วิตามินดี
- วิตามินดี (Vitamin D) หรือ แคลซิเฟอรอล, ไวออสเตอรอล, เออร์กอสเตอรอล หรืออาจเรียกว่า “วิตามินแดด” เป็นวิตามินที่ละลายในไขมัน ร่างกายของเราจะได้รับวิตามินชนิดนี้จากแสงแดดหรืออาหารที่รับประทานในแต่ละมื้อ เพราะรังสี UV จากแสงแดดจะทำปฏิกิริยากับน้ำมันที่ผิวหนัง ก่อให้เกิดการสร้างวิตามินดีซึ่งจะถูกดูดซึมกลับเข้าสู่ร่างกาย
- หากอาบแดดจนสีผิวเปลี่ยนเป็นสีแทนแล้ว การสร้างวิตามินดีที่ผิวหนังจะหยุดลง คุณสามารถตากแดดโดยไม่ทาครีมกันแดดเพื่อรับวิตามินดีได้ แต่อย่าลืมที่จะปกป้องผิวของคุณด้วยการจำกัดเวลาในการออกแดดให้เหมาะสม (เพียง 1 ใน 4 ของเวลาที่จะทำให้ผิวคุณเริ่มแดง)
- วิตามินดีที่เรารับประทานเข้าไปจะถูกดูดซึมพร้อมไขมันผ่านทางผนังลำไส้ วิตามินชนิดนี้มีหน่วยวัดเป็น IU หรือ ไมโครกรัมของโคลีแคลซิเฟอรอล และหมอกควันพิษในอากาศส่งผลให้แสงอาทิตย์กระตุ้นการสร้างวิตามินดีได้น้อยลง
- สำหรับแหล่งอาหารที่พบวิตามินดีได้ทั่วไป ได้แก่ น้ำมันตับปลา ปลาซาร์ดีน ปลาแซลมอน ปลาทูน่า ปลาเฮอร์ริง นม และผลิตภัณฑ์จากนม เป็นต้น และศัตรูของวิตามินดี ได้แก่ ควันพิษ น้ำมันแร่
ประโยชน์ของวิตามินดี
- ช่วยเสริมการใช้แคลเซียมและฟอสฟอรัส ซึ่งจำเป็นต่อความแข็งแรงของกระดูกและฟัน
- หากรับประทานร่วมกับวิตามินเอและวิตามินซีจะช่วยป้องกันโรคหวัดได้
- ช่วยในการรักษาโรคเยื่อบุตาอักเสบ
- ช่วยในการดูดซึมของวิตามินเอ
โรคจากการขาดวิตามินดี : โรคกระดูกอ่อนในเด็ก ฟันผุขั้นรุนแรง โรคกระดูกน่วม ภาวะกระดูกพรุนในผู้สูงอายุ
คำแนะนำในการรับประทานวิตามินดี
- ขนาดที่แนะนำให้รับประทานต่อวันสำหรับผู้ใหญ่คือ 200 – 400 IU หรือ 5 – 10 mcg.
- ทารกที่ดื่มนมแม่ควรได้รับวิตามินดี 200 IU ต่อวัน นอกเสียจากว่าหย่านมแล้ว และเปลี่ยนมาดื่มนมสูตรเสริมวิตามินดีอย่างน้อย 500 ซีซีต่อวันแล้ว และสำหรับเด็กที่ดื่มนมขวดสูตรเสริมวิตามินดี แต่ปริมาณไม่ถึง 500 ซีซีต่อวัน ก็ควรรับประทานวิตามินดีเสริมเช่นกัน
- วิตามินดีในรูปแบบของอาหารเสริมมักวางจำหน่ายในรูปแบบเม็ดหรือแคปซูล มีขนาดประมาณ 400 IU ซึ่งดัดแปลงมาจากน้ำมันตับปลา โดยขนาดที่รับประทานกันโดยทั่วไปคือ 400 – 1,000 IU
- ผู้ที่อยู่อาศัยในเมืองใหญ่ โดยเฉพาะในบริเวณที่มลพิษหมอกควันหนาแน่น ควรได้รับวิตามินดีเพิ่มมากขึ้น
- ผู้ที่ทำงานกลางคืนและไม่ค่อยตากแดดควรรับประทานวิตามินดีเพิ่ม
- หากคุณรับประทานยากันชัก คุณควรต้องรับประทานวิตามินดีเพิ่ม
- คนผิวเข้มที่อาศัยอยู่ในบริเวณที่มีแดดน้อย ควรรับประทานวิตามินดีเพิ่ม
- หากคุณอายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไปหรือมีน้ำหนักตัวเกิน คุณมีความเสี่ยงต่อการมีวิตามินดีในร่างกายต่ำ
- เด็กและวัยรุ่นที่ไม่ได้ดื่มนมที่มีวิตามินดีอย่างน้อย 500 ซีซีต่อวัน ควรรับประทานอาหารอื่นที่มีวิตามินดีสูง หรือรับประทานวิตามินรวมที่มีวิตามินดีรวมอยู่ด้วยอย่างน้อย 200 IU
- อย่าให้สุนัขหรือแมวรับประทานวิตามินดีเป็นอาหารเสริม ยกเว้นว่าสัตวแพทย์เป็นผู้แนะนำในบางกรณี
- วิตามินดีจะทำงานร่วมกับวิตามินเอ วิตามินซี โคลีน แคลเซียม ฟอสฟอรัสได้ดีที่สุด
- ผลเสียของการรับประทานวิตามินดีเกินขนาด หากรับประทานในปริมาณมากต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน หรือประมาณ 20,000 IU ต่อวัน อาจจะทำให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพได้ หรือหากรับประทานมากกว่า 1,800 IU ต่อวัน อาจทำให้เกิดภาวะวิตามินดีเกินในเด็ก สำหรับอาการอื่น ๆ ที่บ่งบอกว่าในร่างกายมีวิตามินดีมากเกินไป เช่น กระหายน้ำมากผิดปกติ เจ็บตา คันตามผิวหนัง อาเจียน ท้องร่วง กลั้นปัสสาวะไม่ได้ มีหินปูนแคลเซียมสะสมที่ผนังหลอดเลือด ตับ ไต ปอด กระเพาะอาหารอย่างผิดปกติ
ที่มา : หนังสือวิตามินไบเบิล (ดร.เอิร์ล มินเดลล์)
เว็บไซต์เมดไทย (MedThai)