ปวดท้องโคลิก (Colic) ในเด็กทารก
โคลิก เป็นคำที่ใช้อธิบายถึงอาการปวดท้องจากภาวะท้องอืด ท้องเฟ้อ เนื่องจากมีลมหรือแก๊สในช่องท้อง ซึ่งมักเกิดขึ้นบ่อยกับเด็กทารก และเป็นสาเหตุที่ทำให้เด็กนอนไม่ได้ เช่นเดียวกับพ่อแม่ที่ต้องตื่นขึ้นมาดูแลในตอนกลางคืน
การรักษา
การรักษาอาการโคลิกด้วยสมุนไพรธรรมชาติดั้งเดิมเป็นวิธีที่ปลอดภัย ใช้กันเป็นเวลานานและมีประสิทธิภาพ ประกอบด้วย
การดูแลตนเอง
หากเด็กทารกดูดนมจากขวด รูจุกนมต้องมีขนาดใหญ่พอที่จะป้องกันไม่ให้เด็กดูดลมเข้าไปในท้อง ซึ่งเทคนิคก็คือใช้เข็มร้อนๆ ลอดผ่านรูจุกนมโดยเข็มสามารถลอดผ่านได้
ควรพูดคุยกับผู้ที่สามารถให้คำปรึกษา รวมทั้งกุมารแพทย์หรือพยาบาล เรื่องเทคนิคการให้นมบุตรสำหรับคุณและลูก เพื่อจะได้รับคำแนะนำที่ดี
ข้อควรรู้
ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในกรณีที่
ที่มา :: http://www.blackmores.co.th/health-topics/Colic
วว.กุมารเวชศาสตร์, อว.โลหิตวิทยา
บทนำ
อาการของโรค
โคลิกเป็นอาการทั่วไปที่เกิดขึ้นได้กับเด็ก แม้ว่าเด็กจะรู้สึกไม่สบายตัวและร้องงอแง แต่ก็เป็นภาวะซึ่งไม่เป็นอันตราย โดยอาการโคลิกจะหายไปเมื่อเด็กอายุได้ประมาณ 6 เดือน ลักษณะโดยทั่วไปที่บ่งบอกถึงอาการโคลิก คือ
- เด็กร้องไห้ติดต่อกันเป็นเวลานาน หลังจากที่เด็กกินนมแล้ว
- ขณะร้องไห้ เด็กจะงอเข่าเข้าหาท้องคล้ายว่ากำลังปวดท้อง
- เด็กถ่ายอุจจาระหรือมีอาการท้องเฟ้อในช่วงต้นหรือช่วงปลายของการร้องไห้
- ลักษณะการยิ้มเฝื่อนๆ หรือบริเวณรอบๆ ปากช้ำเป็นสีน้ำเงิน เป็นสัญญาณบ่งบอกว่าเด็กท้องอืด ท้องเฟ้อ
สาเหตุ
ปัจจัยต่างๆ ที่เกี่ยวข้องทำให้เกิดอาการโคลิก ได้แก่
- ระบบย่อยอาหารของเด็กทารกที่ยังไม่เจริญเติบโตเต็มที่
- การให้เด็กทารกหย่านมแม่เร็วเกินไป
- เกิดจากฮอร์โมนในน้ำนมแม่
- ภูมิแพ้ (แพ้จากอาหารที่ทารกได้รับ หรือจากน้ำนมแม่)
- เด็กได้รับนมมากเกินไป
- การกลืนลมเข้าท้องมาก (เช่น รูที่จุกขวดนมผิดขนาด หรือเด็กอยู่ในตำแหน่งการดูดนมผิดท่าจึงทำให้เด็กดูดนมพร้อมกับอากาศเข้าไปในท้องมากเกินไป)
- การร้องไห้ยิ่งทำให้อาการรุนแรงขึ้นเพราะเด็กจะยิ่งกลืนลมเข้าท้องมาก
- มีการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะตั้งแต่เล็ก (วิธีนี้จะทำลายแบคทีเรียชนิดดีซึ่งอาศัยอยู่ในลำไส้ที่มีหน้าที่ช่วยในการย่อยอาหาร จึงอาจมีผลทำให้เป็นเรื่องยากมากขึ้นสำหรับเด็กที่จะต้องพัฒนาพฤติกรรมการขับถ่ายให้เป็นปกติ)
การรักษา
การรักษาอาการโคลิกด้วยสมุนไพรธรรมชาติดั้งเดิมเป็นวิธีที่ปลอดภัย ใช้กันเป็นเวลานานและมีประสิทธิภาพ ประกอบด้วย
- คาร์โมมายล์ (Chamomile), ผักชีลาว (Dill), ยี่หร่าฝรั่ง (Fennel) หรือจะเป็น เปปเปอร์มินท์ (Peppermint) สามารถใช้ได้ทีละชนิด หรือนำมาผสมรวมกันในรูปแบบของชาแบบเจือจางมากๆ หรือเป็นรูปแบบน้ำเชื่อมสำหรับเด็ก โดยสามารถผสมกับนมให้เด็กดูดช่วงท้าย
- อาหารเสริมพรีไบโอติกใส่ในนมหรือผสมนมแล้วแต้มบริเวณหัวนมแม่ เพื่อช่วยบรรเทาอาการโคลิกที่มาจากการใช้ยาปฏิชีวนะ
การดูแลตนเอง
หากเด็กทารกดูดนมจากขวด รูจุกนมต้องมีขนาดใหญ่พอที่จะป้องกันไม่ให้เด็กดูดลมเข้าไปในท้อง ซึ่งเทคนิคก็คือใช้เข็มร้อนๆ ลอดผ่านรูจุกนมโดยเข็มสามารถลอดผ่านได้
ควรพูดคุยกับผู้ที่สามารถให้คำปรึกษา รวมทั้งกุมารแพทย์หรือพยาบาล เรื่องเทคนิคการให้นมบุตรสำหรับคุณและลูก เพื่อจะได้รับคำแนะนำที่ดี
ข้อควรรู้
ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในกรณีที่
- ลูกของคุณไม่เคยมีอาการโคลิกมาก่อน
- อาการโคลิกเกิดขึ้นร่วมกับไข้ ท้องเสีย อาเจียน หรือท้องผูก
- เด็กส่งเสียงร้องไห้เจ็บปวด ไม่ใช่การร้องงอแง ซึ่งมาจากการได้รับบาดเจ็บหรือป่วยจากโรคอื่นๆ
- เด็กมีอายุมากกว่า 3 เดือน และยังมีอาการโคลิกอยู่ ซึ่งอาจมีสาเหตุมาจากปัญหาด้านพฤติกรรมหรือโรคภัยต่างๆ
- เด็กที่เป็นโคลิกมีน้ำหนักลด และไม่หิวนม แสดงว่าเด็กไม่สบาย
ที่มา :: http://www.blackmores.co.th/health-topics/Colic
โคลิก (Baby colic) : เด็กร้องร้อยวัน
ศาสตราจารย์ แพทย์หญิง อรุณี เจตศรีสุภาพวว.กุมารเวชศาสตร์, อว.โลหิตวิทยา
บทนำ
โคลิก (Colic หรือ Baby colic) เป็นอาการที่พบได้บ่อยในเด็กแรกเกิดอายุตั้งแต่ 3 สัปดาห์ถึง 3 เดือน เด็กจะร้องมาก ร้องนานและมักชอบร้องตอนกลางคืนโดยจะร้องจนตัวงอ ทำให้เกิดความเครียดและความวิตกกังวลกับพ่อแม่และครอบครัวมาก คนรุ่นก่อนจึงมักเรียกว่า “เด็กร้องร้อยวัน”อาการที่ทำให้เกิดเป็นเรื่องของการปวดท้อง ไม่สบายท้องของเด็ก
โคลิก เกิดได้ประมาณ 8-40% ของเด็กเล็ก และที่น่าสังเกตคือ พบบ่อยในครอบครัวที่มีสถานะทางเศรษฐกิจสังคมสูง เป็นบุตรของพ่อแม่ที่มีอายุมาก เกิดในครอบครัวที่มีลูกน้อยคน และ ในพ่อแม่มีการศึกษาสูง
อะไรคือสาเหตุที่ทำให้เกิดโคลิกในเด็ก
สาเหตุและพยาธิสรีรวิทยา (Pathophysiology/ความผิดปกติในด้านการทำงานของอวัยวะต่างๆ) ของการเกิดโคลิกยังไม่ทราบแน่นอน แต่คิดว่าเกิดจากหลายสาเหตุร่วมกันคือ
- จากพื้นฐานอารมณ์ของเด็ก ซึ่งเป็นกลุ่มเด็กเลี้ยงยาก
- เด็กกลืนอากาศขณะดูดนมเข้าไปมาก
- ผู้ดูแลไม่สามารถทำให้เด็กเรอได้เพียงพอ อากาศในท้องจึงก่อให้เด็กเกิดอาการแน่นอึดอัดในท้อง
- เด็กอยู่ในท่านอนที่ไม่เหมาะสม
- เด็กกินมากเกินไป หรือกินน้อยเกินไป
- ครอบครัวมีความเครียด หรือความวิตกกังวลมาก (ซึ่งอาจตรงกับที่พบอุบัติการณ์โคลิดสูงในครอบครัวที่มีสถานะทางเศรษฐกิจสังคมสูง เป็นบุตรของพ่อแม่ที่มีอายุมาก ครอบ ครัวที่มีลูกน้อย และในพ่อแม่ที่มีการศึกษาสูง) พบว่าความเครียดของแม่ตั้งแต่ช่วงตั้งครรภ์มีผลให้เกิดโคลิกในเด็กได้
- เกิดในเด็กที่มีภาวะ/โรคกรดไหลย้อน
- เกิดในเด็กที่มีการเคลื่อนตัวของลำไส้ผิดปกติ คือมีการเคลื่อนตัวของลำไส้มากเกินไป
- เกิดในเด็กที่มีการกินอาหารพวกแป้งมากเกินไป ทำให้ลำไส้ย่อยแป้งไม่หมด จึงเหลือแป้งให้แบคทีเรีย (ในลำไส้) ย่อยแป้งที่เหลือ ทำให้เกิดแก๊สในลำไส้มาก เด็กจึงแน่นอึดอัดท้อง
- ในเด็กที่มีการแพ้อาหาร หรือในเด็กที่ได้รับน้ำผลไม้บางอย่าง เช่น น้ำแอปเปิล
- เด็กที่บิดา มารดา มีปัญหาทางอารมณ์
- มีการเปลี่ยนแปลงของเชื้อแบคทีเรียในลำไส้เด็ก โดยเฉพาะมีแบคทีเรียบางกลุ่มสัมพันธ์กับการเกิดอาการโคลิก ซึ่งเมื่อลดแบคทีเรียกลุ่มดังกล่าวอาการโคลิกก็ลดลงได้
อะไรเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดอาการโคลิก
ปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดอาการโคลิก คือ
- ระบบประสาทอัตโนมัติของเด็กเล็กยังไม่สมบูรณ์เต็มที่ (Immature autonomic nervous system) จึงส่งผลให้การเคลื่อนไหวของกระเพาะอาหาร และลำไส้ยังไม่สมบูรณ์
- บิดา และ/หรือมารดา สูบบุหรี่
แพทย์วินิจฉัยภาวะโคลิกได้อย่างไร
การวินิจฉัยภาวะนี้ได้จากประวัติอาการของเด็ก การตรวจร่างกาย และการแยกอาการจากสาเหตุอื่นๆออกไป ซึ่งได้แก่
- พบในเด็กอายุ 3 เดือนแรกของชีวิต
- อาการเกิดแบบเฉียบพลัน และมักเกิดในเวลาเดิมๆของวันคือ มักเกิดช่วงหัวค่ำ เด็กจะร้องนานเป็นชั่วโมง (ส่วนใหญ่ไม่เกิน 2 ชั่วโมง) อาจารย์อาวุโสของผู้เขียนบอกว่าร้องตั้งแต่บาร์ (ไนท์คลับ) เปิดถึงบาร์ปิด
- มีอาการแสดงของการปวดท้อง ท้องอืด ปวดเป็นพักๆ (Colicky pain)
- แพทย์ตรวจไม่พบความผิดปกติอย่างอื่น
- พ่อแม่มักจะมีบุคลิกเครียดและวิตกกังวล
ลักษณะอาการร้องของเด็กเป็นอย่างไร
เวลาร้อง เด็กจะงอขา งอตัว กำมือ
แพทย์วินิจฉัยแยกโคลิกจากโรคอื่นๆอะไรบ้าง
เนื่องจากอาการของโคลิก เป็นอาการที่มักจะทำให้พ่อแม่ตกใจ และยิ่งเครียดมากขึ้น แพทย์เองเมื่อพบเด็กที่เป็นโคลิกครั้งแรก ต้องหาสาเหตุของโรคหรือภาวะที่จะทำให้เด็กร้องมากๆก่อน เพราะการวินิจฉัยโคลิก จะบอกว่าเป็นโคลิกต้องตัดสาเหตุอื่นที่อาจทำให้พบอาการเหมือนโคลิกออกไปเสียก่อน เช่น การเจ็บป่วยไม่สบาย มีไข้ตัวร้อน มีการอักเสบของหู (เช่น มด แมลงเข้าหู) มีปัญหาในทางเดินหายใจ มีการสำลักสิ่งแปลกปลอมในลำคอ มีภาวะท้องผูก ท้องเสีย มีแผลบริเวณก้น มีอาการคันเนื้อตัวมาก มีอัณฑะบิดตัว (Testicular torsion) หรือมีลำไส้กลืนกัน อาการลำไส้กลืนกัน มักไม่ค่อยพบในเด็กอายุน้อยกว่า 3 เดือน เด็กอาจมีอาการถ่ายเป็นเลือดปนมูกสีแดงคล้ำคล้ายแยมที่ทำจากผลเคอร์แร้นต์ (Currant jelly stool) เป็นต้นเมื่อวินิจฉัยว่าเป็นโคลิกโดยตัดปัญหาอื่นๆออกไปแล้ว พ่อแม่ควรสบายใจว่าอาการนี้จะหายแน่นอนไม่อันตราย แต่ต้องใช้เวลาและพยายามลดความเครียดลง
รักษาโคลิกอย่างไร
ไม่มีการรักษาเฉพาะสำหรับภาวะโคลิก เนื่องจากยังไม่ทราบสาเหตุแน่นอน แต่มีความพยายามลดสาเหตุที่อาจทำให้เกิดโคลิกซึ่งทำให้เด็กหลายรายมีอาการดีขึ้น ได้แก่
- ในลูกที่ดื่มนมแม่ แม่ควรหลีกเลี่ยงอาหารบางอย่างที่ทำให้เกิดการแพ้อาหารในเด็ก เช่น นมวัว
- ลดความเครียดในครอบครัว ให้พ่อแม่เข้าใจว่าโคลิกเป็นอาการที่เกิดชั่วคราวและจะหายได้เอง
- ในเด็กที่ต้องดื่มนมอื่นที่ไม่ใช่นมแม่ อาจเลือกนมที่แพ้ได้น้อย (Low-allergen milk)
- เมื่อให้เด็กดื่มนม หรือน้ำจากขวด ระวังอย่าให้มีอากาศแทรกเข้าไปตรงบริเวณที่เด็กดูดนม ต้องยกขวดให้สูงจนนมหรือน้ำเต็มบริเวณจุกขวดไม่มีอากาศแทรก
- หลังป้อนนมเด็กเสร็จแล้ว ควรจับให้เด็กนั่ง หรืออุ้มพาดบ่าให้เรอ
- ยาบางชนิดอาจช่วยได้ เช่น Simethicone (ยาลดแก๊สในกระเพาะอาหารและลำไส้ ลดอาการท้องอืด) เป็นยาที่ใช้กันเป็นสามัญทั่วไป ยังใช้กับเด็กบางส่วนได้ดีอยู่ ผู้เขียนมีประ สบการณ์เลี้ยงลูกที่มีอาการโคลิก ได้ให้ยาแก๊สแท็บ (Gastab เป็นชื่อการค้าของยา Sodium bicarbonate ใช้ลดอาการท้องอืด) ซึ่งเป็นยาในกลุ่มลดอาการท้องอืดเช่นกัน เป็นเม็ดเล็กๆ บดใส่น้ำป้อนให้ได้ผลดี และผู้เขียนให้ผู้ป่วยหลายรายใช้ก็ได้ผล แต่ตามเอกสารงานวิจัยอาจไม่ได้ผล คงเป็นแบบสุภาษิตที่ว่าลางเนื้อชอบลางยา บางคนได้ผล บางคนไม่ได้ผล
- ยาชนิดหนึ่งชื่อ Dicyclomine (ยาต้านการทำงานของประสาทควบคุมการบีบตัวของลำไส้) มีการศึกษาว่าใช้ได้ผล แต่ปัญหาคือทำให้เกิดอาการข้างเคียง (เช่น คลื่นไส้ อาเจียน) ทำให้ห้ามใช้ในเด็กอายุต่ำกว่า 6 เดือน ซึ่งก็เป็นอายุที่เกิดอาการโคลิกโดยสรุปการรักษาโคลิกค่อนข้างยาก เนื่องจากยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่นอนและอาจเกิดจากหลายปัจจัย แต่ข้อสำคัญ พ่อแม่ ผู้ปกครอง ต้องทำใจ และต้องใช้เวลา และอดทนในการดูแลเด็ก
*****อนึ่ง การใช้ยาในเด็ก ควรปรึกษาแพทย์ ให้แพทย์ที่ดูแลเด็ก เป็นผู้สั่ง ทั้งชนิด ปริมาณ/ขนาด วิธีใช้ และระยะเวลาในการใช้ยา จะปลอดภัยกว่าซื้อยาใช้เองมาก
ขณะเด็กร้อง ควรทำอย่างไร ดูแลเด็กอย่างไร
การให้เด็กหยุดร้องในเด็กที่มีอาการโคลิกนั้นค่อนข้างยาก เด็กอาจหยุดร้องเป็นพักๆหากเด็กระบายลมออกมาได้ หรือมีการขยับของลำไส้ อาการจะดีขึ้น อย่างไรก็ตามขณะเด็กร้องให้ทำดังนี้
- ดูว่าเด็กร้องเพราะหิวนมหรือไม่ เพราะเด็กที่หิวนมก็จะร้องกวนพอได้กินนมจะหยุดร้อง
- อย่าให้เด็กอยู่ในที่ที่มีสิ่งกระตุ้น เช่นเสียงดัง แสงรบกวน
- จับเด็กอุ้มพาดบ่า เด็กจะรู้สึกสบายขึ้น และช่วยดันลมในท้องออกมาด้วย
- นวดตัวเด็ก หรือเขย่าเบาๆไปมา ลูบหลังให้
- เปิดเพลงเบาๆให้ฟัง
- อย่าปล่อยให้เด็กร้องนานโดยไม่เข้าไปดูแล
- หาคนช่วยดูเด็ก เพื่อแม่จะได้พักบ้าง เช่น คุณพ่อช่วย หรือพี่เลี้ยงมาสลับ ไม่เช่นนั้นคุณแม่จะเครียดมาก
เมื่อไรจะไปพบแพทย์
ควรนำเด็กพบแพทย์/กุมารแพทย์/หมอเด็กเมื่อ
- เด็กมีอาการร้องมาก ร้องนานในครั้งแรกซึ่งยังไม่ทราบสาเหตุ ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจหาอาการ หรือความเจ็บป่วยอื่นๆ ที่อาจทำให้เกิดอาการคล้ายโคลิก ซึ่งแพทย์จะซักประวัติอาการ ตรวจร่างกาย หรือหาวิธีการวินิจฉัยโรคอื่นๆ เพื่อตัดโรคที่ทำให้เกิดอาการคล้ายโคลิกออกไป เพื่อให้เด็กได้รับการรักษาที่ถูกต้อง
- เด็กมีการร้องมาก ร้องเป็นพักๆ หรือมีอาการผิดปกติอื่น เช่น มีไข้ ตัวร้อน อาเจียน อุจจาระผิดปกติ เช่น อุจจาระมีสีแดงเหมือนแยม (Currant jelly stool) ซึ่งอาจเป็นอาการของลำไส้กลืนกัน การรีบไปพบแพทย์โดยเฉพาะเมื่อเริ่มต้นมีอาการ จะทำให้การรักษาง่ายขึ้น อาจไม่ต้องผ่าตัด
- เด็กมีอาการร้องเสียงแหบ มีอาการหายใจผิดปกติ อาจต้องระวังเรื่องการสำลักสิ่งแปลกปลอม ต้องรีบพาไปพบแพทย์/โรงพยาบาล ทันที/ฉุกเฉิน
บรรณานุกรม
- Jones R, Pollack EF, McIntire SC, Tannenbaum JP, Kriendler J. Colic. http://www.mdconsult.com/das/pdxmd/body/330360663-503/0?type=med&eid=9-u1.0-_1_mt_1016538 . Retrieved on April 15, 2012.
- Turner TL, Palamountain S. Clinical features and etiology of colic. http://www.uptodate.com/contents/clinical-features-and-etiology-of-colic?source=search_result&search=Clinical+features+and+etiology+of+colic&selectedTitle=1~104. Retrieved on April 15, 2012.