อยากเป็น "นายร้อยตำรวจ" ต้องทำไง? เปิด 6 เส้นทางสอบเข้า ติดดาวบนบ่า!
บ่อยครั้งได้นำเสนอเรื่องราวของเหล่านักเรียนนายร้อยในรั้วสามพราน โดยได้ถ่ายทอดประสบการณ์จากปากนายตำรวจรุ่นใหม่-รุ่นเก่า ที่เคยเตรียมตัวสอบเข้าโรงเรียนเตรียมทหารสู่การเลือก"เหล่าตำรวจ" แต่รู้กันใช่ไหมคะว่า? การจะติดดาวบนบ่าเป็นตำรวจชั้นสัญญาบัตร มิใช่เพียงต้องจบชั้นมัธยม และสอบตรงเข้าสู่โรงเรียนเตรียมทหารเพียงอย่างเดียว เพราะสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ยังเปิดโอกาสให้กับบุคคลที่มีความสามารถ ความถนัด และใช้โควตาพิเศษ รวมแล้ว 6 เส้นทาง เราได้นำข้อมูลทั้งหมดมาเรียบเรียงไว้ เผื่อใครสนใจ จะได้เตรียมตัวไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ
1.วาดฝันเอาไว้ จากมัธยมปลาย สอบตรงเข้าเตรียมทหาร เลือกเหล่าตำรวจ
น้องๆ คนไหนที่กำลังศึกษาระดับชั้นมัธยมปลาย ม.4-ม.5 อาจจะเห็นว่าเพื่อนชายร่วมชั้นเรียนอยู่ดีๆ ก็หนีหายออกไปขณะยังไม่จบชั้นมัธยมปีที่ 6 นั้นก็เพราะเพื่อนๆ ของน้อง เค้ามีความฝันเตรียมตัวมาตั้งแต่ต้น จะด้วยการอ่านหนังสือติวข้อสอบเอง หรือเรียนตามสถาบันติวเตอร์สอบเข้าโรงเรียนเตรียมทหาร มุ่งสู่นายร้อยตำรวจโดยตรงก็ตามแต่ หากสามารถผ่านการทดสอบตามหลักเกณฑ์ ก็เข้าไปเรียนต่อในรั้วโรงเรียนเตรียมทหารได้ทันที ขั้นตอนวิธีการสอบเข้า สรุปไว้ให้เข้าใจรวบรัดคือ
น้องๆ ต้องศึกษาอยู่ชั้นมัธยมปีที่ 4 เป็นต้นไป อายุไม่เกิน 15-18 ปี ต้องเรียนสายวิทยาศาสตร์-คณิตศาสตร์ เท่านั้น โดยใช้วุฒิมัธยมศึกษาปีที่ 4 (โรงเรียนมัธยมทั่วประเทศ) นำไปเข้าสมัครสอบเป็นนักเรียนนายร้อยตำรวจ และเมื่อสอบผ่านต้องเข้าเรียนเตรียมทหาร 2 ปี และต่อด้วยโรงเรียนนายร้อยตำรวจอีก 4 ปี ตามหลักสูตรที่กำหนด เมื่อจบมาได้ติดดาวพระราชทานยศ ร้อยตำรวจตรี (ร.ต.ต.) และรับพระราชทานกระบี่
ซึ่งที่ผ่านมาย้อนไปสักประมาณ 20-30 ปีก่อน ทุกคนที่สอบติดเตรียมทหารยังไม่สามารถเลือกเหล่าได้ทันที ต้องรอเรียนจนจบเตรียมทหาร 2 ปี แล้วนำคะแนนสอบมาเลือกเหล่าตามลำดับ แต่ปัจจุบันทางโรงเรียนเตรียมทหารได้เปิดโอกาสให้สอบคัดเลือกเหล่าต่างๆ ในวันและเวลาที่ไม่ตรงกัน ดังนั้นผู้ที่พลาดหวังจากเหล่าตำรวจ ก็ยังสามารถไปสอบเลือกสอบเข้าเป็น ทหารอากาศ ทหารเรือ และ ทหารบก ได้อีกด้วย

2. จบ มัธยม 6 อายุไม่เกิน 18 ปี สอบเข้าโรงเรียนนายร้อย (ไม่ได้เรียนเตรียมทหาร)
น้องๆ ที่จบชั้นมัธยมศึกษาหลายคนที่พลาดหวังสอบเข้าโรงเรียนเตรียมทหาร หากอายุไม่เกิน 18 ปี น้องสามารถใช้วุฒิ ม.6 หรือเทียบเท่า ไปสอบเข้าโรงเรียนนายร้อยได้ แต่จะไม่ได้จบ 2 ปีจากเตรียมทหาร (เพราะน้องได้เรียน ม.5-ม.6 จากโรงเรียนเดิมมาแล้ว) ซึ่งก็ถือเป็นอีก 1 เส้นทางที่จะเข้าไปเรียนกับเพื่อนในรั้วโรงเรียนนายร้อยสามพราน และอาจจะไปเจอเพื่อนสนิทที่สอบติดไปก่อนเรา และเริ่มเข้าเป็นนักเรียนนายร้อยรุ่นเดียวกันก็เป็นได้
ที่สำคัญ รอบนี้ห้ามพลาดนะคะเด็กๆ ต้องอ่านหนังสือเยอะๆ ติวหนักๆ เพราะถือเป็นหนทางคว้าดาวที่ไม่ยากเกินเอื้อม แต่ถ้าไม่ติดอีกรอบนี้ ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติยังมีเส้นทางให้พิชิตติดดาวได้อีก ตามมาดูกันเลยค่ะ!
3. สอบเข้านายสิบตำรวจ เรียน 1 ปี (อายุไม่เกิน 25 ปี) จะมีสิทธิ์สอบนายร้อยตำรวจ
น้องต้องนำวุฒิการศึกษาไปสอบนายสิบตำรวจให้ติด ซึ่งข้อสอบจะเน้นวิชาความรู้ที่ง่ายกว่าการสอบเข้าโรงเรียนนายร้อย เมื่อสอบเรียนนายสิบ (ทั่วประเทศ) 1 ปี และอายุไม่เกิน 25 ปี น้องจะมีสิทธิ์สอบเข้านายร้อยตำรวจ โดยใช้โควตานายสิบตำรวจ โดยจะรับประมาณ 30 คน เข้าไปเรียนนายร้อยตำรวจ โดยน้องจะได้เรียนพร้อมรุ่นของเตรียมทหารที่ขึ้นเหล่าและนับรุ่นนายร้อยเหมือนกัน
ข้อสอบที่ใช้สอบเข้าจะออกเหมือนแนวทางเดียวกับเตรียมทหาร และเป็นข้อสอบเดียวกับนายร้อยตำรวจหญิง น้องมีโอกาสสอบจนอายุ 25 ปี นั่นหมายความว่า สมมติน้องสอบติดนายสิบตำรวจติดตอนอายุ 18 ปี เรียนจบ 19 ปี น้องก็จะมีสิทธิ์สอบถึง 6 ครั้ง จนกว่าจะอายุ 25 ปีเลยนะคะ

4. เข้าสายนายร้อยตำรวจอบรม ต้องมีวุฒิปริญญาตรี เปิดสอบภายใน
เมื่อน้องสอบเข้าเรียนเป็นนายสิบได้แล้ว แต่โชคไม่เข้าข้างเพราะไม่สามารถสอบชิงโควตาเข้าโรงเรียนนายร้อยตำรวจได้ อีก 1 หนทางคือ น้องต้องเรียนจนจบปริญญาตรี สาขานิติศาสตร์ หรือรัฐศาสตร์ หรือสาขาข้างเคียงที่อาจเปิดรับ น้องสามารถใช้วุฒิปริญญาตรีสอบภายใน ขึ้นเป็นชั้นสัญญาบัตร เค้าจะเรียกกันว่า "นายร้อยอบรม" และถึงแม้จะไม่ได้ผ่านโรงเรียนนายร้อยมีรุ่นโดยตรง แต่เป็นสายที่นิยมกันมากในวงการราชการตำรวจไทย
ดังนั้นเมื่อน้องเป็นนายสิบตำรวจ และเรียนจบปริญญาตรีคณะตามที่บอกไป ระหว่างรับราชการเป็นนายสิบ ก็ใช้วุฒิการศึกษาดังกล่าวมาสอบเข้าอบรม หากสอบไม่ติดก็สามารถยื่นสอบใหม่ได้ทุกปีไปจนอายุครบ 52 เลยนะคะ แต่ทางที่ดีสอบให้ติดตั้งแต่เนิ่นๆ ดีกว่า เพราะจะได้มีดาวบนบ่า อนาคตไกลตั้งแต่หนุ่มๆ จ้า
5. เข้าสายนายร้อยตำรวจอบรม นักกีฬาทีมชาติ (เฉพาะทาง)
การจะเข้าทางลัดสายนี้ ต้องเป็นสายงานที่เปิดรับ "ผู้มีความรู้ ความสามารถพิเศษ และคุณสมบัติพิเศษ" จบปริญญาตรีในสาขาที่ต้องการ เช่น แพทย์ตำรวจ ตำรวจวิศวะ ตำรวจสารนิเทศ กองพิสูจน์หลักฐาน ฯลฯ รวมถึงนักกีฬาโควตาพิเศษ ก็สามารถรับการพิจารณาให้เข้ามาเป็นข้าราชการตำรวจเช่นกัน
อย่างที่น้องๆ คงเคยเห็นนักกีฬาทีมชาติไทย ไม่ว่าจะเป็นนักฟุตบอล นักเทนนิส นักมวย นักว่ายน้ำ ที่ทำคุณประโยชน์ชื่อเสียงให้แก่ประเทศชาติ ก็สามารถบรรจุเข้ามาเป็นตำรวจได้ ส่วนจะอยู่ในหน่วยงานไหน ด้านใดนั้น คงต้องว่ากันที่ผลการสอบคัดเลือก หรือหน้างานที่ถนัดต่อไป

6. ติดยศนายดาบ จน 52 ปี เลื่อนไหลติดดาวบนบ่า ขึ้นสัญญาบัตรทันทีไม่ต้องสอบ
เหมือนจะเป็นหนทางที่ไม่ต้องพยายามอะไรมาก หากแต่ว่าน้องต้องใช้เวลารับราชการจนเกือบเกษียณ กว่าจะได้ติดยศเป็น "ร้อยตำรวจตรี" ขึ้นชั้นสัญญาบัตร เพราะทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้อนุมัติจัดให้ ข้าราชการตำรวจที่มีอายุ 52 ปีขึ้นไป เลื่อนไหลได้ทันทีโดยไม่ต้องสอบแข่งขันแย่งชิงกับใคร เหลือเวลารับราชการอีก 7 ปี ผลงานดีก็จะเกษียณที่ ยศพันตำรวจตรี ซึ่งนี่ถือเป็นโครงการดีๆ ที่ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติมอบให้แด่พี่ๆ ตำรวจที่รับราชการมายาวนาน ดังนั้นการได้ติดดาวบนบ่าเป็นของขวัญแห่งความเพียร จึงเป็นเรื่องน่ายินดี และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าสำนักงานตำรวจแห่งชาติจะยังมีนโยบายเช่นนี้อย่างต่อเนื่อง
***อย่าเพิ่งท้อ อย่าเพิ่งถอย เพราะการจะเป็นนายร้อยตำรวจ หรือเข้ารับราชการตำรวจ มีหนทางการสอบเข้าและเปิดรับมากกว่าหน่วยงานราชการอื่นๆ หากมุ่งมั่นตั้งใจ วางเป้าหมายไว้ตั้งแต่เรียนมัธยมต้น หลายคนอ่านหนังสือทบทวนบ่อยๆ ด้วยตัวเองโดยไม่ต้องไปเสียเงินให้โรงเรียนกวดวิชา ก็สามารถที่จะสอบเข้าโรงเรียนเตรียมทหาร ติดดาวเป็นนายร้อยได้สบายๆ เพราะที่เห็นๆ นายตำรวจยศใหญ่ๆ โลดแล่นอยู่ในวงการสีกากีขณะนี้ หลายท่านก็เริ่มจากต้นทุนชีวิตที่ไม่ได้สูง เป็นลูกชาวบ้านธรรมดาๆ อาศัยความขยันเข้าว่า อนาคตติดยศ พล.ต.อ. (พลตำรวจเอก) ทำเพื่อชาติบ้านเมืองมาหลายต่อหลายนายแล้ว สู้สู้นะคะน้องๆ เป็นกำลังใจให้ค่ะ
CR :: https://www.thairath.co.th/news/local/bangkok/1419046