Learn with Prin เรียนรู้ไปพร้อมกับน้องปริญญ์

จำหน่ายผลิตภัณฑ์ Legacy /Reborn Set ลด Fat ตัวช่วยลดไขมัน ลดน้ำหนัก แบบถูกวิธี 🔥 ติดต่อสอบถาม/สั่งซื้อ 📍 โทร ☎️ :: 084-110-5021 🌸 Line ID :: pla-prapasara 🌸 รับโปรโมชั่นสุดพิเศษเฉพาะทาง Line นะคะ 📍

วันศุกร์ที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2568

อุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท (ภูพระบาท) Phu Phrabat Historical Park

 

อุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท (ภูพระบาท) Phu Phrabat Historical Park

 


อุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท (ภูพระบาท)



ประเภทของแหล่ง

วัฒนธรรม


กลุ่มของแหล่ง

แหล่งมรดกที่อยู่ในบัญชีรายชื่อเบื้องต้น ของศูนย์มรดกโลก


รายละเอียด

อุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท  ตั้งอยู่บนภูเขาที่ชื่อว่าภูพระบาท ในเขตพื้นที่เมืองพาน อำเภอบ้านผือ จังหวัดอุดรธานี เป็นส่วนหนึ่งของเทือกเขาภูพาน ซึ่งเป็นเทือกเขาหินทราย อยู่ทางทิศตะวันตกของจังหวัดอุดรธานี มีความสูงจากระดับน้ำทะเลเฉลี่ยปานกลางประมาณ  320 – 350 เมตร สภาพโดยทั่วไปเป็นป่าโปร่ง มีพืชพันธุ์ธรรมชาติประเภทไม้เนื้อแข็งขึ้นปกคลุม

จากการสำรวจทางโบราณคดีที่ผ่านมาได้พบว่าบนภูพระบาทแห่งนี้ปรากฏร่องรอยกิจกรรมของมนุษย์มาตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์กำหนดอายุได้ราว 2,500 – 3,000 ปีมาแล้ว ดังตัวอย่างการค้นพบภาพเขียนสีอยู่มากกว่า 54 แห่งบนภูเขาลูกนี้ นอกจากนี้ก็ยังพบการดัดแปลงเพิงหินธรรมชาติให้กลายเป็นศาสนสถานของผู้คนในวัฒนธรรมทวารวดี วัฒนธรรมเขมร วัฒนธรรมล้านช้างและรัตนโกสินทร์ตามลำดับ ซึ่งร่อยรอยหลักฐานทางโบราณคดีเหล่านี้ แสดงให้เห็นถึงพัฒนาการทางสังคมของมนุษย์ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทยได้เป็นอย่างดี

ด้วยเหตุนี้กรมศิลปากรจึงดำเนินการขอใช้พื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติขนาดพื้นที่ 3,430 ไร่ จากกรมป่าไม้ โดยได้ประกาศขึ้นทะเบียนเขตโบราณสถานไว้ในราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 98 เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2524 จากนั้นจึงได้พัฒนาแหล่งจนกลายเป็นอุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาทในที่สุด และได้มีพิธีเปิดอุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาทอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2535 โดยสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ได้ทรงพระกรุณาเสด็จพระราชดำเนินเป็นองค์ประธานในพิธีเปิด

ปัจจุบันอุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท เป็นหน่วยงานหนึ่งในสังกัดสำนักศิลปากรที่ 8 ขอนแก่น กรมศิลปกร กระทรวงวัฒนธรรม มีโบราณสถานในพื้นที่รับผิดชอบซึ่งได้รับการขึ้นทะเบียนแล้วทั้งสิ้น 78 แห่ง มีภารกิจหลักในการดูแลรักษา อนุรักษ์และพัฒนา และทำการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับโบราณสถานและโบราณวัตถุที่อยู่ภายในพื้นที่อุทยานฯและพื้นที่ใกล้เคียง ทั้งยังเปิดให้บริการในฐานะแหล่งท่องเที่ยวและแหล่งเรียนรู้ทางวัฒนธรรมสำหรับประชาชนทั่วไป

อุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท เป็นอุทยานประวัติศาสตร์ที่มีจุดเด่นแตกต่างจากแห่งอื่นๆ เนื่องจากโบราณสถานส่วนมากที่พบอยู่ในอุทยานประวัติศาสตร์แห่งนี้ โดยโครงสร้างแล้วเกิดจากกระบวนการทางธรรมชาติ ที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่อธรณีสัณฐานของพื้นที่ ต่อมามนุษย์ในอดีตได้เข้ามาดัดแปลงเพื่อสนองต่อวัฒนธรรมในแต่ละช่วงสมัย

 

ความสำคัญทางประวัติศาสตร์

พุทธศักราช 2478 ราชบัณฑิตยสภาประกาศขึ้นทะเบียนกำหนดจำนวนโบราณสถานสำหรับชาติ ในราชกิจจานุเบกษาเล่มที่ 52 ตอนที่ 75 วันที่ 8 มีนาคม 2478 ในขณะนั้นใช้ชื่อว่า “พระพุทธบาทบัวบก” อำเภอบ้านผือ ตำบลเมืองพาน

พุทธศักราช 2516 - 2517 คณะสำรวจโบราณคดี โครงการผามอง สำนักงานพลังงานแห่งชาติ ได้สำรวจแหล่งโบราณคดีในพื้นที่โครงการสร้างอ่างเก็บน้ำเขื่อนผามอง เดินทางมาสำรวจพบแหล่งภาพเขียนสีสมัยก่อนประวัติศาสตร์หลายแห่งบนภูพระบาท ซึ่งบางแห่งได้เคยสำรวจพบแล้วโดยหน่วยศิลปากรที่ 7 ขอนแก่น พุทธศักราช 2524 กรมศิลปากรประกาศขึ้นทะเบียนกำหนดเขตที่ดินโบราณสถาน ในราชกิจจานุเบกษาเล่มที่ 98 ตอนที่ 63 วันที่ 28 เมษายน  2524  หน้า 1214 ระบุว่า “โบราณสถานพระพุทธบาทบัวบก ที่ภูพระบาท เนื้อที่ประมาณ 19,062 ไร่ ปรากฏว่าเนื้อที่ไม่ตรงกับข้อเท็จจริง และจำนวนเนื้อที่ตามข้อเท็จจริงคือประมาณ 3,430 ไร่”

พุทธศักราช 2531 ดร.สุวิชญ์ รัศมิภูติ ขณะดำรงตำแหน่งรองอธิบดีกรมศิลปากรขณะนั้นมีดำริเห็นควรดำเนินการพัฒนาพื้นที่ของภูพระบาทขึ้นเป็นอุทยานประวัติศาสตร์ เนื่องจากมีความพร้อมหลายด้านด้วยกัน อาทิ จำนวนโบราณสถานมากมายทั้งสมัยก่อนประวัติศาสตร์ และสมัยประวัติศาสตร์ซึ่งประกาศเขตโบราณสถานแล้ว ป่าไม้ที่ค่อนข้างสมบูรณ์ และประติมากรรมหินตามธรรมชาติ

พุทธศักราช 2532 เริ่มโครงการอุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาทภายใต้ความรับผิดชอบของหน่วยศิลปากรที่ 7 ขอนแก่น โดยจัดทำแผนงานโครงการและจัดหางบประมาณมาดำเนินการอนุรักษ์หลักฐานทางโบราณคดีและพัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวก

พุทธศักราช 2535 กรมศิลปากรกราบทูลเชิญ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จเป็นองค์ประธานในพิธีเปิดอุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาทอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2535

 

ลักษณะทางธรณีวิทยา

พื้นที่อุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาทนั้น มีลักษณะทางธรณีวิทยาอยู่ในหมวดหินภูพานของหินชุดโคราช เป็นหินทรายสีเเดงของมหายุคมีโซโซอิก (Mesozoic) มีอายุตั้งเเต่ปลายยุคไทรแอสซิค (245 - 208 ล้านปี) – ครีเทเชียส (146 – 65 ล้านปี) จนถึงยุคเทอร์เชียรีของมหายุคซีโนโซอิค (65 – 5 ล้านปี) โดยชั้นหินทรายนี้วางตัวอยู่บนพื้นผิวของหินมหายุคพาลีโอโซอิกตอนบน (286 - 245 ล้านปี)

เพิงหินรูปร่างต่างๆที่พบในอุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาทนั้น เกิดจากการที่ชั้นหินทรายเเต่ละชั้นมีความคงทนต่อการกัดเซาะตามธรรมชาติที่เเตกต่างกัน โดยหินทรายชั้นกลางเป็นหินทรายเนื้ออ่อนที่มีการจับตัวของผลึกเเร่ไม่เเน่น จึงสึกกร่อนจากการกัดเซาะได้ง่ายกว่าหินชั้นบนเเละชั้นล่างซึ่งเป็นหินทรายปนหินกรวดมน เนื้อเเน่นเเข็ง ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เกิดเพิงหินที่มีส่วนกลางคอดเว้าคล้ายดอกเห็ด หรือสึกกร่อนจนเหลือเพียงเสาค้ำตามมุมคล้ายโต๊ะหิน กลายเป็นประติมากรรมทางธรรมชาติที่สวยงามแปลกตามองดูราวกับว่าก้อนหินเหล่านี้ถูกยกขึ้นมาวางโดยมนุษย์

ปรากฎการณ์ทางธรณีวิทยาลักษณะนี้ มิได้พบเเค่ในอุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาทเท่านั้น เเต่กระจายตัวอยู่หลายเเห่งในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย เช่นที่ ภูผาเทิบจังหวัดมุกดาหาร เสาเฉลียง จังหวัดอุบลราชธานี เขาจันทร์งาม จังหวัดนครราชสีมา

 


ตำนานความเชื่อ


อารยธรรมที่พบบนอุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท ยุคก่อนประวัติศาสตร์

จากการศึกษาลักษณะ และเนื้อหาสาระของภาพเขียนสีแล้ว ทำให้นักโบราณคดีมีความเห็นว่า ภาพเขียนสียุคก่อนประวัติศาสตร์ที่พบในประเทศไทยนั้น มีทั้งภาพการดำรงชีวิตด้วยการหาของป่าล่าสัตว์เเละภาพการทำเกษตรกรรม จึงน่าจะมีอายุในช่วงราว 3,000 – 2,500 ปีมาเเล้ว ซึ่งเป็นสมัยที่มนุษย์รู้จักการทำเกษตรกรรมเเละการทำเครื่องมือเครื่องใช้จากโลหะเเล้ว

ภาพเขียนสีที่พบบนภูพระบาทมีทั้งเเบบเขียนด้วยสีเดียว (Monochrome) คือสีเเดง เเละหลายสี (Polychromes) คือสีเเดง ขาว เหลือง ตัวภาพเเบ่งได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ
          1. ภาพเสมือนจริง (ภาพคน, สัตว์, พืช, สิ่งของ)
          2. ภาพนามธรรม (ภาพสัญลักษณ์, ลายเรขาคณิต)

สีที่นำมาใช้เขียนนั้น สันนิษฐานว่าเป็นสีที่นำมาจากวัตถุดิบธรรมชาติเช่น ดินเทศ แร่เฮมาไทต์ โดยอาจนำสีที่ได้นี้ไปผสมกับของเหลวที่มีคุณสมบัติเป็นกาว เช่น ยางไม้ เสียก่อนเเล้วจึงนำมาเขียน เพื่อให้สีติดกับเพิงหินทนนาน


ยุคประวัติศาสตร์

พื้นที่บนภูพระบาท เมื่อประมาณพุทธศตวรรษที่ 12 – 16 หรือราว 1,400 – 1,000 ปีมาแล้ว ได้รับเอาวัฒนธรรมทวารวดีที่แพร่มาจากภาคกลางของประเทศไทย พร้อมกับคติความเชื่อทางพุทธศาสนา ทำให้เกิดการก่อสร้างสิ่งต่าง ๆ เนื่องในพุทธศาสนาขึ้น ได้แก่ การตกแต่งหรือดัดแปลงเพิงหินให้เป็นศาสนสถาน โดยมีรูปแบบการติดตั้งใบเสมาหินทรายล้อมรอบเอาไว้

ต่อมาราวพุทธศตวรรษที่ 15 – 18 อิทธิพลศิลปกรรมแบบเขมร ซึ่งแพร่หลายอยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย ได้เข้ามามีบทบาทในแถบนี้ ที่ถ้ำพระมีการตกแต่งสกัดหินเป็นรูปพระโพธิสัตว์และรูปแบบสถาปัตยกรรมแบบเขมร ที่วัดพระพุทธบาทบัวบานและที่วัดโนนศิลาอาสน์ ซึ่งอยู่ใกล้เคียงกับภูพระบาท มีการสลักลวดลายบนใบเสมาหินทรายเป็นเรื่องพุทธประวัติและชาดก ซึ่งมีลวดลายตามรูปแบบศิลปกรรมแบบเขมร

หลังจากช่วงสมัยทวารวดีและเขมรผ่านไป ในราวพุทธศตวรรษที่ 22 – 23 วัฒนธรรมล้านช้าง ได้แพร่เข้ามาที่ภูพระบาท พบหลักฐานเป็นพระพุทธรูปเช่น พระพุทธรูปที่ถ้ำพระเสี่ยง ส่วนด้านสถาปัตยกรรมพบหลักฐานที่วัดลูกเขย



นิทานพื้นบ้านเรื่อง “อุสา – บารส”

ผู้คนในท้องถิ่นได้นำเอานิทานพื้นบ้านเรื่อง “อุสา – บารส” มาตั้งชื่อโบราณสถานที่ต่าง ๆ บนภูพระบาท การเที่ยวชมโบราณสถานบนภูพระบาทจึงควรต้องรู้เกี่ยวกับนิทานพื้นบ้านเรื่องนี้ เพื่อจะได้เข้าใจที่มาของชื่อตลอดจนทราบถึงคติความเชื่อของชุมชนได้เป็นอย่างดี

เนื้อเรื่องเป็นเรื่องราวความรักอันไม่สมหวังระหว่างนางอุสา ธิดาของท้าวกงพาน กับท้าวบารส ซึ่งเป็นโอรสของเจ้าเมืองปะโคเวียงงัว โดยเรื่องราวเริ่มจากนางอุสาได้ทำการเสี่ยงทายหาคู่ ด้วยการทำมาลัยรูปหงส์ลอยไปตามลำน้ำ ซึ่งท้าวบารสเป็นผู้ที่เก็บได้ จึงออกตามเจ้าของมาลัยเสี่ยงทายนั้น จนมาถึงเมืองพานและได้พบกับนางอุสา ทั้งคู่ตกหลุมรักกัน เมื่อท้าวกงพานทราบเรื่องจึงวางอุบายให้มีการแข่งขันสร้างวัดกันภายในหนึ่งวัน โดยผู้ที่แพ้การแข่งขันจะต้องตาย ฝั่งท้าวบารสเสียเปรียบเพราะมีคนน้อยกว่าจึงใช้เล่ห์กลอุบายนำโคมไฟไปแขวนบนยอดไม้เพื่อลวงให้ฝ่ายท้าวกงพานคิดว่าเป็นยามเช้าตรู่แล้ว จึงพากันเลิกสร้างวัดและพ่ายแพ้ไปในที่สุด และถูกตัดศีรษะ หลังจากนั้นนางอุสาได้ไปอยู่กับท้าวบารสที่เมืองปะโคเวียงงัว แต่ก็ถูกกลั่นแกล้งจึงหนีกลับเมืองพาน ในขณะที่ท้าวบารสไปบำเพ็ญเพียรในป่าเพียงลำพัง ต่อมาเมื่อท้าวบารสทราบเรื่องจึงได้ออกเดินทางไปตามนางอุสา ณ เมืองพาน แต่พบว่านางอุสาได้สิ้นใจเพราะความตรอมใจไปก่อนหน้านั้นแล้ว ท้าวบารสเสียใจอย่างสุดซึ้งจึงตรอมใจตายตามนางอุสาไป

 

พิกัดที่ตั้ง

อุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท
N 17 43 51  E 102 21 22

แหล่งวัฒนธรรมสีมา วัดพระพุทธบาทบัวบาน 
N 17 37 49  E 102 19 54


หมายเหตุ


สามารถดาวน์โหลดชุดข้อมูลแหล่งที่บรรจุอยู่ในบัญชีรายชื่อเบื้องต้น (Tentative List) ของศูนย์มรดกโลก
ได้ที่  เว็บไซต์ (https://www.onep.go.th/tentative-list/)  หรือ กดที่นี่เพื่อดาวน์โหลดไฟล์ข้อมูล


วันที่ขึ้นทะเบียน

2004 / 2547


คุณค่าความเป็นสากล

3 - เป็นเอกลักษณ์ที่หายากยิ่ง หรือเป็นของแท้ดั้งเดิม

5 - เป็นตัวอย่างลักษณะอันเด่นชัด หรือขนบธรรมเนียมประเพณีแห่งสถาปัตยกรรม วิธีการก่อสร้าง หรือการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์ที่มีความเปราะบางด้วยตัวมันเอง หรือเสื่อมสลายได้ง่ายจากการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรมที่ไม่สามารถกลับคืนดังเดิมได้ หรือการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ


อุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท

🟢เปิดให้บริการทุกวัน เวลา ๐๘.๓๐ -๑๖.๓๐ น.(ไม่มีวันหยุด)
🟢มีบริการแผ่นพับ จุดชมวีดีทัศน์ นิทรรศการ ร่ม รถวีลแชร์ รถไฟฟ้า ณ ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว
🟢จุดบริการขายบัตร ณ ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว ค่าเข้าชม ชาวไทย ๒๐ บาท ชาวต่างชาติ ๑๐๐ บาท
(ผู้สูงอายุ ๖๐ ปี ขึ้นไป เด็กอายุต่ำกว่า ๑๕ ปี ผู้พิการ พระภิกษุ-สามเณร ภิกษุณี) เข้าชมฟรี
🟢มีบริการนำชม (ไทย - อังกฤษ) ระหว่างเวลา ๐๘.๓๐ - ๑๖.๓๐ น.
☎️สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ๐๔๒๒๑๙๘๓๘ , ๐๔๒๒๑๙๘๓๗ (ในวันและเวลาราชการ)


ภูพระบาท มรดกโลกทางวัฒนธรรม แห่งใหม่ของไทย



รู้จัก "อุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท" มรดกโลกทางวัฒนธรรมแห่งใหม่ของไทย และแห่งที่ 2 ของ จ.อุดรธานี

ข่าวดี เมื่อองค์การเพื่อการศึกษาวิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (UNESCO) ประกาศให้ "อุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท" อ.บ้านผือ จ.อุดรธานี เป็น "มรดกโลกทางวัฒนธรรม" ซึ่งในปีนี้การประชุมคณะกรรมการมรดกโลกสมัยสามัญ ครั้งที่ 46 จัดขึ้นที่กรุงนิวเดลี ประเทศอินเดีย

อุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท ได้รับการประกาศให้เป็นมรดกโลก ภายใต้คุณค่าโดดเด่นอันเป็นสากล ได้แก่ การรักษาความเป็นของแท้และดั้งเดิมของแหล่งวัฒนธรรม สีมาหินสมัยทวารวดี และเป็นประจักษ์พยานที่ยอดเยี่ยมของการสืบทอดของวัฒนธรรมดังกล่าวที่ต่อเนื่องอย่างยาวนานกว่าสี่ศตวรรษ โดยเชื่อมโยงเข้ากับประเพณีของวัดฝ่ายอรัญวาสีในเวลาต่อมา

อุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท เคยถูกเสนอเพื่อขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกเมื่อปี 2547 ต่อมาถูกถอนรายชื่อ กระทั่งปี 2559 ได้เสนอเพื่อให้มีการพิจารณาการขึ้นทะเบียนอีกครั้ง และในที่สุด ปี 2567 ยูเนสโกประกาศขึ้นทะเบียน อุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท เป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรม

อุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท เป็นมรดกโลก แหล่งที่ 8 ของประเทศไทย และเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมแห่งใหม่ ลำดับที่ 5 ของประเทศไทย ต่อจากเมืองโบราณศรีเทพ จ.เพชรบูรณ์ ที่ได้ประกาศไปเมื่อปีที่แล้ว และยังเป็นแหล่งมรดกโลกแห่งที่ 2 ของ จ.อุดรธานี ต่อจากแหล่งโบราณคดีบ้านเชียง ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจากยูเนสโก เมื่อปี 2535


มรดกโลก คืออะไร

แหล่งมรดกโลก หรือ World Heritage Site เป็นพื้นที่ที่ได้รับการคัดเลือกจาก ยูเนสโก (UNESCO) หรือมีชื่อเต็มว่า องค์การเพื่อการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ  เพราะมีลักษณะสำคัญทางวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ วิทยาศาสตร์ หรือด้านอื่น และได้รับความคุ้มครองทางกฎหมายตามสนธิสัญญา สถานที่เหล่านี้ถือว่าสำคัญต่อประโยชน์โดยรวมของมนุษยชาติ

อัปเดต 2567 ยูเนสโก ได้รับรองมรดกโลกไทยไปแล้ว 8 แห่ง เป็น มรดกโลกทางวัฒนธรรม 5 แห่ง และมรดกโลกทางธรรมชาติ 3 แห่ง ล่าสุดก็คือ อุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท นับเป็นแหล่งมรดกโลกแห่งที่ 8 ของไทย นั้นเอง


รู้จัก มรดกโลกแห่งที่ 8 ของไทย

มาทำความรู้จัก "อุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท" มรดกโลกทางวัฒนธรรมแห่งใหม่ของไทย แล้วไทยมีมรดกโลกที่ไหนบ้าง ไปติดตามกันเลย 


อุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท ตั้งอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ (ป่าเขือน้ำ) ในพื้นที่บ้านติ้ว ต.เมืองพาน อ.บ้านผือ ทางทิศตะวันตกของ จ.อุดรธานี สภาพภูมิประเทศของภูพระบาทมีลักษณะ เป็นลานหินและเพิงหิน ที่่เกิดจากธารน้ำ แข็งละลายกัดกร่อนบนภููพระบาท ทําให้เกิดเพิงหินรูปร่างต่าง ๆ มีอายุอยู่ในยุคครีเทเชียส อายุประมาณ 135 ปีมาแล้ว ประกอบด้วย หินทรายสีเทาเป็นชั้นหนา เม็ดตะกอนมีขนาดปานกลางถึงหยาบและหินทรายปนกรวดชั้นหนา 

จากการสำรวจทางโบราณคดี พบว่าบน "ภูพระบาท"ปรากฏร่องรอยกิจกรรมของมนุษย์ ยุคก่อนประวัติศาสตร์ราว 2,500-3,000 ปี จากการค้นพบภาพเขียนสีอยู่มากกว่า 54 แห่ง

นอกจากนี้ ยังพบการดัดแปลงเพิงหินธรรมชาติให้เป็นศาสนสถานของผู้คนในวัฒนธรรมทวารวดี วัฒนธรรมเขมร วัฒนธรรมล้านช้างและรัตนโกสินทร์ตามลำดับ ซึ่งร่อยรอยหลักฐานทางโบราณคดีเหล่านี้ แสดงให้เห็นถึงพัฒนาการทางสังคมของมนุษย์ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทยได้เป็นอย่างดี

ด้วยเหตุนี้กรมศิลปากรจึงดำเนินการขอใช้พื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติขนาดพื้นที่ 3,430 ไร่ จากกรมป่าไม้ โดยได้ประกาศขึ้นทะเบียนเขตโบราณสถานไว้ในราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 98 เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2524

จากนั้นจึงได้พัฒนาแหล่งจนกลายเป็นอุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาทในที่สุด และได้มีพิธีเปิดอุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาทอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2535 โดยสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ได้ทรงพระกรุณาเสด็จพระราชดำเนินเป็นองค์ประธานในพิธีเปิด

อุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท เป็นหน่วยงานหนึ่งในสังกัดสำนักศิลปากรที่ 8 ขอนแก่น กรมศิลปกร กระทรวงวัฒนธรรม มีโบราณสถานในพื้นที่รับผิดชอบซึ่งได้รับการขึ้นทะเบียนแล้วทั้งสิ้น 78 แห่ง มีภารกิจหลักในการดูแลรักษา อนุรักษ์และพัฒนา และทำการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับโบราณสถานและโบราณวัตถุที่อยู่ภายในพื้นที่อุทยานฯและพื้นที่ใกล้เคียง ทั้งยังเปิดให้บริการในฐานะแหล่งท่องเที่ยวและแหล่งเรียนรู้ทางวัฒนธรรมสำหรับประชาชนทั่วไป

การประกาศของยูเนสโก้ครั้งนี้ ก็ทำให้อุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท เป็นมรดกโลกลำดับที่ 8 และแหล่งมรดกโลกทางวัฒนธรรมแห่งที่ 5 ของประเทศไทย ต่อจากเมืองโบราณศรีเทพ จังหวัดเพชรบูรณ์ ที่ได้ประกาศไปเมื่อปีที่แล้ว และยังเป็นแหล่งมรดกโลกแห่งที่ 2 ของ จ.อุดรธานี ต่อจากแหล่งโบราณคดีบ้านเชียง ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจากยูเนสโก เมื่อปี 2535

ทั้งนี้ กรมศิลปากร จะเปิดให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวเข้าอุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาทฟรี ระหว่างวันที่ 28 กรกฎาคม - 12 สิงหาคมนี้ 

ข้อมูลอ้างอิง พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ, กรมศิลปากร, กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม


"ยูเนสโก" รับรอง "มรดกโลกของไทย" ที่ไหนบ้าง


ปัจจุบัน "ยูเนสโก" ได้รับรองมรดกโลกไทยไปแล้ว 8 แห่ง แบ่งเป็น มรดกโลกทางวัฒนธรรม 5 แห่ง และมรดกโลกทางธรรมชาติ 3 แห่ง ดังนี้


มรดกโลกทางวัฒนธรรม

1.  อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัยและเมืองบริวาร (สุโขทัย-ศรีสัชนาลัย-กำแพงเพชร) 

2. อุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยาและเมืองบริวาร 

3. แหล่งโบราณคดีบ้านเชียง อ.หนองหาน จ.อุดรธานี 

4. อุทยานประวัติศาสตร์ศรีเทพ จ.เพชรบูรณ์ ปี พ.ศ. 2566

5. อุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท ปี พ.ศ. 2567 



Phu Phrabat Historical Park  ,   อุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท   ,  ภูพระบาท


ที่มา    https://worldheritagesite.onep.go.th/sitedetail/19  ,  https://prinkotakoon.blogspot.com/2024/07/phu-phrabat-historical-park_27.html  ,  https://prinkotakoon.blogspot.com/2024/07/phu-phrabat-historical-park_25.html 


พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำหนองคาย (Nong Khai Aquarium)

 

พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำหนองคาย 

Nong Khai Aquarium


พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำจังหวัดหนองคาย เป็นศูนย์กลางการศึกษา การวิจัยด้านการประมง การรวบรวมพันธุ์ปลาในลุ่มน้ำโขง ตลอดจนการจัดแสดงพันธุ์สัตว์น้ำในมิติของการบูรณาการ และตอบสนองในการเป็นเมืองท่องเที่ยว


พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำสิรินธร หรือพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำหนองคาย
เป็นส่วนจัดแสดงสัตว์น้ำที่ใหญ่ที่สุดในภาคอีสาน
มีอุโมงใต้น้ำ ยาวหลายสิบเมตร
ทุกวันจะมีการแสดงให้อาหารปลาใต้น้ำ
บรรยากาส จำลองโลกใต้บาดาน



พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำจังหวัดหนองคาย เป็นหน่วยงานหนึ่งของมหาวิทยาลัยขอนแก่น วิทยาเขตหนองคาย เป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญแห่งหนึ่งของจังหวัดหนองคาย เรียกได้ว่าเป็นสถานแสดงพันธุ์สัตว์น้ำที่ใหญ่ที่สุดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จะมีการจัดแสดงสัตว์น้ำชนิดต่างๆ มากมาย ทั้งปลาน้ำจืดและปลาน้ำเค็ม ซึ่งได้รับความเห็นชอบมติ ครม. ครั้งที่ 44/2546 ในวันที่ 17 พฤศจิกายน 2546 เพื่อให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ให้เป็นศูนย์กลางการศึกษา การวิจัยในด้านการประมง การรวบรวมพันธุ์ปลาในลุ่มแม่น้ำโขง ตลอดจนการจัดแสดงพันธุ์สัตว์น้ำในรูปแบบของการบูรณาการ และยังผลักดันเพื่อให้เป็นเมืองท่องเที่ยว พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำจังหวัดหนองคายมีการเริ่มก่อตั้งในปี พ.ศ. 2549 แล้วเสร็จเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ปี พ.ศ. 2552 และเริ่มทดลองเปิดให้ชมเมื่อวันที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2552 ใช้งบประมาณในการก่อสร้างทั้งสิ้น 179.39 ล้านบาท มีอีกชื่อหนึ่งว่า “พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำสิรินธร”



พื้นที่ในการจัดแสดงพันธุ์สัตว์น้ำ

พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำจังหวัดหนองคายมีพื้นที่ในการจัดแสดงพันธุ์สัตว์น้ำ รวมทั้งสิ้น 4848 ตรม. จัดแสดงพันธุ์สัตว์น้ำเป็น 9 กลุ่ม 18 ระบบ

ภายในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ มีอุโมงปลายาวถึง 34 เมตร เป็นทางเดินลาดจากชั้น 2 ซึ่งแสดงปลาน้ำเค็ม ลงไปสู่ชั้นล่างซึ่งเป็นโซนแสดงปลาน้ำจืด และปลาโบราณพื้นบ้าน ปลาลุ่มน้ำโขง จัดแสดงไว้อย่างเป็นธรรมชาติ

เกี่ยวกับรายละเอียดการจัดแสดงพันธุ์สัตว์น้ำ

  • กลุ่มที่ 1 จำนวน 1 ระบบ ขนาด 1 ชุดกรอง การจัดแสดงพันธุ์ปลาทะเลที่อาศัยตามแนวปะการัง เช่น สินสมุทร ผีเสื้อ การ์ตูน สลิดหิน เฉียว ขี้ตังเบ็ด ตะเภาม้าลาย ฯลฯ จำนวนรวม 35 ชนิด

  • กลุ่มที่ 2 จำนวน 2 ระบบ ขนาด 2 ชุดกรอง การจัดแสดงพันธุ์ปลาทะเลน้ำลึก เช่น ช่อนทะเล กุดสลาด เก๋า กะรัง ข้าวเม่าน้ำลึก กระรอกลายแดง ฯลฯ จำนวนรวม 19 ชนิด

  • กลุ่มที่ 3 จำนวน 2 ระบบ ขนาด 2 ชุดกรอง การจัดแสดงพันธุ์ปลาทะเลมีพิษและสัตว์ทะเล เช่น สิงโตครีบจุด วัวมงกุฎ กัดทะเล ปูเสฉวน ปูดำ ม้าน้ำ กุ้งมังกร ดาวทะเล ฯลฯ จำนวนรวม 14 ชนิด

  • กลุ่มที่ 4 จำนวน 2 ระบบ ขนาด 2 ชุดกรอง การจัดแสดงพันธุ์ปลาน้ำกร่อย เช่น กระบอก กะพงขาว ค้างคาว ตะกรับ จวดหน้าม้า ปักเป้าซีลอน ฯลฯ จำนวนรวม 12 ชนิด

  • กลุ่มที่ 5 จำนวน 4 ระบบ ขนาด 11 ชุดกรอง การจัดแสดงพันธุ์ปลาลุ่มน้ำโขง เช่น บึก เค้า สวาย เทโพ เทพา เผาะ ตะเพียนทอง นวลจันทร์ ฯลฯ จำนวนรวม 21 ชนิด

  • กลุ่มที่ 6 จำนวน 2 ระบบ ขนาด 3 ชุดกรอง การจัดแสดงพันธุ์ปลาที่มีถิ่นกำเนิดจากต่างประเทศ เช่น พาคู กดลายเสือ อะราไพม่า ยี่สกเทศ กดหางแดง ออสการ์ อลิเกเตอร์ ฯลฯ จำนวนรวม 15 ชนิด

  • กลุ่มที่ 7 จำนวน 1 ระบบ ขนาด 1 ชุดกรอง การจัดแสดงพันธุ์ปลาสวยงามและปลาโบราณ เช่น หางไหม้ หมูข้างลาย หมูค้อ กาแดง ตะพัด สะตือ กราย ตองลาย ฯลฯ จำนวนรวม 10 ชนิด

  • กลุ่มที่ 8 จำนวน 1 ระบบ ขนาด 1 ชุดกรอง การจัดแสดงพันธุ์ปลาที่มีอวัยวะหายใจพิเศษ เช่น ชะโด หมอไทย หมอช้างเหยียบ ดุกด้าน กระดี่ แรด ฯลฯ จำนวนรวม 8 ชนิด

  • กลุ่มที่ 9 จำนวน 3 ระบบ ขนาด 3 ชุดกรอง การจัดแสดงพันธุ์ปลาน้ำจืด โดยจัดแบ่งเป็นปลาหนัง เช่น กดแก้ว กดเหลือง แค้ เทพา เทโพ บึก สวาย เค้า เนื้ออ่อน นาง แขยง และปลาเกร็ด เช่น ตะเพียนทอง กระมัง แก้มช้ำ กระสูบ บู่ทราย ซิวควาย นางอ้าว ยี่สกไทย กาดำ ชะโด ฯลฯ จำนวนรวม 31 ชนิด

การเข้าชม

ปิดทำการทุกวันจันทร์ (ยกเว้นวันหยุดนักขัตฤกษ์) เปิดให้บริการ วันอังคาร – วันอาทิตย์ เวลา 09.00 – 17.00 น. อัตราค่าเข้าชม เด็ก นักเรียน นักศึกษา 30บาท ผู้ใหญ่ 50บาท ยกเว้นค่าเข้าชม พระสงฆ์ คนพิการ คนชรา และบุคคลคนที่มีความสูงน้อยกว่า 90 เซนติเมตร

การเดินทาง

พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำจังหวัดหนองคาย ตั้งอยู่ภายในมหาวิทยาลัยขอนแก่น วิทยาเขตหนองคาย จังหวัดหนองคาย ห่างจากตัวจังหวัดประมาณ 8 กิโลเมตร นักท่องเที่ยวสามารถเดินทางโดยใช้ถนนมิตรภาพ (ทางหลวงหมายเลข 2) จากจังหวัดอุดรธานี ก่อนถึงจังหวัดหนองคาย 8 กิโลเมตร เลี้ยวซ้ายที่สัญญาณไฟจราจร ห่างจากถนนมิตรภาพ ประมาณ 1 กิโลเมตร

แผนที่

การแสดงโชว์ดำน้ำให้อาหารปลา

การแสดงโชว์ดำน้ำให้อาหารปลา วันปกติ(วันอังคาร-วันศุกร์) รอบบ่ายเวลา 14.00 น. วันเสาร์-อาทิตย์-หยุดนักขัตฤกษ์ รอบเช้า เวลา 11.00 น. รอบบ่าย เวลา 14.00 น.

ราคาเข้าชมพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำจังหวัดหนองคาย

ราคาคนไทย ผู้ใหญ่ 50 บาท เด็ก 30 บาท ส่วนสูงต่ำกว่า 90 เซนติเมตรและท่านที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไปเข้าชมฟรี (ให้แสดงบัตรประจำตัวประชาชนก่อนเข้าชมฟรีทุกครั้งถ้าไม่แสดงบัตรคิดราคาผู้ใหญ่ตามปกติ/นักเรียนนักศึกษาถ้ามีบัตรประจำตัวนักเรียนสามารถใช้เป็นส่วนลดได้ในราคา 30 บาท) มาเป็นกลุ่มคณะมีส่วนลดในราคาพิเศษ
ราคาชาวต่างชาติ ผู้ใหญ่100 บาท เด็ก 50 บาท (ในกรณีชาวต่างชาติที่มีใบขับขี่ในประเทศไทยสามารถแสดงบัตรเพื่อขอส่วนลดได้ในราคา 50 บาท) มาเป็นกลุ่มคณะมีส่วนลดในราคาพิเศษ

ข้อห้ามในการเข้าชม

1. ห้ามนำสัตว์เลี้ยงเข้า(No Pets Allowed)
2. ห้ามใช้แฟลชในการถ่ายภาพ (No Flash)
3. ห้ามนำอาหารและเครื่องดื่มเข้า (No Food Allowed)
4. ห้ามสูบบุหรี่ (No Smoking)

ข้อควรปฎิบัติในการเข้าชม

1. ชมด้วยความสงบ ไม่รบกวนปลา ไม่ให้อาหารปลา
2. ไม่เหยียบ ไม่ปีน ไม่หัก ต้นไม้และหินเทียม
3. ไม่ล้วงมือลงในตู้ปลา

112 หมู่7 ต.หนองกอมเกาะ อ.เมือง จ.หนองคาย, เทศบาลเมืองหนองคาย 43000
โทรติดต่อ 0834594466, 042-414901


พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำหนองคาย   ,   Nong Khai Aquarium


ที่มา      ::           https://www.nongkhaiaquarium.com/

วันพุธที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2568

NEET ไลฟ์สไตล์ใหม่ล่าสุด ไม่อยากทำอะไรเลย มันคืออะไร?

 

NEET ไลฟ์สไตล์ใหม่ล่าสุด ไม่อยากทำอะไรเลย มันคืออะไร?



🔴 ต้นกำเนิดจากสหราชอาณาจักร


NEET เป็นคำที่มีต้นกำเนิดจากสหราชอาณาจักรในช่วงทศวรรษ 1980 โดยนักวิจัยใช้คำนี้เพื่อระบุเยาวชนที่ไม่อยู่ในระบบการศึกษา ไม่อยู่ในระบบการจ้างงาน หรือการฝึกอาชีพ 

ต่อมาในปี 2010 คณะกรรมาธิการด้านการจ้างงานของสหภาพยุโรปนำคำนี้มาใช้เป็นดัชนีชี้วัดแนวโน้ม ซึ่งทำให้คำว่า NEET กลายเป็นส่วนหนึ่งของการถกเถียงสาธารณะ

กลุ่ม NEET ครอบคลุมทั้งคนที่กำลังหางานแต่ยังไม่เจอ รวมถึงคนที่เลิกหางานไปแล้ว

ตามข้อมูลจากองค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) 21.7% ของเยาวชนอายุ 15–24 ปีทั่วโลกในปี 2023 ถูกจัดว่าเป็น NEET

NEET ย่อมาจาก Not in Employment, Education or Training หรือ ไม่มีงานทำ ไม่เรียนหนังสือ ไม่ฝึกอบรม



🔴 ทำไมเยาวชนจึงกลายเป็น NEET?


มีหลากหลายสาเหตุ ตั้งแต่ข้อจำกัดทางเพศในการเข้าถึงการศึกษา ค่าใช้จ่ายในการใช้ชีวิตในเมือง ความกดดันจากการทำงาน ไปจนถึงปัญหาสุขภาพจิต

เว็บไซต์ Vice สัมภาษณ์เยาวชน NEET หลายคน ผู้ให้สัมภาษณ์คนหนึ่งบอกว่า”หลังเรียนจบมัธยม เริ่มฝึกงานที่คลังสินค้าของบริษัทผลิตรถยนต์ แต่งานแย่มากจนต้องลาออก เพราะไม่ได้รับการปฏิบัติเหมือนมนุษย์เลย แต่ถูกปฏิบัติเหมือนเป็นสิ่งของที่ไม่มีชีวิตจิตใจ ที่หากวันหนึ่งใช้งานไม่ได้ เขาก็พร้อมจะเปลี่ยนได้ตลอดเวลา”

รายงานในปี 2024 จากสหราชอาณาจักรระบุว่า มีเยาวชนจำนวนมากที่ อยากทำงานแต่ไม่สามารถทำได้ เพราะเหตุผลทางสุขภาพหรือการเงิน ซึ่งเป็นการโต้แย้งมุมมองที่ว่าเยาวชนที่ไม่มีงานทำนั้นล้วนเป็นคน “ขี้เกียจ” หรือ “ไม่อยากทำงาน”

แต่ 1 ใน 4 ของผู้ตอบแบบสอบถาม NEET ระบุว่า สาเหตุที่พวกเขาไม่ทำงาน ไม่ใช่เพราะขี้เกียจ แต่เป็นเพราะปัญหาสุขภาพจิตทำให้ไม่สามารถทำงานได้ โดยผู้ตอบแบบสอบถาม 21% บอกว่าสุขภาพจิตแย่ลงในช่วงปีที่ผ่านมา

ปัญหาทางการเงิน ก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่ง การที่คนรุ่นใหม่ ไม่อยากเรียนหนังสือ เพราะการศึกษาอาจมีค่าใช้จ่ายสูงเกินเอื้อม และถึงแม้เรียนจบแล้ว บางคนก็ยังเข้าไม่ถึงการทำงานเพราะค่าครองชีพในเมืองสูง



สรุปข่าว


ไลฟ์สไตล์แบบ NEET ไม่ทำงาน ไม่เรียนหนังสือ ไม่ฝึกอบรม เป็นไลฟ์สไตล์ที่กำลังเพิ่มขึ้นในวัยรุ่นทั่วโลก โดยมีหลากหลายสาเหตุ ตั้งแต่ข้อจำกัดทางเพศในการเข้าถึงการศึกษา ค่าใช้จ่ายในการใช้ชีวิตในเมือง ความกดดันจากการทำงาน ไปจนถึงปัญหาสุขภาพจิต



🔴 ประเทศรายได้ต่ำและปานกลาง อัตรา NEET สูง


ตามข้อมูลจากองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) ระบุว่า แอฟริกาใต้ ตุรกี และโคลอมเบีย มีอัตรา NEET สูงสุด ขณะที่เนเธอร์แลนด์ นอร์เวย์ และไอซ์แลนด์ มีอัตรา NEET ต่ำสุด

กรณีของแอฟริกาใต้เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนมาก โดยในปี 2022 ประเทศมี เยาวชน NEET สูงถึง 42% อัตราการว่างงานโดยรวมเกือบ 30% รายได้ครัวเรือนเฉลี่ยปีละเพียง 9,338 ดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 3 แสนบาท ซึ่งน้อยกว่าหนึ่งในสามของค่าเฉลี่ยโลก

กลุ่มเยาวชน NEET ส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในพื้นที่ยากจน โดยเฉพาะชุมชนคนผิวดำในเขตเมืองและชนบท

รัฐบาลแอฟริกาใต้ระบุว่า เยาวชน NEET ส่วนใหญ่มีการศึกษาระดับมัธยมปลายหรือต่ำกว่า จึงจำเป็นต้องมีโครงการฝึกอาชีพและการศึกษาทางเลือก ซึ่งจำนวนเยาวชน NEET ที่เพิ่มสูงอย่างต่อเนื่อง แสดงให้เห็นถึงสถานการณ์ทางสังคมที่อาจนำไปสู่ความไม่สงบ และต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน”

มาที่เนเธอร์แลนด์ ทำไมเนเธอร์แลนด์ถึงมีอัตรา NEET ต่ำ OECD ระบุว่า อัตรา NEET ของเนเธอร์แลนด์อยู่ที่เพียง 4.5% เท่านั้น ความร่วมมือระหว่างหน่วยงานรัฐด้านการศึกษา วัฒนธรรม สังคม และแรงงาน มีส่วนช่วยลดอัตรา NEET ลง 1% ระหว่างปี 2014-2020 อีกปัจจัยสำคัญคือ ระบบการศึกษาของเนเธอร์แลนด์ ซึ่งเน้นการคัดแยกนักเรียนตามศักยภาพและเตรียมทักษะตรงกับตลาดแรงงาน แต่ระบบนี้ก็มีข้อจำกัด คือ หากนักเรียนไม่ได้งานตามสายที่เรียนมา จะถูกมองว่า “ไม่เหมาะสมกับตลาดแรงงาน” ทำให้เยาวชนผู้อพยพอาจเข้าไม่ถึงโอกาสเช่นเดียวกัน




🔴 เกาหลีใต้มีหนุ่มสาว 590,000 คนไม่ทำงานและไม่หางาน


รายงานล่าสุดจากสำนักงานข้อมูลการจ้างงานเกาหลี เปิดเผยว่า ในปี 2024 มีหนุ่มสาวเกาหลีอายุระหว่าง 15-34 ปี จำนวน 590,000 คน ที่อยู่ในสถานะ “ไม่ทำงานและไม่หางาน” (Economically Inactive) เพิ่มขึ้นถึง 197,000 คน เมื่อเทียบกับปี 2019

กลุ่มคนเหล่านี้เป็นผู้ที่หยุดหางาน ภายใน 1-3 ปีหลังจากสำเร็จการฝึกอบรมอาชีพหรือรับสิทธิประโยชน์เพื่อหางาน โดยผลสำรวจกลุ่มตัวอย่าง 3,189 คน ที่ตอบว่า “หยุดพัก” จากการหางานในรอบปีที่ผ่านมา พบว่าโดยเฉลี่ยแล้ว พวกเขาว่างงานนานเกือบ 2 ปี เหตุผลหลักคือ "ไม่อยากทำงาน"

ช่วงเวลาการหยุดหางานเฉลี่ยอยู่ที่ 22.7 เดือน โดยเหตุผลสำคัญ คือ ไม่อยากหางานเลย 38.1% มุ่งเน้นการเรียนหรือพัฒนาตนเอง 35% ภาวะหมดไฟ (burnout) 27.2% ปัญหาทางจิตใจ 25%

กลุ่มผู้จบมหาวิทยาลัยที่ไม่หางาน ก็เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ :

กลุ่มอายุน้อยจาก 19.4% เพิ่มเป็น 23.7%, กลุ่มอายุมากจาก 54.3% เพิ่มเป็น 58.8%

สาเหตุหนึ่งมาจาก “งานไม่ตรงกับวุฒิการศึกษา” รายงานระบุว่า เกิดภาวะไม่ตรงกันระหว่างทักษะกับงาน (Job Mismatch) เพราะงานที่เหมาะสมกับระดับการศึกษาของคนรุ่นใหม่มีน้อย



🔴 การมีไลฟ์สไตล์แบบ NEET ส่งผลกระทบอะไรต่อสังคมและต่อโลกบ้าง?


อัตรา NEET ที่สูงส่งผลกระทบหลายด้าน อาจสะท้อนความเหลื่อมล้ำและความไม่มั่นคงทางเศรษฐกิจ ในบางประเทศกำลังพัฒนา หากมีเยาวชนว่างงานมากเกินไป ก็มีความเสี่ยงที่เยาวชนกลุ่มนี้จะออกมาก่อความไม่สงบและการเคลื่อนไหวทางการเมืองได้

ส่วนในระดับบุคคล 50% ของเยาวชน NEET ในสหราชอาณาจักรรู้สึก “สิ้นหวังกับอนาคต" งานวิจัยพบว่าการเป็น NEET เชื่อมโยงกับภาวะซึมเศร้า ความวิตกกังวล การใช้สารเสพติด และความคิดฆ่าตัวตาย

โจนาธาน ทาวน์เซนด์ ผู้บริหารมูลนิธิ Prince’s Trust กล่าวไว้ในรายงานปี 2024 ว่า เยาวชนกำลังติดอยู่ในวงจรอุบาทว์ สุขภาพจิตที่ย่ำแย่ส่งผลต่อการทำงาน และการว่างงานก็ยิ่งทำให้สุขภาพจิตแย่ลง เป็นกับดักที่น่ากังวลอย่างยิ่ง เรื่องนี้จึงเป็นเรื่องใหญ่ที่มองข้ามไม่ได้



NEET ,  Not in Employment ,  Education  , Training  , ไม่มีงานทำ   ,  ไม่เรียนหนังสือ  , ไม่ฝึกอบรม ,  ขี้เกียจ  ,  ไม่อยากทำงาน  ,   ไม่ทำงาน  , สิ้นหวังกับอนาคต  ,  ภาวะซึมเศร้า   ,  ความวิตกกังวล   ,  การใช้สารเสพติด ,  ความคิดฆ่าตัวตาย


ที่มาข้อมูล : OECD, Eurofound  ,  https://www.tnnthailand.com/world/201951/#goog_rewarded

ที่มารูปภาพ : Canva