพื่อสื่อความหมายได้ โดยสะกดคำผิด หรือใช้สรรพนามผิด รวมถึงไม่สามารถเอาตัวอักษรใส่ตามเสียงที่ได้ยินได้ และไม่สามารถแยกแยะความแตกต่างระหว่างคำต่าง ๆ ได้
- มีปัญหาเกี่ยวกับการแยกแยะโทนเสียง ไม่สามารถแยกเสียงโน้ตดนตรีได้
- ทำตามคำสั่งผิดพลาด โดยเด็กไม่สามารถแยกแยะสิ่งที่ถูกบอกให้ทำได้ จับใจความไม่ได้ เรียงลำดับความสำคัญไม่ได้
โรคนี้มีทางรักษาได้เพราะถ้าพ่อแม่สังเกตเห็นความผิดปกติได้เร็ว ก็จะทำให้ช่วยเหลือเด็กได้เร็วขึ้น และสามารถมีพัฒนาการปกติตามวัยได้
โรค Dyslexia
หนูน้อย Dyslexia (รักลูก) โดย: เมธาวี
อ่านไม่ออก เขียนไม่ได้ ไม่เข้าใจการเรียน ลูกอาจเป็น Dyslexia
Dyslexia หรือที่บางคนรู้จักในชื่อสั้น ๆ ว่า LD คือโรคที่มีความบกพร่องทางทักษะการเรียนรู้ ซึ่งมีสถิติพบการเป็นโรคประมาณ 5% ของเด็กไทย โดยแบ่งออกเป็น 3 ด้าน
1. ความบกพร่องทางทักษะการอ่าน (Reading Disorder) คือการที่เด็กอ่านได้น้อยกว่าปกติ และมีความยากลำบากในการอ่านตัวอักษร รวมทั้งสะกดคำไม่คล่อง อ่านตะกุกตะกัก อ่านช้า หรือบางคนอ่านได้คล่อง แต่เมื่ออ่านเสร็จกลับจับใจความสิ่งที่อ่านไม่ได้เลย ไม่รู้ว่าแปลว่าอะไร หรือไม่รู้ว่าตัวเองกำลังอ่านอะไรอยู่ ทำให้ส่งผลกระทบต่อเรื่องการเรียนของเด็ก เช่น เรียนไม่ทันเพื่อน ทำข้อสอบไม่ได้ ต้องเรียนซ้ำชั้น เป็นต้น โดยพบว่าเด็กมีความบกพร่องทางด้านนี้มากที่สุด
2. ความบกพร่องทางทักษะการเขียน การสะกดคำ การสร้างคำ หรือการสร้างประโยค (Spelling หรือ Written expression disorder) คือการที่เด็กไม่สามารถเขียนเพื่อสื่อความหมายได้ โดยสะกดคำผิด หรือใช้สรรพนามผิด ทำให้เขียนแล้วอ่านไม่รู้เรื่อง เช่น เด็กต้องการจะเขียนเรียงความ แต่ไม่เข้าใจเรื่องโครงสร้างประโยคว่าต้องมีประธาน กริยา กรรม ส่งผลให้อ่านไม่รู้เรื่อง และไม่เข้าใจความหมายที่เด็กเขียนขึ้นมา
3. ความบกพร่องทางทักษะการคำนวณ (Mathematics หรือ Calculation disorder) คือเด็กกลุ่มนี้จะขาดทักษะด้านการคำนวณ ไม่เข้าใจกระบวนการของการบวกเลข ลบเลข เช่น การบวกคือการเพิ่มจำนวนขึ้นไปเรื่อยๆ ซึ่งเด็กจะไม่เข้าใจว่าเพิ่มอย่างไร บวกกันแล้วได้เท่าไหร่ ส่วนเรื่องการลบ คือการหักออกไปเรื่อยๆ ซึ่งเด็กก็จะไม่เข้าใจว่าต้องหักออกอย่างไร หรือลบออกแล้วเหลือเท่าไหร่
นอกจากนี้ยังมีเด็กบางคนที่ไม่เข้าใจกระบวนการ การทดเลข รวมไปถึงการแปลโจทย์ปัญหาด้วย เช่น เมื่อให้โจทย์เลข 5+7 เท่ากับเท่าไหร่ เด็กสามารถตอบได้ว่าเท่ากับ 12 แต่ถ้าบอกว่า มีเงิน 5 บาท แม่ให้มาอีก 7 บาท รวมแล้วมีเงินเท่าไหร่ เด็กจะแปลโจทย์ไม่ออกว่าต้องทำอะไรบ้าง
สาเหตุ
สาเหตุของการเกิดโรค Dyslexia หรือ LD ยังไม่ทราบแน่ชัด รู้แต่เพียงว่าเกิดจากความผิดปกติของการทำงานที่เซลล์สมองซีกซ้าย ด้านหน้า เรียกว่า Parietal lobe ซึ่งเป็นความบกพร่องของการทำงานของระบบประสาทในเรื่องของการตีความ เรื่องของความจำระยะสั้น
นอกจากนี้มีงานวิจัยระบุว่า โรคนี้มีการถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์ โดยมีโครโมโซมบางตัวที่ผิดปกติ ซึ่งโครโมโซมตัวหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับความผิดปกตินี้ คือโครโมโซมตัวที่ 7 แต่ก็ยังไม่สามารถสรุปได้แน่ชัดค่ะ
อย่างไรก็ตามโรค Dyslexia สามารถเชื่อมโยงกับโรคทางพันธุกรรมอย่างอื่นได้ เช่น โรคสมาธิสั้น โรคออทิสติก หรือแม้กระทั่งโรคสติปัญญาบกพร่อง ซึ่งอาจจะเกิดร่วมกันและสามารถถ่ายทอดไปยังลูกหลานได้ด้วย
และอีกสาเหตุหนึ่งที่อาจส่งผลให้เกิดโรคนี้ได้ คือการใช้ชีวิตในแต่ละบ้าน ที่บรรยากาศในบ้านไม่มีการส่งเสริมให้อ่านหนังสือเลย หรือเด็กที่มีโอกาสน้อยทางการศึกษา ทำให้การกระตุ้นเซลล์สมองไม่ดีเท่าที่ควร ส่งผลให้เกิดความบกพร่องทางการเรียนรู้ขึ้นได้
สังเกตอาการของ Dyslexia
คุณพ่อคุณแม่สามารถสังเกตอาการของลูกน้อยได้ ตั้งแต่วัยขวบปีแรก หรือก่อนเข้าเรียนอนุบาลได้ โดยสังเกตจากการพูด หากมีปัญหาเรื่องการพูดช้าตั้งแต่เด็ก หรือมีพัฒนาการทางด้านภาษาที่บกพร่อง เช่น
อายุ 1 ขวบ ยังพูดเป็นคำไม่ได้ เรียกพ่อแม่ไม่ได้
อายุ 2-3 ขวบ ยังพูดได้น้อยกว่าปกติ เมื่อเทียบกับเด็กวัยเดียวกัน
อายุ 3 ขวบ ยังไม่สามารถเล่าเรื่องราวได้ หรือเล่าไม่รู้เรื่อง พูดติดอ่างวนไปวนมา
อายุ 5-6 ขวบ ไม่เข้าใจคำว่า ซ้าย-ขวา หรือเรียกว่า Mirroring effect คือการมองเห็นของเด็กจะกลับด้าน เช่น ใส่รองเท้าผิดข้างตลอด และยังเขียนกลับด้านตลอดด้วย เช่น ม เป็น น ถ เป็น ภ d เป็น b หรืออ่านหนังสือจากขวาไปซ้าย รวมไปถึงการเขียนตัวอักษรและตัวเลขจะกลับด้านกันหมด ต้องส่องกระจกถึงจะอ่านตามปกติได้
ดังนั้น ถ้าคุณพ่อคุณแม่สังเกตเห็นว่าลูกมีพัฒนาการช้า หรือถ้าเทียบเท่ากับเพื่อนในวัยเดียวกันแล้วยังดูว่าช้าผิดปกติ ควรพามาพบแพทย์เพื่อทำการตรวจอย่างละเอียด เพราะบางครั้งเด็กยังไม่ได้เข้าข่ายถึงกับเป็นโรค แต่เป็นแค่ความล่าช้าของพัฒนาการ ที่อาจเกิดจากการที่พ่อแม่ไม่ได้กระตุ้น หรือฝึกฝนเท่าที่ควร เพราะปล่อยให้ลูกอยู่กับโทรทัศน์ทั้งวัน เพราะถ้าสังเกตเห็นความผิดปกติเร็ว ก็จะทำให้ช่วยเหลือเด็กได้เร็วขึ้น และสามารถมีพัฒนาการปกติตามวัยได้
โรคนี้มีทางรักษาค่ะ อยู่ที่คุณพ่อคุณม่เป็นสำคัญ ถ้ามีความเข้าใจแล้วล่ะก็ เราจะช่วยลูกให้มีอาการดีขึ้นได้แน่นอนค่ะ
ที่มา : หนังสือบันทึกคุณ คอลัมน์ kids 6-9 เด็กพิเศษ หน้าที่ 154 ฉบับที่ 110 ปีที่ 9 กันยายน 2545
โดย : พริกไท
รวบรวมโดย : สถาบันเด็ก มูลนิธิเด็ก
มีเคล็ดลับในการดูแลเด็กพิเศษกลุ่มอาการต่าง ๆ มานำเสนอ เนื้อหาก็จะเป็น How to ง่าย ๆ เกี่ยวกับการดูแล การฝึกฝนและการกระตุ้นทักษะด้านต่าง ๆ ในแต่ละอาการ
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น How to ของเราเป็นเพียงข้อมูลเบื้องต้นเท่านั้น หากต้องการข้อมูลที่ละเอียดลึกซึ้งมากกว่านี้ ก็อยากแนะนำให้ปรึกษาแพทย์สาขาจิตเวชเด็กจะดีที่สุดค่ะ
กลุ่มอาการ Dyrpraxia
เด็กกลุ่มนี้จะมีปัญหาเรื่องของการแต่งตัว เช่น การใส่กระดุม การผูกเชือกรองเท้า, การหยิบของชิ้นเล็ก ๆ, มีปัญหาเรื่องทิศทาง ซ้าย/ขวา/หน้า/หลัง/บน/ล่าง, การขี่จักรยาน หรือเล่นฟุตบอล, การจับดินสอ, การต่อจิ๊กซอว์ หรือการแบ่งกลุ่มสิ่งของ หรืออาจจะมีปัญหาเรื่องการพูดและภาษาด้วย
ช่วยเหลือได้อย่างไร?
เลือกใช้รองเท้าที่ไม่ต้องใช้เชือกผูก
ให้เด็กสวมเสื้อผ้าหลวม ๆ
หลีกเลี้ยงอะไรที่ต้องผูก เช่น เนคไท เชือกรองเท้า
สำหรับกระดุมเสื้อเชิ้ตให้ใช้กระดุมเม็ดใหญ่ และรังดุมก็ต้องใหญ่ด้วยเช่นกัน
ถุงเท้า ถ้าเป็นไปได้เอาแบบสั้น ๆ เพราะว่าถุงเท้าเป็นอะไรที่จับและดึงยากสำหรับเด็กกลุ่มนี้
เลือกเสื้อที่เห็นความแตกต่างของด้านหน้าและด้านหลังอย่างชัดเจน เช่น เสื้อยืดคอวี
ควรช่วยให้เด็กฝึกทักษะเกี่ยวกับการมอง การใช้กล้ามเนื้อมัดเล็ก เช่น นิ้วมือด้วยการจับดินสอ และเขียนหนังสือ และช่วยเรื่องกล้ามเนื้อมัดใหญ่ด้วยการออกกำลังกายบริหารกล้ามเนื้อ
พาเด็กไปหานักฝึกพูด จะช่วยให้เด็กออกเสียงดได้ง่ายขึ้น (ในกรณีที่เด็กมีปัญหาเรื่องการออกเสียงลำบาก) และให้เด็กเรียนโปรแกรมสำหรับเด็กพิเศษโดยเฉพาะสำหรับที่โรงเรียน คุณแม่ควรจะขอความช่วยเหลือจากครูในเรื่องต่อไปนี้ การชมเชยเด็กในสิ่งที่เขาทำ แต่ควรจะแน่ใจว่าไม่ทำให้เด็กคนอื่นรู้สึกว่าไม่ยุติธรรมและพยายามหาข้อดีจากงานของเด็กเสมอ ๆ รวมทั้งขอให้เพื่อ ๆ ชมเชยความพยายามของเขาด้วย
ควรให้เขารับผิดชอบหรือมีหน้าที่บางอย่างที่มีการข้องเกี่ยวกับผู้อื่น ส่งเสริมให้เด็กทำงานเป็นทีมและมีส่วนร่วมกับผู้อื่น รวมทั้งขอให้เพื่อน ๆ ช่วยดึงเด็กเข้ากลุ่มและหลีกเลี่ยงการทำให้เด็กแยกตัวออกจากกลุ่ม
สำหรับเรื่องสายตา คุณแม่และครูควรช่วยกันดูอย่างใกล้ชิด และช่วยกันประเมินผล ดูว่าเด็กเขียนตัวเลขหรือตัวหนังสือกลับด้านหรือเปล่า ซึ่งการดูแลใกล้ชนิดก็สังเกตได้ง่ายขึ้นและช่วยให้การประเมินผลแน่นอนกว่าการคาดเดา
เด็กกลุ่มนี้มีสติปัญญาปกติ และมีหลายคนที่มีความคิดสร้างสรรค์มาก แต่พวกเขาจะมีปัญหาในเรื่องของการอ่าน การเขียนและการสะกด การแปล และการคำนวณทางคณิตศาสตร์
สิ่งแรกที่ต้องทำเมื่อรู้ว่าลูกมีอาการ Dyslexia ก็คือการพูดคุยกับครู เพื่อไม่ให้ครูว่าเด็กโง่ (เด็กกลุ่มนี้เจอปัญหานี้บ่อยมาก) เพราะจะทำให้เด็กมีปัญหาด้านจิตใจตามมา การอ่าน, การเขียน, การสะกด, การคำนวณ เป็นทักษะที่ควรได้รับการฝึกฝนอย่างตั้งใจและมีเป้าหมายที่แน่นอน อ่านหนังสือให้ลูกฟังทุก ๆ วัน และให้ลูกหัดอ่านตาม จัดเตรียมให้เด็กเขียนและอ่านสิ่งที่เกี่ยวข้องกับตัวเขาในชีวิตประจำวัน การสอนคำศัพท์และความหมาย ให้อธิบายคำที่เกี่ยวข้องไปในตัวด้วย จะดีกว่าการสอนแบบเป็นคำ ๆ ส่งเสริมและกระตุ้นให้เด็กรู้สึกว่าการอ่านเป็นเรื่องน่าตื่นเต้น
ลองหาสถานที่ที่ช่วยทำให้การอ่านมีความเพลิดเพลิน หรือผ่อนคลาย และทำให้เด็กเห็นคุณค่าและมีความจำเป็น ชมเชยเด็กมาก ๆ เมื่อเห็นพัฒนาการ หรือเมื่อมีทักษะใหม่ ๆ เกิดขึ้น
สอนเทคนิคการออกเสียงให้เด็กรู้ และสอนการสร้างคำใหม่ (คำซ้อน, คำผสม) รวมทั้งการสร้างประโยคใหม่ ควรเลือกแบบฝึกหัดคณิตศาสตร์อย่างรอบคอบ เพื่อให้แน่ใจว่ามันเป็นเรื่องที่เหมาะสมกับความสามารถและความสนใจของเด็ก หัดให้เด็กได้ฝึกใช้ประสาทสัมผัสหลาย ๆ อย่างพร้อมกัน เช่น ตาดูหูฟัง มือจด ปรับปรุงและทบทวนว่าแบบฝึกหัดแต่ละอย่างเหมาะสมกับเด็กหรือไม่ ความถี่และระยะเวลาในการสอนแต่ละเรื่องเหมาะสมหรือไม่