Learn with Prin เรียนรู้ไปพร้อมกับน้องปริญญ์

จำหน่ายผลิตภัณฑ์ Legacy /Reborn Set ลด Fat ตัวช่วยลดไขมัน ลดน้ำหนัก แบบถูกวิธี 🔥 ติดต่อสอบถาม/สั่งซื้อ 📍 โทร ☎️ :: 084-110-5021 🌸 Line ID :: pla-prapasara 🌸 รับโปรโมชั่นสุดพิเศษเฉพาะทาง Line นะคะ 📍

วันพุธที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2567

26 เมนูจากแป้งเหลือ ๆ ทั้งอาหารคาวและขนมทำกินอร่อยไม่มีเบื่อ

 

26 เมนูจากแป้งเหลือ ๆ ทั้งอาหารคาวและขนมทำกินอร่อยไม่มีเบื่อ



แป้งเหลือ ๆ จะทิ้งก็เสียดาย ปล่อยไว้นานก็กลัวเสื่อมคุณภาพ ลองจับแป้งที่เหลือจากการทำขนมมาทำเมนูใหม่ ๆ กันดีกว่า กระซิบว่าแป้งแค่ชนิดเดียวทำได้หลากหลายเมนูเลย


แป้งที่เหลือจากการทำอาหาร หรือขนม บางบ้านก็มักจะมัดปากถุงด้วยหนังยางแล้ววางทิ้งไว้ในตู้เก็บวัตถุดิบ บางบ้านก็ทิ้งไป แต่จริง ๆ แล้วถ้าเรารู้จักแป้งชนิดนั้น ๆ ดีพอ ก็จะสามารถเอามาทำเมนูอื่น ๆ ได้อีกเยอะแยะ ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับประเภทของแป้งที่มีเนื้อสัมผัสและคุณสมบัติแตกต่างกันออกไป ซึ่งแป้งแต่ละชนิดหากจับมาใช้ผิดประเภทก็อาจจะทำให้เมนูนั้น ๆ ผิดรูปผิดร่าง ถึงขั้นผิดเพี้ยนไปเลยก็ว่าได้ เราจะขออธิบายให้เข้าใจเรื่องของแป้งในการทำอาหาร ดังนี้
  • แป้งสาลีอเนกประสงค์ มาจากข้าวสาลีชนิดหนักและชนิดเบาผสมกัน สามารถเอามาทำทั้งขนมกับอาหารได้หลายแนวตามชื่อ ทั้งแนวเบเกอรี่ ขนมไทย และอาหารคาว 

  • แป้งมัน ถ้าทำให้สุกจะมีความเหนียวใส มักใช้กับอาหารหรือขนมที่ต้องการความเหนียว เช่น รวมมิตร เต้าส่วน หรือใช้ผสมกับแป้งสาลีเพื่อให้มีความกรอบนุ่ม เช่น หอยทอด กุยช่ายทอด 

  • แป้งเท้ายายม่อม จะมีลักษณะข้นหนืดเหมือนแป้งมัน แต่ราคาแพงกว่า เอามาทำขนมไทยแทนแป้งมันได้ ถ้าเป็นแป้งข้าวเจ้าเหมาะทำขนมไทยที่ต้องการความอยู่ตัวและมีความมันวาว เช่น ขนมกล้วย ขนมฟักทอง ลอดช่อง รวมทั้งอาหาร เช่น กุยช่าย ข้าวเกรียบปากหม้อ

  • แป้งข้าวโพด ปกติจะใส่ในอาหารประเภทน้ำแดง ซอสต่าง ๆ หรือไส้ขนมที่ต้องการความข้นเหลว รวมทั้งขนมไทยที่ต้องการความข้นหนืด 

           ใครมีแป้งตุนไว้อยากชวนมาทำเมนูจากแป้งเหลือ ๆ ไม่ต้องทิ้ง หรือเหลือเก็บจนใช้งานไม่ได้ มีแป้งชนิดไหนก็เลือกทำตามสูตรกันเลยจ้า
แป้งสาลีอเนกประสงค์

1. ขนมดอกจอก

เมนูจากแป้ง

ภาพจาก คุณ Kitty Chef สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม

            ถ้าแป้งสาลีเหลือ ๆ จับมาทำขนมดอกจอก สูตรจาก คุณ Kitty Chef สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม ขนมไทยโบราณ ลักษณะคล้ายดอกจอกที่ลอยอยู่ในน้ำ สมัยก่อนเป็นขนมที่ใช้ในงานมงคล แต่ปัจจุบันยุคสมัยเปลี่ยนไป คนสมัยใหม่ไม่ค่อยรู้จักกันมากเท่าไร ส่วนผสมใส่น้ำปูนใสเพื่อความกรอบ ใส่กะทิเพื่อความหอมมัน บางสูตรใส่น้ำเปล่าแทน ใช้พิมพ์รูปดอกจอกจุ่มลงในแป้งแล้วใส่กระทะทอดจนแป้งลอยขึ้นสุกสีสวย

ส่วนผสม ขนมดอกจอก

  1. แป้งสาลีอเนกประสงค์ 200 กรัม

  2. แป้งข้าวเจ้า 150 กรัม

  3. แป้งมันสำปะหลัง 50 กรัม

  4. น้ำปูนใส 250 กรัม

  5. ไข่ไก่ 2 ฟอง

  6. เกลือ 1/2 ช้อนชา

  7. น้ำตาลทราย 50 กรัม

  8. หัวกะทิ 500 กรัม

  9. งาดำ

  10. พิมพ์ สำหรับทำขนมดอกจอก

วิธีทำขนมดอกจอก

  1. นำแป้งสาลี แป้งข้าวเจ้า และแป้งมัน เทรวมกัน ตามด้วยน้ำปูนใส นวดไปเรื่อย ๆ ใส่ไข่ไก่นวดต่อไปเรื่อย ๆ

  2. ใส่เกลือและน้ำตาลทราย นวดให้เข้ากัน เทกะทิแล้วนวดให้ส่วนผสมเนียนเป็นเนื้อเดียวกัน ใช้เวลานวดค่อนข้างนานกว่าส่วนผสมจะเข้ากันดี กรองด้วยกระชอนตาถี่ แป้งจะละเอียดเนียนสวย ใส่งาดำตามชอบ หรือจะใส่งาขาวด้วยก็ได้

วิธีทอดขนมดอกจอก

  1. นำพิมพ์ไปแช่ทิ้งไว้ในน้ำมันที่ร้อนประมาณ 10 นาที 

  2. พอพิมพ์ร้อนได้ที่แล้วก็ซับด้วยน้ำมันก่อนที่จะไปชุบแป้ง จุ่มพิมพ์ลงไปในแป้ง แต่อย่าจุ่มจนมิด (เพราะถ้าจุ่มมิดแป้งจะติดพิมพ์ ไม่หลุด)

  3. นำพิมพ์ชุบแป้งเสร็จแล้วลงไปทอดในน้ำมันที่ร้อน ใช้ไฟกลาง พอเอาพิมพ์จุ่มลงในน้ำมันแล้วค่อย ๆ เขย่าพิมพ์ แป้งก็จะหลุดออกจากพิมพ์ ทอดให้สุกเหลือง เอาขึ้นพักให้สะเด็ดน้ำมัน พอพักจนเย็นก็กินได้แล้ว
     

ดูวิธีทำ ขนมดอกจอก เพิ่มเติมคลิก

2. ขนมครกใบเตย

เมนูจากแป้ง

ภาพจาก เฟซบุ๊ก พาทำ พาทาน

            อีกหนึ่งสูตรขนมจากแป้งสาลีที่น่าสนใจคือ ขนมครกใบเตย หรือขนมครกสิงคโปร์ สูตรจาก เฟซบุ๊ก พาทำ พาทาน เชื่อว่าขนมชนิดนี้ดัดแปลงมาจากขนมของชาวมุสลิม โดยเพิ่มแป้งมันกับผงฟูให้มีความฟูเหนียวนุ่ม หยอดใส่พิมพ์ตามชอบ ปกติจะใช้พิมพ์รูปดอกไม้ และทุกวันนี้นอกจากสีเขียวจากใบเตยแล้วยังมีการประยุกต์เป็นสีอื่น ๆ อีกเช่น สีม่วง สีชมพู สีส้ม สีฟ้า เป็นต้น

ส่วนผสม ขนมครกใบเตย (สำหรับ 18-20 ชิ้น)

  1. แป้งสาลีอเนกประสงค์ 1/2 ถ้วย + 2 ช้อนโต๊ะ

  2. แป้งมัน 1/4 ถ้วย

  3. ​​ผงฟู 1 ช้อนชา

  4. เกลือป่น 1/4 ช้อนชา

  5. ​น้ำตาลทราย 4 ช้อนโต๊ะ

  6. ไข่ไก่ 1 ฟอง

  7. น้ำใบเตยคั้นเข้มข้น 1/3 ถ้วย

  8. ​กะทิ 1/4 ถ้วย

  9. ​น้ำมันพืช สำหรับทาพิมพ์

  10. ​เตาขนมครกสิงคโปร์ (หรือใช้พิมพ์รูปอะไรก็ได้ไม่จำเป็นต้องเป็นรูปดอกไม้)

  11. ​ผ้า สำหรับชุบน้ำมันทาเตา

วิธีทำขนมครกใบเตย

  1. ร่อนแป้งสาลีอเนกประสงค์ แป้งมัน และผงฟู เข้าด้วยกัน ใส่น้ำตาลทรายและเกลือลงไป คนผสมเข้าด้วยกัน

  2. ใส่ไข่ไก่ลงไปตีผสมให้เข้ากัน

  3. เทกะทิลงไปตีผสมให้เข้ากัน ตามด้วยน้ำใบเตย คนผสมให้เข้ากันอีกครั้งจนเป็นเนื้อเนียนละเอียด พักแป้งไว้ 10 นาที

  4. นำเตาขนมครกวางบนเตาแก๊ส ใช้ไฟอ่อนที่สุด แล้วใช้ผ้าชุบน้ำมันทาเตาบาง ๆ จากนั้นตักแป้งหยอดลงในเตาไม่ต้องเต็ม (เพราะเดี๋ยวขนมจะฟูขึ้นมาเอง) ปิดฝา (เพื่อให้ขนมสุกเร็วขึ้น)

  5. เมื่อขนมสุกแล้วใช้ไม้ปลายแหลมหรือไม้จิ้มฟันแซะขึ้นมาจากพิมพ์ จัดใส่จาน พร้อมเสิร์ฟ
     

ดูวิธีทำ ขนมครกใบเตย เพิ่มเติมคลิก

3. ขนมรังผึ้ง

เมนูจากแป้ง

ภาพจาก คุณ sujitrar สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม

            หลายคนอาจคุ้นเคยกับขนมรังผึ้ง สูตรจาก คุณ sujitrar สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม เหมาะกินรองท้องเป็นอาหารว่าง มีทั้งขนมรังผึ้งใช้แม่พิมพ์โบราณสี่เหลี่ยมกับแม่พิมพ์สมัยใหม่ทรงกลม ถ้าเป็นสมัยก่อนจะใส่แค่ไส้ข้าวโพด และใช้เตาถ่าน แต่ทุกวันนี้มีการดัดแปลงใส่ไส้อื่น ๆ เช่น เผือก ฝอยทอง ลูกเกด รวมถึงไส้ทะลักด้วย และใช้เตาแก๊สเพื่อความสะดวก

ส่วนผสม ขนมรังผึ้ง (ประมาณ 10 แผ่น)

  1. ไข่ไก่ (เบอร์ 2) 4 ฟอง

  2. น้ำตาลทราย 200 กรัม

  3. น้ำตาลมะพร้าว 180 กรัม

  4. เกลือ 1+1/2 ช้อนชา

  5. กะทิ 580 กรัม

  6. แป้งสาลีอเนกประสงค์ 450 กรัม

  7. น้ำเปล่า 200 กรัม

  8. เนื้อมะพร้าวอ่อน 200 กรัม หรือใส่ตามชอบ

  9. งาดำคั่ว 1 ช้อนชา

  10. น้ำมัน สำหรับทาเตาทำขนมรังผึ้ง

  11. เตาทำขนมรังผึ้ง

วิธีทำขนมรังผึ้ง

  1. นำไข่ น้ำตาลทราย และน้ำตาลมะพร้าว ใส่ลงชามผสม ใช้ตะกร้อมือหรือตะกร้อไฟฟ้าตีไข่คนให้เข้ากันจนขึ้นฟู

  2. เติมเกลือ คนให้เข้ากัน หลังจากนั้นเติมกะทิสลับกับแป้ง ตะล่อมจนกะทิและแป้งละลายเข้ากัน

  3. เติมน้ำเปล่า คนให้เข้ากัน เติมเนื้อมะพร้าว ใส่งาดำ คนให้เข้ากัน

  4. ตั้งเตาทำรังผึ้ง ทาด้วยน้ำมัน เมื่อเตาร้อนดีให้ใส่แป้งลงไป ปิดเตา รอจนสุก นำออกจากเตากินตอนร้อน ๆ นุ่ม หอม อร่อย หรือจะตั้งไว้ให้เย็นก็ยังนุ่ม
     

ดูวิธีทำ ขนมรังผึ้ง เพิ่มเติมคลิก

4. เกี๊ยวซ่า

เมนูจากแป้ง

ภาพจาก คุณ Panda-chan สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม

          และแล้วก็ถึงเมนูอาหารคาวจากแป้งเหลือ ๆ สักทีนั่นคือ เกี๊ยวซ่า สูตรจาก คุณ Panda-chan สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม มีต้นกำเนิดมาจากประเทศจีน แต่เป็นเกี๊ยวต้มหรือนึ่ง ต่อมาได้แพร่หลายมาในญี่ปุ่นช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 และได้มีการดัดแปลงเป็นการทอด สูตรนี้ส่วนผสมแป้งใช้แป้งสาลีผสมน้ำอุ่น เติมเกลือกับน้ำมันงานวดจนเป็นแผ่น ห่อไส้หมูสับผสมขิง กระเทียม น้ำมันงา และปรุงรสให้มีความเค็มนิดหน่อย ทั้งนี้ ยังได้มีการดัดแปลงเป็นไส้อื่น ๆ เช่น ไก่ กุ้ง ผัก เห็ด เป็นต้น

ส่วนผสม แผ่นแป้งเกี๊ยวซ่า (ประมาณ 35 แผ่น)

  1. แป้งสาลีอเนกประสงค์ 240 กรัม

  2. น้ำอุ่น 100-150 มิลลิลิตร

  3. เกลือ 1/2 ช้อนชา

  4. น้ำมันงา 1 ช้อนชา

ส่วนผสม ไส้เกี๊ยวซ่า

  1. หมูสับติดมัน 300 กรัม

  2. น้ำมันหอย 1 ช้อนโต๊ะ

  3. น้ำมันงา 1 ช้อนโต๊ะ

  4. ซีอิ๊วขาว 2 ช้อนโต๊ะ

  5. น้ำตาลทราย 1 ช้อนโต๊ะ

  6. เกลือ 1/2 ช้อนชา

  7. กระเทียมซอย

  8. กระเทียมขูด

  9. ขิงขูด

  10. ใบกุยช่ายซอย

  11. หอมใหญ่ซอย

  12. กะหล่ำปลีซอย

  13. แป้งมันสำปะหลัง 1 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำเกี๊ยวซ่า

  1. ทำแป้ง โดยใส่เกลือ น้ำมันงา และน้ำอุ่น ผสมกับแป้ง แนะนำว่าให้เริ่มใส่น้ำที่ 100 มิลลิลิตรก่อน แล้วถ้าแห้งไปให้ค่อย ๆ เติม จากนั้นนวดให้ทุกอย่างเข้ากัน

  2. นวดต่อประมาณ 10 นาที จนแป้งเนียนนุ่ม พักแป้งไว้ประมาณ 2 ชั่วโมง

  3. ทำไส้ โดยใส่ทุกอย่างลงไปในหมูสับแล้วผสมให้เข้ากัน

  4. เมื่อพักแป้งเสร็จแล้วให้แบ่งแป้งเป็น 2 ส่วน แล้วนวดให้เป็นเส้นยาว ๆ จากนั้นตัดเป็นท่อน ท่อนละเท่า ๆ กัน

  5. ปั้นแป้งให้เป็นลูกกลม ๆ แล้วรีดให้เป็นแผ่น ความหนาของแผ่นแป้งประมาณ 1-2 มิลลิเมตร เส้นผ่าศูนย์กลางของแผ่นแป้งประมาณ 3-3.5 นิ้ว จากนั้นใช้ที่ตัดคุกกี้หรือชามที่มีขนาดพอดีมาทำเป็นแม่พิมพ์ 

  6. ทาน้ำตามขอบแป้ง ใส่ไส้เกี๊ยวซ่าที่เตรียมไว้แล้วห่อให้มิดชิด 

  7. ถ้าชอบเกี๊ยวซ่าแบบนิ่มให้ใส่น้ำมันประมาณ 1 ช้อนชาลงไปในกระทะ แล้วเรียงเกี๊ยวให้เรียบร้อย จากนั้นใส่น้ำให้ท่วมประมาณครึ่งหนึ่งของเกี๊ยวซ่า หาฝามาปิดแล้วต้มไปเรื่อย ๆ จนกว่าน้ำจะแห้งหมด เมื่อน้ำแห้งแล้วให้เร่งไฟแรงให้หน้าเกี๊ยวเกรียม ๆ สำหรับแผ่นแป้งที่เหลือ เวลาตัดแผ่นเกี๊ยวเสร็จแล้วอย่าทิ้ง สามารถนำมานวดให้เนียนใหม่แล้วทำเป็นแผ่นแป้งต่อไปได้ เวลานวดก็ใส่น้ำให้ความชื้นเข้าไปนิดหนึ่ง 
     

ดูวิธีทำ เกี๊ยวซ่า เพิ่มเติมคลิก

5. เส้นพาสต้า

เมนูจากแป้ง

ภาพจาก kanokwanbachmann.com

           สายอาหารฝรั่งอยากให้ลองทำเส้นพาสต้า สูตรจาก kanokwanbachmann.com โดยเชื่อว่าต้นกำเนิดเส้นพาสต้ามาจากประเทศอิตาลี สูตรนี้เส้นพาสต้ามีการเติมสีสันให้ดูน่ากินยิ่งขึ้น ทำจากแป้งสาลี ไข่ไก่ เกลือ และน้ำมันมะกอก นวดให้เข้ากันแล้วตัดเป็นเส้น ต้มจนสุก

ส่วนผสม เส้นพาสต้า

  1. แป้งสาลีอเนกประสงค์ร่อน 2-3/4 ถ้วยตวง หรือ 420 กรัม 

  2. ไข่ไก่ 3 ฟองใหญ่

  3. เกลือ 1 ช้อนชา

  4. น้ำมันมะกอก 1 ช้อนโต๊ะ

  5. น้ำเปล่า 1/4 ถ้วยตวง

  6. สีผสมอาหารตามชอบ หรือจะใช้สีจากธรรมชาติ เช่น แครอต ผักโขม หญ้าฝรั่น อัญชัน บีทรูต

วิธีทำเส้นพาสต้า

  1. ตีไข่และเกลือให้เข้ากัน เทลงไปในแป้งอเนกประสงค์ เติมน้ำมันมะกอก นวดให้เข้ากัน เพิ่มน้ำเปล่าลงไปนวดให้เป็นเนื้อเดียวกัน ถ้ามีเครื่องปั่นใช้เครื่องปั่น หรือเครื่องนวดแป้งได้เลยจะสะดวกกว่า ตัดแบ่งเป็นก้อนเล็ก ๆ เพื่อให้ง่ายเมื่อต้องใช้ไม้นวดแป้ง

  2. นำแป้งก้อนเล็ก ๆ มาผสมกับสีที่เตรียมไว้ ห่อด้วยผ้าหรือพลาสติก นำไปแช่ตู้เย็นนาน 30 นาที นำแป้งมานวดกับไม้นวดแป้งให้เป็นแผ่นบาง ๆ ม้วนหรือพับแผ่นแป้งแล้วใช้มีดตัดเป็นเส้นเล็กหรือเส้นใหญ่ตามชอบเลย

  3. ต้มน้ำให้เดือดจัด ใส่เกลือเล็กน้อย ใส่เส้นพาสต้าลงไป ต้มนาน 3-4 นาที หรือชิมก่อนจะเทน้ำทิ้งว่าสุกหรือยัง หลังจากนั้นเอาไปทำอาหารได้เลย
     

ดูวิธีทำ เส้นพาสต้า เพิ่มเติมคลิก

6. โตเกียว

เมนูจากแป้ง

ภาพจาก ครัวป้ามารายห์

          เพราะอยากอร่อยย้อนวัยเลยต้องลองทำเมนูโตเกียว สูตรจาก ครัวป้ามารายห์ เชื่อว่า ขนมโตเกียวถือกำเนิดในไทย ช่วงปี พ.ศ. 2510 ที่ห้างไดมารู เนื่องจากมีคนขายโตเกียวที่นี่ โดยดัดแปลงมาจากขนมโดรายากิของญี่ปุ่น สูตรนี้ทำง่ายด้วยกระทะ ส่วนผสมใช้แป้งสาลีผสมกับนมสดและผงฟู บางสูตรใส่น้ำผึ้งแทนน้ำตาล และใส่เนยเพิ่มความหอม ตัวช่วยเพิ่มความกรอบคือน้ำปูนใส สำหรับไส้มีทั้งไส้คาวและไส้หวาน เช่น ไส้กรอกผสมหมูสับเหยาะซอส หรือไส้หวานอย่างคัสตาร์ด ใบเตย เป็นต้น

ส่วนผสม แป้งโตเกียว

  1. แป้งสาลีอเนกประสงค์ 65 กรัม

  2. นมสด 50 กรัม

  3. ผงฟู 1/4 ช้อนชา

  4. เบกกิ้งโซดา 1/4 ช้อนชา

  5. น้ำตาลทราย 45 กรัม

  6. น้ำปูนใส 2 ช้อนโต๊ะ

  7. เกลือ 1/8 ช้อนชา

  8. ไข่ไก่ 1 ฟอง

ส่วนผสม โตเกียวไส้เค็ม

  1. ไข่

  2. ไส้กรอก

  3. พริกไทยป่น

  4. ซอสปรุงรส

วิธีทำแป้งโตเกียว

  1. ร่อนแป้งอเนกประสงค์ ผงฟู เบกกิ้งโซดา และเกลือป่น เข้าด้วยกัน เตรียมไว้

  2. ผสมนมกับน้ำปูนใสเข้าด้วยกัน เตรียมไว้

  3. ตีไข่กับน้ำตาลทรายจนน้ำตาลทรายละลาย จากนั้นใส่ส่วนผสมแป้งที่ร่อนไว้ลงไปสลับกับส่วนผสมของเหลว (นมกับน้ำปูนใส) ตะล่อมคนผสมจนเข้ากัน หลังจากนั้นพักแป้งไว้ประมาณ 30 นาที

  4. อุ่นกระทะจนร้อน ปรับเป็นไฟอ่อน ๆ ตักแป้งโตเกียวลงไปแล้วใช้กระบวยวนเป็นวงกลมขนาดตามชอบเลย

  5. นำแป้งโตเกียวใส่ถุงบีบ หรือใช้ช้อนตัก วาดเป็นเส้น ๆ ลวดลายตามชอบ 

  6. ใส่ไข่ตามลงไปทันที เพราะไข่จะสุกช้า เติมรสชาติด้วยซอสปรุงรสและไส้กรอก พอแป้งสุกแล้วก็ม้วน
     

ดูวิธีทำ โตเกียว เพิ่มเติมคลิก

แป้งมันสำปะหลัง

7. ขนมรวมมิตร

เมนูจากแป้ง

ภาพจาก คุณ sujitrar สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม

           หน้าร้อนต้องลองทำเมนูขนมรวมมิตร สูตรจาก คุณ sujitrar สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม สูตรนี้ใช้แป้งมันผสมสีต่าง ๆ ทำเส้นลอดช่องและครองแครง ใส่สาคูและท็อปปิ้งต่าง ๆ สำหรับน้ำกะทิ บางสูตรใช้กะทิอบควันเทียนเพื่อความหอม ตบท้ายด้วยน้ำแข็งกินแล้วสดชื่น

ส่วนผสม ขนมรวมมิตร

  1. แป้งมันสำปะหลัง 500 กรัม

  2. น้ำเปล่า (1) 250 มิลลิลิตร

  3. สีผสมอาหารตามชอบ

  4. สาคู 150 กรัม

  5. น้ำ สำหรับต้ม

ส่วนผสม น้ำกะทิ

  1. กะทิ 400 มิลลิลิตร

  2. น้ำเปล่า (2) 600 มิลลิลิตร

  3. น้ำตาลทราย 200 กรัม

  4. เกลือ 1/4 ช้อนชา

  5. ท็อปปิ้งตามชอบ

วิธีทำขนมรวมมิตร

  1. ทำแป้งขนม โดยต้มน้ำ (1) ให้เดือด หลังจากนั้นนำน้ำร้อนที่ได้ทยอยเทลงในแป้ง คนให้แป้งจับตัวเป็นก้อน พอเริ่มจับตัวให้นวดจนแป้งเนียน นำแป้งแบ่งเป็นสีตามที่จะใส่ (ตามชอบ) จากที่ทำแบ่งเป็น 4 ส่วน สำหรับ 4 สี  

  2. นำสีหยดลงในถ้วย ผสมน้ำเล็กน้อย (ปริมาณความเข้มของสีตามชอบ) แล้วคนให้เข้ากัน นำสีที่ได้เทใส่ลงในแป้งที่แบ่งไว้แล้วนวดให้เข้ากัน โดยทำทีละสี ทำแบบนี้จนครบตามที่แบ่งแป้งไว้ หลังจากนั้นแบ่งแป้งแต่ละสีออกเป็น 2 ส่วน เพื่อทำครองแครงและลอดช่อง 

  3. ปั้นแป้งที่แบ่งไว้เป็นครองแครง และคลึงแป้งส่วนที่เหลือเป็นแผ่นบาง ๆ ตัดเป็นชิ้นตามยาว ขนาดกว้างประมาณ 2 นิ้ว นำมาซ้อนกัน แล้วตัดเป็นชิ้นยาวขนาดเล็กเพื่อทำลอดช่อง เมื่อทำครองแครงและลอดช่องเสร็จครบทุกสีแล้วหาผ้าคลุมแล้วพักไว้สักครู่

  4. ต้มน้ำให้เดือด (น้ำส่วนนี้ไม่มีในส่วนผสม) เมื่อเดือดแล้วให้ใส่สาคูลงไปต้มให้สุก แล้วพักไว้ในน้ำเย็น 

  5. นำน้ำใส่หม้อแล้วต้มน้ำให้เดือด หลังจากนั้นต้มครองแครงให้สุก แล้วตักขึ้นพักในน้ำเย็น และต้มลอดช่องให้สุก แล้วพักในน้ำเย็นเช่นกัน 

  6. ทำกะทิ โดยนำกะทิ น้ำเปล่า น้ำตาลทราย และเกลือ ใส่ลงหม้อ คนให้เข้ากัน แล้วนำตั้งไฟอ่อนแค่พอเดือดปุด ๆ ที่ขอบหม้อ แล้วปิดไฟ นำขึ้นพักให้เย็น 

  7. ใส่สาคู ครองแครง และลอดช่อง ลงในน้ำกะทิ ตามด้วยท็อปปิ้งต่าง ๆ ที่เตรียมไว้ลงไป ถ้ามีขนุนใส่ลงไปด้วยจะยิ่งหอม ตักเสิร์ฟเลย หรือจะใส่น้ำแข็งก็อร่อยชื่นใจ
     

ดูวิธีทำ ขนมรวมมิตร เพิ่มเติมคลิก

8. ขนมผิง

เมนูจากแป้ง

ภาพจาก คุณ Panda-chan สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม

          อีกหนึ่งสูตรขนมไทยจากแป้งมันสำปะหลังคือ ขนมผิง สูตรจาก คุณ Panda-chan สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม เป็นขนมสไตล์โปรตุเกส ถือกำเนิดมาตั้งแต่สมัยอยุธยาโดยท้าวทองกีบม้า สมัยก่อนเป็นการเอาแป้งมันผสมกับกะทิและน้ำตาล เคี่ยวจนเหนียวแล้วห่อใบไม้และผิงไฟจนสุก แต่ปัจจุบันได้มีการใส่ไข่ กะทิ บางสูตรเอาไปอบควันเทียนเพิ่มความหอม และมีการปั้นเป็นลูกกลมน่ารัก

ส่วนผสม ขนมผิง

  1. แป้งมันสำปะหลัง 250 กรัม

  2. กะทิ 250 กรัม

  3. น้ำตาลโตนด หรือน้ำตาลทรายขาว 100-125 กรัม (ไม่ควรลดต่ำกว่า 100 กรัม เดี๋ยวจะเคี่ยวน้ำเชื่อมไม่ได้)

  4. ไข่แดง 1 ฟอง

  5. เทียนหอม เอาไว้อบควันเทียน (ไม่ใส่ก็ได้ หรือใช้กลิ่นอื่น)

วิธีทำขนมผิง

  1. เริ่มจากคั่วแป้งไล่ความชื้นจะทำให้ขนมกรอบนานขึ้น ใครไม่ค่อยมีเวลาก็สามารถข้ามขั้นตอนนี้ไปได้เลย แป้งที่คั่วจะมีสีน้ำตาลอ่อน หลังจากคั่วเสร็จแล้วก็ให้อบควันเทียนทิ้งไว้ 1 คืน ถ้าใครไม่มีเทียนหอมก็สามารถข้ามขั้นตอนนี้ไปได้เลย ไปใส่กลิ่นอย่างอื่นทีหลัง

  2. ใส่กะทิและน้ำตาลโตนด ใช้ไฟอ่อนเคี่ยวประมาณ 30 นาที ให้กลายเป็นน้ำเชื่อม เมื่อพักไว้ให้เย็นแล้วจะหนืดเป็นยางมะตูม ถ้าใช้น้ำตาลทรายขาวทำน้ำเชื่อมแนะนำให้ใส่ใบเตยลงไปต้มด้วยจะได้หอม หลังจากน้ำเชื่อมเย็นแล้วให้ใส่ไข่แดงลงไป คนให้เข้ากัน

  3. เทน้ำเชื่อมลงในแป้ง ค่อย ๆ แบ่งเทประมาณ 3 รอบ ค่อย ๆ นวดแป้งให้เข้ากับน้ำเชื่อม น้ำเชื่อมจะหนืดมาก ใช้แรงเยอะพอสมควรในการนวดให้เข้ากัน แป้งที่นวดเสร็จแล้วต้องมีเนื้อสัมผัสคล้ายดินน้ำมัน คือไม่แห้งเกินไปจนปั้นไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้เหลวเกินแบบคุกกี้โดว์ เอาเป็นว่าให้มีความรู้สึกว่าปั้นได้ แต่ถ้าออกแรงกดเยอะก็จะเละ ถ้าแป้งเหลวเกินไปอบออกมาแล้วหน้าจะไม่แตก เนื้อข้างในก็จะไม่สุกด้วย

  4. เนื่องจากน้ำเชื่อมที่แต่ละคนได้ออกมาจะมีปริมาณไม่เท่ากัน ฉะนั้นถ้าแห้งเกินให้ใส่น้ำเพิ่ม แนะนำใช้ฟ็อกกี้ที่เอาไว้ฉีดน้ำรีดผ้า ถ้าเหลวไปก็ใส่แป้งเพิ่มเท่านั้นเอง จากนั้นพักแป้งไว้ 2-3 ชั่วโมง พอครบเวลาก็ปั้นเป็นก้อนกลม เอาไปอบที่อุณหภูมิ 170 องศาเซลเซียส ประมาณ 15-20 นาที ใช้ไฟบน-ล่าง ถ้าอยากให้กรอบมากขึ้นแนะนำให้ทิ้งไว้ในเตาอบหลังอบเสร็จสักพัก
     

ดูวิธีทำ ขนมผิง เพิ่มเติมคลิก

9. ขนมไข่นกกระทา

เมนูจากแป้ง

ภาพจาก ครัวป้ามารายห์

            ใครกำลังมองหาขนมกรอบ ๆ เคี้ยวเพลิน อยากให้ลองทำขนมไข่นกกระทา สูตรจาก ครัวป้ามารายห์ เป็นขนมไทยโบราณตั้งแต่สุโขทัย สูตรนี้จะใช้แป้งมันผสมกับแป้งสาลีเพื่อความกรอบ ใส่มันเทศ มันส้ม มันม่วง แล้วแต่ว่าจะอยากได้สีอะไร ใส่น้ำปูนใสเพื่อให้แป้งเกาะตัว เติมเกลือกับน้ำตาล บางสูตรเพิ่มกะทิลงไปด้วย สุดท้ายปั้นเป็นก้อนกลมเอาไปทอดจนสุก และทุกวันนี้มีการสอดไส้ชีสยืด ๆ เพิ่มมูลค่าด้วย

ส่วนผสม ขนมไข่นกกระทา

  1. แป้งมันสำปะหลัง 100 กรัม

  2. แป้งสาลีอเนกประสงค์ 25 กรัม (ถ้าชอบแบบเหนียวนุ่มก็สามารถใช้แป้งข้าวโพดแทนได้)

  3. ผงฟู 1 ช้อนชา

  4. น้ำตาลทราย 100 กรัม

  5. เกลือ 1/2+1/4 ช้อนชา

  6. มันเทศนึ่งบดละเอียด 350 กรัม

  7. น้ำปูนใสประมาณ 4-5 ช้อนโต๊ะ (ค่อย ๆ ใส่แล้วนวดจนแป้งไม่ร่วนและปั้นเป็นลูกได้)

วิธีทำขนมไข่นกกระทา

  1. ร่อนแป้งมันสำปะหลัง แป้งสาลีอเนกประสงค์ และผงฟู หลังจากนั้นใส่น้ำตาลทรายและเกลือลงไป คนให้ส่วนผสมเข้ากัน

  2. นำแป้งที่ผสมแล้วใส่ลงไปในมันเทศที่นึ่งบดแล้ว แบ่งแป้งใส่สัก 3 รอบ นวดขยำจนเข้ากัน หลังจากนั้นค่อย ๆ ใส่น้ำปูนใสลงไปทีละ 1 ช้อนโต๊ะ แล้วนวดจนแป้งเนียนไม่ร่วน สามารถปั้นเป็นก้อนได้ เสร็จแล้วปั้นเป็นลูกกลม ๆ

  3. ตั้งน้ำมันให้ร้อน แล้วนำไข่นกกระทาลงไปทอดด้วยไฟอ่อน ๆ คนไปด้วยขนมจะได้ไม่ไหม้ พอทอดจนขนมเริ่มเหลืองฟูขึ้นก็นำตะหลิวกดยีขนม เพื่อให้ขนมฟูขึ้นจากขนาดเดิมประมาณ 1.5-2 เท่า ฟูมากก็กลวงมาก พอพองเหลืองแล้วก็ต้องทอดต่อไปอีกสัก 4-5 นาที เพื่อให้ผิวขนมเซตตัวกรอบดีก่อน ถ้าตักขึ้นมาเร็วก็จะยุบและแฟบ พอสุกพองเหลืองได้ที่แล้วก็ตักมาพักบนตะแกรงให้สะเด็ดน้ำมัน
     

ดูวิธีทำ ขนมไข่นกกระทา เพิ่มเติมคลิก

แป้งข้าวโพด

10. ลูกชิ้นหมู

เมนูจากแป้ง

ภาพจาก คุณนางสาวเซาะกราว สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม

          ลูกชิ้นหมูทำตุนไว้กินเปล่า ๆ หรือทำก๋วยเตี๋ยวก็ดีเยี่ยม ขอแนะนำลูกชิ้นหมู สูตรจาก คุณนางสาวเซาะกราว สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม ตัวลูกชิ้นหมูใส่แป้งข้าวโพดเล็กน้อยเพื่อให้มีความเหนียว ปรุงรสด้วยเกลือ พริกไทย และน้ำตาลทราย ตีจนเหนียวแล้วเอาไปแช่ตู้เย็นจนครบเวลา สุดท้ายเอามาบีบลงน้ำเดือด แค่นี้ก็เตรียมชามมารอตักหม่ำเข้าปากได้เลยจ้า

ส่วนผสม ลูกชิ้นหมู

  1. แป้งข้าวโพด หรือแป้งมันสำปะหลัง 3 ช้อนโต๊ะ

  2. แป้งสาลีอเนกประสงค์ 5 ช้อนโต๊ะ

  3. เกลือป่น 1 ช้อนชาพูน ๆ

  4. พริกไทยป่น 1 ช้อนโต๊ะ

  5. น้ำตาลทราย 1 ช้อนโต๊ะ

  6. ผงชูรส 1 ช้อนชา (ใส่หรือไม่ใส่ก็ได้)

  7. ผงฟู 1 ช้อนโต๊ะ

  8. น้ำเย็นจัด 1+1/2 ถ้วย

  9. เนื้อหมูบดติดมัน 700 กรัม (หรือเนื้อสัตว์อื่นตามชอบ)

  10. น้ำเปล่า

  11. น้ำร้อน

  12. กระเทียมสับละเอียด 1 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำลูกชิ้นหมู

  1. ผสมแป้งข้าวโพด แป้งสาลีอเนกประสงค์ เกลือป่น พริกไทยป่น น้ำตาลทราย ผงชูรส และผงฟู เข้าด้วยกันในอ่างผสม เทน้ำเย็นลงไป คนผสมให้ทุกอย่างเข้ากัน

  2. ใส่เนื้อหมูบดลงไป ตีผสมด้วยเครื่องให้เข้ากันประมาณ 10 นาที จนส่วนผสมเหนียวและเข้ากันดี นำไปแช่ตู้เย็น

  3. ใส่น้ำเปล่าลงในหม้อหรือกระทะ นำขึ้นตั้งไฟจนเดือด บีบส่วนผสมลูกชิ้นเป็นลูกใส่ลงไปในน้ำร้อน วิธีบีบลูกชิ้นให้ใช้มือตักเนื้อมากำไว้หลวม ๆ นิ้วชี้และนิ้วโป้งทำเป็นรูเล็ก ๆ เพื่อให้เนื้อที่บีบลอดออกมา แล้วกำมือให้แน่นขึ้น เนื้อก็จะลอดออกมา พอเนื้อลอดออกมาใช้ช้อนตักใส่ในกระทะเลย ลองบีบดูก่อนก็ได้ อยากได้ลูกขนาดไหนให้บีบและต้มดูก่อนสัก 2-3 ลูก

  4. เมื่อลูกชิ้นสุกก็จะลอยขึ้น จากนั้นตักขึ้นแช่ไว้ในน้ำเย็นจัดทันที พร้อมเสิร์ฟ
     

ดูวิธีทำ ลูกชิ้นหมู เพิ่มเติมคลิก

11. ลูกชิ้นหมูเด้ง

เมนูจากแป้ง

ภาพจาก คุณ tukata001 สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม

          มาต่อกันที่อีกวิธีทำลูกชิ้นหมูเด้ง สูตรจาก คุณ tukata001 สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม ใช้เนื้อหมูสับไม่ติดมัน เติมแป้งข้าวโพดเล็กน้อยเพิ่มความเหนียว และใส่ผงแอคคอร์ดเพื่อให้ตัวลูกชิ้นเกาะกัน ปรุงรสด้วยซีอิ๊วขาว น้ำตาลทราย พริกไทย และเกลือ สุดท้ายเอามาบีบลงน้ำต้มเดือดรอจนสุกลอยขึ้นมา

ส่วนผสม ลูกชิ้นหมูเด้ง

  1. เนื้อหมู (ไม่เอามัน) 1,000 กรัม

  2. น้ำเย็น 1/2 ถ้วย

  3. น้ำตาลทราย 2 ช้อนโต๊ะ

  4. ซีอิ๊วขาว 3 ช้อนโต๊ะ

  5. แป้งข้าวโพด 1 ช้อนโต๊ะ

  6. ผงแอคคอร์ด 1 ช้อนโต๊ะ (เป็นสารช่วยให้เนื้อสัตว์เกาะตัวกันได้ดี ไม่เสียน้ำหนัก)

  7. พริกไทย 1 ช้อนโต๊ะ

  8. เกลือ 1 ช้อนโต๊ะ

  9. ผงฟู 1/2 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำลูกชิ้นหมูเด้ง

  1. หั่นเนื้อหมูเป็นชิ้นเล็ก ๆ แล้วนำไปแช่ช่องแข็ง ประมาณ 45 นาที หรือจนกว่าจะเริ่มแข็งนิด ๆ มีน้ำแข็งเกาะนิดหน่อย

  2. นำออกมาใส่โถปั่น ปั่นครั้งที่ 1 จนเนื้อละเอียด พอปั่นเสร็จเอาไปแช่ช่องแข็งต่อ ประมาณ 15 นาที จนเย็นจัด

  3. ทำน้ำปรุงรสลูกชิ้น โดยผสมน้ำเย็นจัดกับซีอิ๊วขาว ใส่น้ำตาลทราย เกลือ แป้งข้าวโพด ผงฟู ผงแอคคอร์ด (สารนี้ทำให้เนื้อสัตว์เกาะตัวกันดี ทำให้เนื้อลูกชิ้นแน่นไม่เละ ไม่มีอันตรายใด ๆ) และพริกไทยป่น คนให้เข้ากัน

  4. นำเนื้อหมูที่บดแล้วแช่เย็นจัดใส่โถปั่น ใส่เครื่องปรุงที่ผสมไว้ลงไปนวดให้เข้ากัน (ถ้านวดมือก็นวดนาน ๆ ฟาดกับกะละมังเหมือนทำทอดมัน) นวดจนเนื้อลูกชิ้นเนียนเหนียวจนพอใจ ตักส่วนผสมเล็กน้อยใส่ชามแล้วนำไปเข้าไมโครเวฟจนสุก เพื่อชิมรสก่อน) ใช้เวลาปั่นประมาณ 15 นาที จากนั้นเอาโถไปใส่ในช่องแข็งประมาณ 45 นาที

  5. ปั้นลูกชิ้น โดยตักส่วนผสมทีละนิดมาปั้น (หากะละมังใส่น้ำแข็งรองก้นระหว่างการปั้น เพื่อให้เนื้อลูกชิ้นได้รับความเย็นจัดอยู่ตลอดระหว่างการปั้น)

  6. ตั้งน้ำให้ร้อน แต่ไม่ต้องเดือด ตักส่วนผสมมาใส่มือ เอานิ้วโป้งและนิ้วชี้คอยบังคับ บีบ ๆ ให้เนื้อลูกชิ้นปลิ้นออกมาระหว่างนิ้วชี้กับนิ้วโป้ง เอาช้อนที่จุ่มน้ำมาปาดลูกชิ้นใส่หม้อน้ำต้ม ต้มทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที โดยไม่ต้องเพิ่มไฟ ให้น้ำนิ่ง ๆ เพื่อด้านในของลูกชิ้นจะได้สุกทั่วถึง ระหว่างนี้ก็ไปเตรียมน้ำแข็งใส่น้ำให้เย็นจัดรอไว้ก่อนค่ะ ต้มไป 15 นาที

  7. พอครบเวลา 15 นาทีแล้วเราจะตักขึ้นใส่ในน้ำเย็นจัดทันที เพื่อหยุดความร้อนแล้วทิ้งไว้ก่อน ประมาณ 3-5 นาที ให้อยู่ในน้ำเย็น จากนั้นเราตักขึ้นจากน้ำเย็นใส่กระชอน พักให้สะเด็ดน้ำ พร้อมเสิร์ฟ
     

ดูวิธีทำ ลูกชิ้นหมูเด้ง เพิ่มเติมคลิก

12. ข้าวเหนียวเปียกลำไย

เมนูจากแป้ง

          เอาใจสายหวานกับเมนูข้าวเหนียวเปียกลำไย สูตรนี้ตัวข้าวเหนียวเปียกใส่ลำไยสดและมะพร้าวอ่อน เพิ่มความหอมจากใบเตย สำหรับกะทิราดใส่แป้งข้าวโพดและเกลือ พอเอากะทิผสมกับข้าวเหนียวเปียกจะกินอร่อยไม่เลี่ยนเลยจ้า

ส่วนผสม ข้าวเหนียวเปียก

  1. ข้าวเหนียว 250 กรัม

  2. สารส้มโขลก

  3. ลำไย 500-750 กรัม (คว้านเม็ดออก)

  4. น้ำตาลทราย 350 กรัม

  5. มะพร้าวอ่อน 1 ลูก (แยกน้ำและเนื้อเตรียมไว้)

  6. น้ำลอยดอกมะลิ

  7. เกลือป่นนิดหน่อย 

  8. ใบเตย

ส่วนผสม กะทิสำหรับราด

  1. หัวกะทิ 1 ถ้วย

  2. แป้งข้าวโพด 1/4 ช้อนโต๊ะ

  3. เกลือป่นนิดหน่อย

วิธีทำข้าวเหนียวเปียกลำไย

  1. ล้างข้าวเหนียวในน้ำที่ผสมสารส้มไว้ ใช้มือซาวข้าวเหนียวไปมาจนน้ำขุ่น เทน้ำออก แล้วล้างข้าวเหนียวด้วยน้ำเปล่าอีก 2 รอบ สะเด็ดน้ำ เตรียมไว้

  2. ใส่น้ำมะพร้าวอ่อนลงไปในหม้อ ตามด้วยน้ำลอยดอกมะลิ นำขึ้นตั้งไฟกลางพอเดือด เทข้าวเหนียวลงไป ตามด้วยใบเตย คนไปเรื่อย พอข้าวเหนียวเริ่มอืดให้ลดเหลือไฟอ่อน ถ้าน้ำแห้ง เติมน้ำลอยดอกมะลิหรือน้ำสะอาดลงไป พอสุกดีใส่น้ำตาลทรายกับเกลือลงไป คนผสมจนเข้ากัน ชิมรสตามชอบ

  3. ใส่มะพร้าวอ่อนกับลำไยลงไป พอเดือดอีกครั้งปิดไฟ

  4. ทำน้ำกะทิ โดยเอาหัวกะทิใส่หม้อใบเล็ก เติมแป้งลงไป เกลือนิดหน่อย คนให้เข้ากันจนแป้งละลาย เอาไปตั้งไฟกลางค่อนมาทางอ่อน คนไปเรื่อย ๆ จนเดือด ตักข้าวเหนียวเปียกลำไยใส่ถ้วย ราดกะทิลงไป
     

ดูวิธีทำ ข้าวเหนียวเปียกลำไย เพิ่มเติมคลิก

13. สังขยาใบเตย

เมนูจากแป้ง

ภาพจาก คุณ Panda-chan สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม

          เตรียมขนมปังมารอจิ้มสังขยาใบเตย สูตรจาก คุณ Panda-chan สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม สูตรนี้หวานน้อย ถ้าชอบหวานเติมน้ำตาลเพิ่มได้ สูตรนี้มีสีเขียวสวยจากน้ำใบเตยผสมกับกะทิ เอาไปกวนกับไข่แดง นมข้นหวาน นมข้นจืด และเกลือ เติมแป้งข้าวโพดเพื่อเพิ่มความเหนียวข้น เสร็จแล้วเอามากวนต่อในกะละมังน้ำแข็งจนเย็น

ส่วนผสม สังขยาใบเตย

  1. ใบเตย 4-5 ใบ (ถ้าไม่ใส่สีผสมอาหารและต้องการให้สังขยามีสีสวย ควรใส่สัก 8-10 ใบ)

  2. กะทิกล่อง 250 มิลลิลิตร (ถ้าใช้หัวกะทิสดทำจะหอมกว่าเยอะ)

  3. ไข่แดง 2 ฟอง

  4. น้ำตาลทราย 1+1/2 ช้อนโต๊ะ (สูตรหวานน้อย สามารถใส่เพิ่มได้)

  5. แป้งข้าวโพด 1 ช้อนโต๊ะ

  6. สีผสมอาหารสีเขียว 1/2 ช้อนชา

  7. นมข้นหวาน 2 ช้อนโต๊ะ

  8. นมข้นจืด 3 ช้อนโต๊ะ

  9. เกลือ 1-2 กรัม หรือ 1/8 ช้อนชา

วิธีทำสังขยาใบเตย

  1. ลวกใบเตยด้วยน้ำร้อน ใบเตยที่ลวกแล้วจะมีกลิ่นหอมขึ้นและไม่เหม็นเขียว

  2. นำใบเตยไปปั่นกับกะทิ กรองด้วยผ้าขาวบาง และนำไปต้มด้วยไฟอ่อนให้พออุ่น เวลากะทิได้ที่ให้สังเกตว่าจะมีฟองปุดเล็ก ๆ อยู่รอบหม้อ ระวังอย่าให้กะทิเดือดแตกมัน

  3. ตีไข่แดงและน้ำตาลทรายให้เข้ากัน จากนั้นให้ใส่แป้งข้าวโพดลงไป ควรร่อนแป้งข้าวโพด ถ้าแป้งข้าวโพดเป็นก้อนแล้วแก้ยาก เทกะทิลงไป 1 ใน 3 ส่วนก่อน เพื่อให้อุณหภูมิของไข่สูงขึ้น เวลาเทก็คนไปด้วย คนไปเรื่อย ๆ เมนูนี้คนอย่างเดียว เมื่อคนจนเข้ากันแล้วให้เทกะทิที่เหลือลงไปผสมให้เข้ากัน

  4. ใส่เกลือ นมข้นหวาน นมข้นจืด และสีผสมอาหาร แล้วคนให้เข้ากัน จากนั้นนำไปตั้งไฟอ่อนเพื่อกวนสังขยา คนไปเรื่อย ๆ ประมาณ 10-15 นาที สังขยาก็จะได้ที่แล้ว ข้อควรระวังคือ ถ้าหม้อร้อนเกินไปก็จะทำให้สังขยาเป็นก้อนได้ ในสูตรกวนได้สัก 2 นาทีก็ยกหม้อออก เพื่อกันไม่ให้สังขยาเดือด แล้วกวนต่อด้วยความร้อนที่เหลือประมาณ 1 นาที แล้วยกหม้อไปตั้งเตากวนต่อ ทำแบบนี้วนไป

  5. เมื่อสังขยาได้ที่แล้วให้นำหม้อมากวนต่อในชามน้ำแข็ง เพื่อป้องกันไม่ให้สังขยาสุกต่อจากความร้อนที่เหลือ เทใส่ตะแกรง 1 รอบ เพื่อกรองไม่ให้มีก้อนสังขยา แค่นี้ก็เสร็จพร้อมเสิร์ฟแล้ว
     

ดูวิธีทำ สังขยาใบเตย เพิ่มเติมคลิก

แป้งข้าวเหนียว

14. แป้งขนมเทียน

เมนูจากแป้ง

           ใครมีแป้งข้าวเหนียวเหลือ ๆ จับมาทำแป้งขนมเทียน เหมาะทั้งทำไหว้ช่วงเทศกาลและทำขาย ส่วนผสมจะใช้แป้งข้าวเหนียวขาวหรือแป้งข้าวเหนียวดำก็ได้ นวดผสมกับน้ำเปล่าและปรุงรสหวานจากน้ำตาลปี๊บ บางสูตรใช้กะทิแทนน้ำเปล่า สำหรับไส้มีทั้งไส้เค็มถั่วพริกไทยและไส้หวานมะพร้าวขูดฝอย
แป้งขนมเทียน (สูตรง่าย)

ส่วนผสม แป้งขนมเทียน

  1. แป้งข้าวเหนียว หรือแป้งข้าวเหนียวดำ 500 กรัม

  2. น้ำตาลปี๊บ 200-300 กรัม

  3. น้ำเปล่า 350 มิลลิลิตร

วิธีทำขนมเทียน

  1. นวดผสมน้ำตาลปี๊บกับแป้งข้าวเหนียว ค่อย ๆ เทน้ำลงไปทีละนิดแล้วนวดจนส่วนผสมเข้ากันดี (ระวังไม่เหลวและไม่หนืดจนเกินไป) พักแป้งไว้ประมาณ 1 ชั่วโมง
ขนมเทียน (สูตรหญ้าชิวคัก)

ส่วนผสม แป้งขนมเทียนผสมหญ้าชิวคัก

  1. แป้งข้าวเหนียว 500 กรัม

  2. น้ำตาลปี๊บ 200-300 กรัม (ปรับความหวานได้ตามชอบ)

  3. น้ำเปล่า 350 มิลลิลิตร 

  4. หญ้าชิวคัก 30 กรัม

วิธีทำแป้งขนมเทียนผสมหญ้าชิวคัก

  1. ล้างหญ้าชิวคักให้สะอาด จากนั้นนำไปแช่น้ำประมาณ 30 นาที จนหญ้านิ่ม ล้างอีกครั้งแล้วบีบให้แห้ง นำไปปั่นจนละเอียด เตรียมไว้

  2. ใส่หญ้าสับลงในแป้งข้าวเหนียว ใส่น้ำตาลปี๊บลงไป ค่อย ๆ เทน้ำลงไปทีละนิดแล้วนวดจนส่วนผสมเข้ากันดี (ระวังไม่เหลวและไม่หนืดจนเกินไป) พักแป้งไว้ประมาณ 1 ชั่วโมง

วิธีทำขนมเทียน

  1. เตรียมใบตองสำหรับห่อขนม ล้างน้ำให้สะอาด

  2. จับใบตองให้เป็นทรงกรวย ใส่ไส้ที่ปั้นไว้ลงไป ตักส่วนผสมแป้งใส่ จากนั้นห่อให้สวยงาม เรียงลงในชุดนึ่ง

  3. นำขนมไปนึ่งด้วยไฟแรงที่มีน้ำเดือดพล่าน นึ่งนานประมาณ 30 นาที หรือจนขนมสุก ปิดไฟ นำออกจากชุดนึ่ง

ไส้ขนมเทียน (ไส้เค็ม)

ส่วนผสม ไส้ขนมเทียน

  1. ถั่วเขียวซีกเราะเปลือก 1 กิโลกรัม

  2. กระเทียม

  3. พริกไทย

  4. น้ำมันพืช สำหรับผัด

  5. เกลือป่น สำหรับปรุงรส

  6. น้ำตาลทราย สำหรับปรุงรส

วิธีทำขนมเทียนไส้เค็ม

  1. ล้างถั่วเขียวซีกเราะเปลือกให้สะอาด แช่ทิ้งไว้อย่างน้อย 2 ชั่วโมง หรือข้ามคืน จากนั้นนำไปนึ่งจนสุก พักทิ้งไว้จนเย็นสนิท

  2. โขลกกระเทียมกับพริกไทยเข้าด้วยกันจนละเอียด ใส่ถั่วเขียวนึ่งลงโขลกพอหยาบ

  3. ใส่น้ำมันพืชลงในกระทะ ใส่ส่วนผสมไส้ลงผัดจนหอม ปรุงรสด้วยเกลือป่นและน้ำตาลทราย ชิมรสตามชอบ ให้มีรสหวาน เค็ม เผ็ด ปิดไฟ ยกลงจากเตา พักทิ้งไว้จนเย็น ปั้นเป็นก้อนกลม เตรียมไว้
     

ดูวิธีทำ แป้งขนมเทียน เพิ่มเติมคลิก

15. ขนมโคกะทิสด

เมนูจากแป้ง

ภาพจาก คุณ sujitrar สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม

          เมนูจากแป้งข้าวเหนียวเหลือ ๆ จับมาทำขนมโคกะทิสด สูตรจาก คุณ sujitrar สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม อีกสูตรขนมไทยหากินยาก จุดเด่นคือ แป้งข้าวเหนียวนุ่ม ๆ บางสูตรแป้งก็ใส่น้ำสมุนไพรเพิ่มสีสัน ถ้าตามตำรับเดิมจะห่อไส้กระฉีก แต่สูตรนี้ประยุกต์ห่อไส้มันม่วงปรุงรสหวาน

ส่วนผสม ไส้มันม่วง

  1. มันม่วงนึ่งสุก 320 กรัม

  2. กะทิ 150 กรัม

  3. น้ำตาลทราย 100 กรัม

ส่วนผสม ขนมโค

  1. แป้งข้าวเหนียว 150 กรัม (สำหรับทำแป้ง 2 สี)

  2. น้ำดอกอัญชัน 90 มิลลิลิตร

  3. น้ำเปล่า 90 มิลลิลิตร

ส่วนผสม กะทิสด

  1. กะทิ 350 กรัม

  2. เกลือ 1/4 ช้อนชา

  3. น้ำตาลทราย 80 กรัม

  4. งาขาว หรืองาดำคั่ว

วิธีทำขนมโคกะทิสดไส้มันม่วง

  1. ทำไส้มันม่วง โดยนำมันม่วงมาปอกเปลือก หั่นเป็นชิ้นแล้วนำไปนึ่งจนสุก หลังจากสุกนำมาบดให้ละเอียด

  2. เติมน้ำตาลทรายและกะทิลงไป คนให้เข้ากัน เทใส่กระทะ กวนให้แห้ง พักให้เย็น แล้วปั้นเป็นก้อนกลม และคั่วงาให้หอม

  3. ทำแป้งขนม โดยแบ่งแป้งเป็น 2 ส่วน ส่วนแรกผสมแป้งและน้ำอัญชัน นวดให้แป้งนิ่มพร้อมปั้นก้อน อีกส่วนหนึ่งผสมแป้งและน้ำเปล่า นวดให้แป้งนิ่มพร้อมปั้นก้อน

  4. ปั้นแป้งเป็นก้อนแล้วกดให้แบน ใส่ไส้มันม่วงแล้วห่อไม่ให้แป้งแตกเห็นไส้ เตรียมไว้

  5. ทำกะทิสด โดยต้มน้ำกะทิ ใส่น้ำตาลทรายกับเกลือลงไป ต้มด้วยไฟอ่อนจนน้ำตาลละลายแล้วปิดไฟ 

  6. ต้มขนม โดยนำน้ำเปล่าใส่หม้อต้มจนเดือด แล้วใส่แป้งที่ปั้นไว้ต้มให้สุก สังเกตว่าถ้าแป้งลอยแสดงว่าสุกแล้ว ให้ตักใส่หม้อกะทิ ตักเสิร์ฟ โรยงา
     

ดูวิธีทำ ขนมโคกะทิสด เพิ่มเติมคลิก

16. บัวลอยไข่หวาน

เมนูจากแป้ง

            บัวลอยไข่หวานเป็นอีกสูตรขนมไทยจากแป้งข้าวเหนียวยอดนิยมและทำง่าย สูตรนี้มีทั้งแป้งผสมเผือก แป้งผสมฟักทอง และแป้งผสมน้ำใบเตย หรือจะใช้แป้งสีขาวเพียว ๆ ไม่ผสมเลยก็ได้ ใส่น้ำกะทิใบเตยหอมมันและไข่หวานยิ่งอร่อย ถ้าใครได้ลองต้องมีเบิ้ลแน่นอนจ้า

ส่วนผสม บัวลอยไข่หวาน

  1. แป้งข้าวเหนียว 1 ถ้วย

  2. น้ำ 1/4 ถ้วย

  3. เผือกนึ่งสุก (หรือสีผสมอาหารสีม่วง)

  4. ฟักทองนึ่งสุก (หรือสีผสมอาหารสีเหลือง)

  5. น้ำใบเตยคั้นเข้มข้น (หรือสีผสมอาหารสีเขียว)

  6. น้ำกะทิ 1 ถ้วย

  7. น้ำตาลทราย 1 ถ้วย

  8. เกลือป่น 1 ช้อนชา

  9. ไข่ไก่

วิธีทำบัวลอยไข่หวาน

  1. แบ่งแป้งออกเป็น 3 ส่วน ดังนี้

          ส่วนที่ 1 นวดผสมแป้งกับน้ำและเผือกนึ่งสุก

          ส่วนที่ 2 นวดแป้งกับน้ำและฟักทองนึ่งสุก

          ส่วนที่ 3 นวดแป้งกับน้ำใบเตย นวดผสมจนเข้ากันเป็นเนื้อเดียว ปั้นเป็นก้อนกลม ๆ แล้วนำไปคลุกแป้งข้าวเหนียวบาง ๆ เตรียมไว้

  1. ใส่น้ำกะทิลงในหม้อ เติมน้ำตาลทรายและเกลือป่น คนผสมจนละลาย นำขึ้นตั้งไฟ พอเดือดรีบปิดไฟ ตักใส่ถ้วยเตรียมไว้

  2. ต้มน้ำในหม้อจนเดือด นำบัวลอยลงต้มทีละสีจนลอยขึ้นมา จากนั้นตักขึ้นสะเด็ดน้ำ ใส่ลงในถ้วย ตักกะทิที่เตรียมไว้ใส่ลงไป

  3. ตอกไข่ไก่ใส่ถ้วย ค่อย ๆ เทลงในหม้อน้ำกะทิ รอจนไข่สุกตามชอบ จากนั้นตักขึ้นใส่ในถ้วยบัวลอย พร้อมเสิร์ฟ
     

ดูวิธีทำ บัวลอยไข่หวาน เพิ่มเติมคลิก

17. ต๊อกโบกี

เมนูจากแป้ง

ภาพจาก คุณ Liewchem42 สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม

           ติ่งเกาหลีน่าจะชอบเมนูต๊อกโบกี สูตรจาก คุณ Liewchem42 สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม ตัวแป้งใส่แป้งข้าวเหนียวและแป้งข้าวเจ้าเพื่อความเหนียวนุ่ม พอตัดเป็นแท่งเรียบร้อยก็เอาไปผัดกับซอสเกาหลีและใส่เครื่องเคราต่าง ๆ เคี้ยวแป้งเด้งนุ่มกับสารพัดผัก กินตอนร้อนยิ่งอร่อยเหาะไปเลยจ้า

ส่วนผสม แป้งต๊อกโบกี

  1. แป้งข้าวเหนียว 

  2. แป้งข้าวเจ้า

  3. น้ำเปล่า

วิธีทำแป้งต๊อกโบกี

  1. อัตราส่วนของแป้งข้าวเหนียวกับแป้งข้าวเจ้าใช้ 2:1 ส่วน เพราะถ้าใส่แป้งข้าวเจ้ามากเกินไปเวลานึ่งออกมาตัวแป้งจะแข็ง ผิวแป้งต๊อกก็จะไม่เนียน หรือถ้าไม่มีแป้งข้าวเจ้าใช้แป้งข้าวเหนียวอย่างเดียวก็ได้ แต่เวลาที่ใช้นึ่งจะทำพอแค่แป้งสุกครึ่งหนึ่งเท่านั้น ถ้าสุกเกินไปแป้งจะเหนียวเกินไป คลึงไม่ได้ ทิ้งอย่างเดียว

  2. นึ่งจนแป้งพอใส จับออกมานวดคลึงแล้วตัดเป็นแท่ง ถ้ายังไม่ทำกินเลยใส่ถุงพลาสติกแช่ตู้เย็น

ส่วนผสม ต๊อกโบกี

  1. น้ำเปล่า

  2. ปลาแห้ง (ใส่หรือไม่ใส่ก็ได้)

  3. สาหร่าย (ใส่หรือไม่ใส่ก็ได้)

  4. ซอสถั่วเหลือง

  5. แป้งต๊อกโบกี

  6. โคชูจัง 2 ช้อนโต๊ะ

  7. พริกป่นละเอียด 1/2 ช้อนชา (พริกป่นเกาหลี หรือพริกป่นไทยก็ได้)

  8. น้ำตาลทราย 2 ช้อนชา

  9. ไข่ต้ม (ใส่หรือไม่ใส่ก็ได้)

  10. หมูยอเห็ดหอม หรือปลาแผ่น

  11. หอมหัวใหญ่หั่นแว่น

  12. กะหล่ำปลีซอย

  13. แครอต 

  14. ต้นหอมซอย

วิธีทำต๊อกโบกี

  1. ต้มน้ำเปล่า (ใส่ปลาแห้ง หรือสาหร่ายด้วยก็ได้) 

  2. เติมซอสถั่วเหลือง ใส่แป้งต๊อกที่เตรียมไว้ลงไป แล้วเติมซอสโคชูจังผสม (โคชูจัง 2 ช้อนโต๊ะ, น้ำตาลทราย 2 ช้อนชา, พริกป่น 1/2 ช้อนชา ชอบเผ็ดมากเติมได้ ผสมซอสให้เข้ากัน) 

  3. ใส่ผักทั้งหลายที่เตรียมไว้ ได้แก่ หอมหัวใหญ่ กะหล่ำปลี และแครอต ตามด้วยหมูยอ ไข่ต้ม ตั้งทิ้งไว้คนสม่ำเสมอ แป้งจะได้ไม่ติดกระทะ จนต๊อกโบกีข้นพอดีโรยหน้าด้วยต้นหอมซอย 
     

ดูวิธีทำ ต๊อกโบกี เพิ่มเติมคลิก

แป้งข้าวเจ้า

18. ขนมกล้วย

เมนูจากแป้ง

           เนื่องจากขนมกล้วยต้องการความเหนียวนุ่มและความใส จึงต้องใช้แป้งข้าวเจ้าเป็นหลัก พ่วงด้วยแป้งมันอีกเล็กน้อย และใส่เนื้อกล้วยน้ำว้าสุกลงไป ถ้าต้องการเนื้อสัมผัสที่มีกล้วยก็ไม่ต้องบดละเอียดมากนัก ใส่กะทิและมะพร้าวขูดลงไปด้วย เติมความหวานจากน้ำตาลทราย บางสูตรใช้น้ำตาลปี๊บ หรืออาจผสมทั้งน้ำตาลทรายและน้ำตาลปี๊บ พอผสมเสร็จสามารถห่อใบตอง ใส่ถ้วยตะไล หรือหยอดใส่พิมพ์รูปต่าง ๆ ลงไปนึ่งจนสุก

ส่วนผสม ขนมกล้วย

  1. กล้วยน้ำว้าสุก (บดละเอียด) 500 กรัม

  2. น้ำตาลทราย 100 กรัม

  3. เกลือป่น 1 ช้อนชา

  4. แป้งข้าวเจ้า 100 กรัม

  5. แป้งมันสำปะหลัง 5 ช้อนโต๊ะ

  6. หัวกะทิ 200 มิลลิลิตร

  7. มะพร้าวทึนทึกขูดฝอย

อุปกรณ์

  1. ใบตองสำหรับห่อ (ถ้าไม่มีใบตองสามารถใช้ถ้วยตะไลได้)

วิธีทำขนมกล้วย

  1. ผสมกล้วยน้ำว้ากับน้ำตาลทราย เกลือป่น แป้งข้าวเจ้า แป้งมันสำปะหลัง หัวกะทิ และมะพร้าวขูด คนผสมให้เข้ากันดี 

  2. ตักส่วนผสมขนมกล้วยลงบนใบตอง แผ่บาง ๆ หรือจะทำเป็นทรงกรวยห่อเป็นทรงให้สวยงาม (หรือตักใส่ถ้วยตะไล) วางเรียงบนชุดนึ่งที่มีน้ำเดือด นึ่งประมาณ 20 นาที หรือจนขนมสุก จากนั้นนำออกจากชุดนึ่ง พร้อมเสิร์ฟ
     

ดูวิธีทำ ขนมกล้วย เพิ่มเติมคลิก

19. ขนมฟักทอง

เมนูจากแป้ง

ภาพจาก คุณนัทจัง สบายดี สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม

           ใครมีฟักทองเหลือ ๆ จับมาทำขนมฟักทอง สูตรจาก คุณนัทจัง สบายดี สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม อีกสูตรขนมจากแป้งข้าวเจ้าเหลือ ๆ ใส่เพื่อความแข็งอยู่ตัว เพิ่มแป้งมันและแป้งเท้ายายม่อมเพิ่มความหนืดใสกำลังสอง บางสูตรใส่แค่แป้งมัน เติมความหอมมันจากกะทิ และใส่มะพร้าวขูดเพิ่มความหอมและเนื้อสัมผัส เอาไปห่อใบตองหรือภาชนะอื่น ๆ นึ่งได้ตามสะดวกเลยจ้า

ส่วนผสม ขนมฟักทอง

  1. แป้งข้าวเจ้า 50 กรัม

  2. แป้งมันสำปะหลัง 40 กรัม

  3. แป้งเท้ายายม่อม 50 กรัม

  4. หัวกะทิ 200 กรัม

  5. เนื้อฟักทองนึ่งสุก 300 กรัม

  6. น้ำตาลปี๊บ 40 กรัม

  7. น้ำตาลทราย 90 กรัม

  8. เกลือป่น 1 ช้อนชา

  9. มะพร้าวทึนทึกขูด 100 กรัม

วิธีทำขนมฟักทอง

  1. ใส่แป้งข้าวเจ้า แป้งมัน และแป้งเท้ายายม่อม ลงในภาชนะ ใส่กะทิ ประมาณ 60-80 กรัม ลงไปแล้วนวด ประมาณ 15 นาที แป้งต้องนวดเพราะจะทำให้แป้งเหนียวหนึบหนับ

  2. นำกะทิที่เหลือ น้ำตาลปี๊บ น้ำตาลทราย เนื้อฟักทอง และเกลือป่น ใส่ลงในเครื่องปั่นเพื่อให้เนื้อละเอียด เทผสมลงในแป้ง ใช้มือหรือตะกร้อมือคนเพื่อให้ส่วนผสมเข้ากัน ใส่เนื้อมะพร้าวขูดลงไป คนส่วนผสมให้เข้ากันอีกครั้งหนึ่ง 

  3. เมื่อเสร็จแล้วนำไปห่อใบตองหรือใส่ถ้วย และนำไปนึ่งประมาณ 15 นาที ใครชอบมะพร้าวขูดสามารถโรยเพิ่มได้
     

ดูวิธีทำ ขนมฟักทอง เพิ่มเติมคลิก

20. ลอดช่อง

เมนูจากแป้ง

ภาพจาก RinS Cook Book (#Rinscookcook)

           ช่วงบ่ายอากาศร้อนจัดสักถ้วยกันไหมกับลอดช่อง สูตรจาก RinS Cook Book (#Rinscookcook) ตัวลอดช่องทำจากแป้งข้าวเจ้าและแป้งมัน ใส่แป้งถั่วเขียวเพื่อทำให้ลอดช่องมีเนื้อเหนียวนุ่ม ไม่คืนตัวและเป็นน้ำ ใส่สีสันธรรมชาติจากน้ำใบเตย สำหรับน้ำกะทิสูตรนี้ใส่น้ำตาลปี๊บ บางสูตรใส่น้ำตาลทราย ตัดเลี่ยนจากเกลือป่น เสิร์ฟเย็น ๆ ใส่น้ำแข็งรับรองชื่นใจ

ส่วนผสม ลอดช่อง

  1. ใบเตยหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ 1 ปอนด์ (ประมาณ 450 กรัม)

  2. น้ำปูนใส 9+1/2 - 10 ถ้วย

  3. แป้งข้าวเจ้า 3 ถ้วย

  4. แป้งมันสำปะหลัง 1 ถ้วย

  5. แป้งถั่วเขียว 4 ช้อนโต๊ะ

  6. น้ำเย็นจัด

  7. น้ำแข็งทุบ

ส่วนผสม น้ำกะทิ

  1. น้ำตาลปี๊บ 3+1/2 - 4 ถ้วย

  2. เกลือป่น 1 ช้อนชา

  3. กะทิ 5 ถ้วย

วิธีทำลอดช่อง

  1. ทำน้ำกะทิ โดยใส่น้ำตาลปี๊บ เกลือป่น และกะทิ ลงในอ่างผสม ใช้มือขยำส่วนผสมเข้าด้วยกันจนน้ำตาลปี๊บละลายเข้ากันดี กรองด้วยตะแกรง

  2. นำส่วนผสมน้ำกะทิขึ้นตั้งไฟปานกลาง เคี่ยวจนน้ำกะทิใกล้เดือด (ให้ส่วนผสมเดือดเฉพาะตรงกลาง ไม่เดือดพล่าน เพื่อไม่ให้กะทิแตกมัน) ประมาณ 10-15 นาที ปิดไฟ ยกลงจากเตา พักทิ้งไว้จนเย็น เตรียมไว้ (สามารถทำไว้ล่วงหน้าหรือทำทิ้งไว้ข้ามคืนได้)

  3. ใส่ใบเตยลงในเครื่องปั่น ตามด้วยน้ำปูนใส 6-7 ถ้วย ปั่นจนละเอียด จากนั้นคั้นเอาเฉพาะน้ำ เตรียมไว้

  4. ใส่แป้งข้าวเจ้า แป้งมันสำปะหลัง และแป้งถั่วเขียว ลงไปในน้ำใบเตย โดยปล่อยให้แป้งค่อย ๆ จมลงไปในน้ำจนหมด (เทคนิค : ปล่อยให้แป้งจมลงไปในน้ำเอง รอประมาณ 1 นาที โดยไม่ต้องคน เพื่อให้มั่นใจได้ว่าแป้งจะไม่จับตัวเป็นก้อนและละลายเข้ากับน้ำทั้งหมด) พอแป้งจมลงหมดแล้วค่อย ๆ คนผสมจนเข้ากันดี จากนั้นกรองด้วยตะแกรง เตรียมไว้

  5. ใส่ส่วนผสมลงในกระทะก้นลึกขนาดใหญ่ นำขึ้นตั้งไฟปานกลาง กวนผสมตลอดเวลา ใช้เวลาประมาณ 45 นาที ถึง 1 ชั่วโมง พอแป้งเริ่มเหนียวค่อย ๆ เทน้ำปูนใสที่เหลือลงไปจนหมด กวนจนส่วนผสมเหนียวและมีสีใส

  6. ตักส่วนผสมแป้งใส่เครื่องกดลอดช่อง กดแป้งเป็นเส้น ๆ ลงในน้ำเย็นจัด จากนั้นตักส่วนผสมขึ้นใส่ลงในถ้วย ตามด้วยน้ำกะทิที่เตรียมไว้และน้ำแข็ง พร้อมเสิร์ฟ
     

ดูวิธีทำ ลอดช่อง เพิ่มเติมคลิก

21. ขนมเปียกปูน

เมนูจากแป้ง

           ขนมเปียกปูน สูตรขนมไทยทรงสี่เหลี่ยมคุ้นตา ส่วนผสมหลัก ๆ จะใช้แป้งข้าวเจ้าเพื่อให้ขนมเซตตัว และใส่แป้งเท้ายายม่อมหรือแป้งมันสำปะหลังเพื่อให้มีความนุ่ม สูตรนี้เป็นสีเขียวเพราะใส่น้ำใบเตย บางสูตรเป็นสีดำเพราะใส่น้ำกาบมะพร้าว เติมความหวานจากน้ำตาลปี๊บ บางสูตรใส่น้ำตาลทราย เอาส่วนผสมไปกวนจนเหนียวและเทใส่พิมพ์ทิ้งไว้จนเย็น โรยมะพร้าวขูดก่อนเสิร์ฟ

ส่วนผสม ขนมเปียกปูน

  1. แป้งข้าวเจ้า 500 กรัม

  2. แป้งเท้ายายม่อม หรือแป้งมัน 150 กรัม

  3. น้ำปูนใส

  4. น้ำตาลปี๊บ 1+1/2 กิโลกรัม (ปรับเพิ่ม-ลดความหวานได้ตามชอบ)

  5. น้ำใบเตยคั้นเข้มข้น

  6. มะพร้าวทึนทึกขูดเป็นเส้น สำหรับโรยหน้า

วิธีทำขนมเปียกปูน

  1. ผสมแป้งข้าวเจ้า แป้งเท้ายายม่อม และน้ำปูนใสเล็กน้อยพอให้เหลว ๆ คนให้ละลายเข้าด้วยกัน

  2. ใส่น้ำใบเตยลงไปคนให้เข้ากัน ตามด้วยน้ำตาลปี๊บคนให้ละลาย จากนั้นนำน้ำไปกรองผ่านกระชอน

  3. เทส่วนผสมลงในกระทะทองเหลืองหรือกระทะเทฟลอน นำขึ้นตั้งกวนด้วยไฟแรงจนส่วนผสมงวดและแห้งเหนียว

  4. ตักส่วนผสมใส่พิมพ์ พักทิ้งไว้จนส่วนผสมเซตตัว ตัดเป็นชิ้น ๆ โรยมะพร้าวขูด พร้อมเสิร์ฟ
     

ดูวิธีทำ ขนมเปียกปูน เพิ่มเติมคลิก

22. กุยช่ายทอด

เมนูจากแป้ง

ภาพจาก ครัวแม่ผึ้ง Bee happy kitchen

           อาหารคาวจากแป้งข้าวเจ้าที่คุ้นเคยนั่นคือ กุยช่ายทอด สูตรจาก ครัวแม่ผึ้ง Bee happy kitchen สูตรนี้ปรุงรสใบกุยช่ายด้วยน้ำมันพืช น้ำตาลทราย เกลือ และน้ำมันหอย ใส่เบกกิ้งโซดาเพื่อให้ผักมีความนุ่มและสีเขียว เสร็จแล้วเอาไปทอดจนสุกกรอบ

ส่วนผสม กุยช่ายทอด

  1. กุยช่าย 300 กรัม

  2. น้ำมันพืช 2 ช้อนโต๊ะ

  3. น้ำตาลทราย 1 ช้อนโต๊ะ

  4. เกลือ 1/4 ช้อนชา

  5. น้ำมันหอย 1 ช้อนโต๊ะ

  6. เบกกิ้งโซดา 1/2 ช้อนชา

  7. แป้งข้าวเจ้า 100 กรัม

  8. แป้งมัน 100 กรัม

  9. แป้งข้าวเหนียว 40 กรัม

  10. น้ำ 1 แก้ว

ส่วนผสม น้ำจิ้มกุยช่ายทอด

  1. ซีอิ๊วดำหวาน 2 ช้อนโต๊ะ

  2. น้ำส้มสายชู 2 ช้อนโต๊ะ

  3. น้ำตาลทราย 2 ช้อนโต๊ะ

  4. น้ำเปล่า 2 ช้อนโต๊ะ

  5. เกลือเล็กน้อย

  6. พริกสด

วิธีทำกุยช่ายทอด

  1. หั่นใบกุยช่าย ปรุงรสด้วยน้ำมันพืช น้ำตาลทราย เกลือ และน้ำมันหอย ตามด้วยเบกกิ้งโซดา คลุกเคล้าแบบเบามือให้ส่วนผสมทุกอย่างเข้ากัน ผักจะสีเขียวสด ไม่ช้ำ พักไว้ 

  2. ผสมแป้งข้าวเจ้า แป้งมัน และแป้งข้าวเหนียว เติมน้ำครึ่งหนึ่ง ค่อย ๆ นวดให้แป้งเหนียวนุ่ม และเติมน้ำที่เหลือจนหมดแก้ว ผสมให้เข้ากัน ใส่ผักกุยช่ายลงไปผสมกับแป้ง

  3. ใส่น้ำมันในกระทะเล็กน้อย ใช้ไฟอ่อน ๆ แล้วเทส่วนผสมกุยช่ายลงไปทอด ปิดฝา ทอดประมาณ 10 นาที จนเริ่มสุกกรอบ แล้วให้กลับขนมกุยช่ายอีกด้านทอดจนเหลืองกรอบ

วิธีทำน้ำจิ้มกุยช่าย

  1. นำส่วนผสมทุกอย่างไปเคี่ยวจนเดือดจัด ๆ ความข้นตามความชอบ ใส่พริกตามชอบ
     

ดูวิธีทำ กุยช่ายทอด เพิ่มเติมคลิก

23. ขนมกุยช่าย

เมนูจากแป้ง

ภาพจาก คุณ tukata001 สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม (ครัวตุ๊กตา)

           มาต่อกันที่อีกสูตรทำขนมกุยช่าย สูตรจาก คุณ tukata001 สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม (ครัวตุ๊กตา) ส่วนผสมแป้งห่อกุยช่ายทำจากแป้งข้าวเจ้าและแป้งมัน นวดจนเนียนแล้วห่อไส้ผักให้สวยงาม จากนั้นเอาไปนึ่งจนสุก จัดเสิร์ฟพร้อมน้ำจิ้มกุยช่ายรสเผ็ดนิด ๆ อร่อยล้น

ส่วนผสม ขนมกุยช่าย

  1. กุยช่าย 500 กรัม

  2. เกลือ 1/2 ช้อนชา

  3. เบกกิ้งโซดา 1/2 ช้อนชา

  4. น้ำมัน 1/2 ถ้วย

  5. แป้งข้าวเจ้า 1 ถ้วย

  6. แป้งมันสำปะหลัง 1/2 ถ้วย

  7. น้ำเปล่าต้มเดือด 1+1/2 ถ้วย

ส่วนผสม น้ำจิ้มกุยช่าย

  1. ซีอิ๊วหวาน 3 ช้อนโต๊ะ

  2. น้ำส้มสายชู 3 ช้อนโต๊ะ

  3. น้ำตาลทราย 1 ช้อนโต๊ะ

  4. พริกขี้หนูตำละเอียด 1 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำขนมกุยช่าย

  1. ทำไส้ผักกุยช่าย โดยนำผักไปล้างให้สะอาด หั่นเป็นชิ้นเล็ก ใส่อ่างผสม เติมเบกกิ้งโซดาและเกลือลงไป แล้วขยำจนผักนิ่มหรือสลด ใส่น้ำมันพืชลงคลุกให้เข้ากัน แล้วเทใส่กระชอนเพื่อให้สะเด็ดน้ำมัน ตอนใส่ในแป้งจะได้ไม่เยิ้มน้ำมัน

  2. ทำแป้ง โดยเทแป้งข้าวเจ้าผสมกับแป้งมัน คนให้เข้ากัน

  3. ต้มน้ำร้อนให้เดือดจัดแล้วเทใส่ในแป้ง คนเรื่อย ๆ จนแป้งเหนียวจับตัวกัน แล้วนำออกมานวดมือต่อ โดยนำแป้งมันมาโรยเป็นแป้งนวล และเอามาทามือเพื่อไม่ให้แป้งเหนียวติดมือ แล้วค่อย ๆ นวด พอแป้งเนียนดีแล้วก็แบ่งแป้งออกมาแผ่ออกเป็นบาง ๆ แล้วแต่ขนาดที่ต้องการ จะใช้ไม้รีดแป้งหรือใช้มือก็ได้ ทำเป็นแผ่นแบน ๆ 

  4. นำไส้ผักกุยช่ายมาวางตรงกลางแล้วห่อ จะห่อแบบมีจีบด้านหน้าหรือรวบก้นให้สนิทแล้วคว่ำเป็นก้อนกลมด้านบนก็ได้

  5. นำใบตองมารองก้นชุดนึ่ง เสร็จแล้วใช้มีดกรีดใบตองหน่อย จะได้มีทางให้น้ำไหลลงไปได้ เพราะตอนนึ่งน้ำจะเยอะนิดหน่อย จัดเรียงให้ห่างกันนิด เพราะเวลาสุกจะขยายตัวอีกนิดหนึ่ง นึ่งประมาณ 15 นาที

วิธีทำน้ำจิ้มขนมกุยช่าย

  1. เทซีอิ๊วดำหวานใส่ถ้วย เติมน้ำส้มสายชู น้ำตาลทราย และพริกขี้หนูตำละเอียด คนให้เข้ากัน ชิมรสตามชอบ
     

ดูวิธีทำ ขนมกุยช่าย เพิ่มเติมคลิก

24. ข้าวเกรียบปากหม้อ

เมนูจากแป้ง

ภาพจาก คุณ BlackPiano สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม

           อยากกินต้องได้กินกับข้าวเกรียบปากหม้อ สูตรจาก คุณ BlackPiano สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม ตัวแป้งทำจากแป้งข้าวเจ้าเพื่อให้แป้งเซตตัว ผสมกับแป้งมันสำปะหลังและแป้งเท้ายายม่อมเพิ่มความเงาและนุ่มเหนียว ใส่ไส้หมูสับไชโป๊ โรยกระเทียมเจียวปิดท้ายเพิ่มความหอมและไม่ทำให้ขนมติดกันด้วย

ส่วนผสม แป้งข้าวเกรียบปากหม้อ

  1. แป้งข้าวเจ้า ประมาณ 1 ถ้วย 

  2. แป้งมันสำปะหลัง ประมาณ 1 ช้อนโต๊ะ

  3. แป้งเท้ายายม่อม ประมาณ 1/2 ช้อนโต๊ะ (แป้งชนิดนี้ใส่มากไม่ได้จะทำให้เหนียวเกินไป)

  4. น้ำเปล่า 1 ถ้วย (โดยประมาณ)

ส่วนผสม ไส้หมู

  1. หอมแดงสับ 6-7 หัว

  2. รากผักชีกับเม็ดพริกไทย

  3. หมูบด

  4. ไชโป๊เค็มสับ

  5. น้ำปลา

  6. น้ำตาลปี๊บ

  7. น้ำตาลทราย

  8. ถั่วลิสงคั่วป่น 4-5 ทัพพี

  9. กุ้งแห้งปั่นละเอียด 1 กำมือ

วิธีทำข้าวเกรียบปากหม้อ

  1. ทำไส้ข้าวเกรียบปากหม้อ โดยนำรากผักชีกับเม็ดพริกไทยโขลกให้ละเอียด เตรียมไว้

  2. ใส่น้ำมันเล็กน้อยในกระทะ ใส่หอมแดงลงผัดให้หอม ใส่รากผักชีและเม็ดพริกไทยที่โขลกแล้วลงผัด ตามด้วยหมูบด ใส่ไชโป๊ลงไปผัด ปรุงรสด้วยน้ำปลาเล็กน้อย น้ำตาลปี๊บกับน้ำตาลทราย ถั่วลิสงคั่วป่น และกุ้งแห้งปั่นละเอียด ผัดไปเรื่อย ๆ จนได้ที่ ตักขึ้นพักไว้

  3. เตรียมหม้อปากกว้างชนิดไม่มีหูจับ เอาผ้าสีขาวเจาะรูเล็กน้อยมาขึงที่ปากหม้อให้ตึง หายางมารัดให้แน่น ก่อนเอาผ้าขึงให้ใส่น้ำลงหม้อก่อน แล้วนำไปตั้งไฟจนน้ำเดือด 

  4. ทำแป้งข้าวเกรียบปากหม้อ โดยผสมแป้ง เติมน้ำ คนให้เข้ากัน พอน้ำเดือดตักแป้งประมาณ 1/2 ทัพพี เทลงบนปากหม้อแล้วใช้ทัพพีเกลี่ย ๆ เป็นวงกลม อย่าบางเกินและหนาเกิน หากแป้งขาดง่ายก็แสดงว่าเจือจางไป ให้เติมแป้งข้าวเจ้าลงไปทีละนิด ปิดฝาหม้อ ประมาณ 40 วินาที เวลาเปิดฝา ถ้าแผ่นแป้งจะพองออกมาจากตัวผ้านั่นคือแป้งที่ใช้ได้ ให้ตักไส้ใส่ลงไป  

  5. ใช้พายยางหรือสปาตูล่าจุ่มน้ำปาดแป้งขึ้นมาหุ้มไส้ พับข้างละ 1 ครั้งพอ แค่ด้านซ้าย-ขวา เสร็จแล้วใช้ใบตองตัดเป็นแฉก ๆ มัดติดตะเกียบ จุ่มน้ำมันกระเทียมเจียว เอามาทา ๆ แป้งข้าวเกรียบไม่ให้ติดกัน จัดใส่จาน ราดหัวกะทิที่ใส่เกลือนิดหนึ่ง โรยกระเทียมเจียว เสิร์ฟพร้อมพริกขี้หนู ผักกาดหอม และผักชี 
     

ดูวิธีทำ ข้าวเกรียบปากหม้อ เพิ่มเติมคลิก

แป้งเท้ายายม่อม

25. ขนมชั้น

เมนูจากแป้ง

ภาพจาก RinS Cook Book (#Rinscookcook)

           ถ้าชอบกินอยากลองทำกันไหมกับเมนูขนมชั้น สูตรจาก RinS Cook Book (#Rinscookcook) ใส่แป้งเท้ายายม่อมเพื่อความเหนียว ผสมกับแป้งมันสำปะหลังให้มีความใสมันวาว เติมแป้งข้าวเจ้าให้ขนมเซตตัว ใส่ความหอมจากน้ำใบเตยและกลิ่นมะลิ นึ่งทีละชั้นจนได้จำนวนชั้นตามชอบ

ส่วนผสม ขนมชั้น

  1. น้ำตาลทราย 2+1/2 ถ้วย

  2. น้ำกะทิ 4 ถ้วย

  3. แป้งข้าวเจ้า 1/2 ถ้วย

  4. แป้งมันสำปะหลัง 1/2 ถ้วย

  5. แป้งเท้ายายม่อม 1+1/2 ถ้วย (หรือแป้งถั่วเขียว)

  6. น้ำใบเตยคั้นเข้มข้น 1/2 ถ้วย

  7. น้ำหอมกลิ่นมะลิผสมน้ำ 1/2 ถ้วย

อุปกรณ์

  1. ถาดหรือพิมพ์สี่เหลี่ยมสำหรับนึ่งขนม (ขนาด 10x10 นิ้ว หรือ 8x8 นิ้ว)

วิธีทำขนมชั้น

  1. ใส่น้ำตาลทรายและกะทิลงในหม้อ คนผสมให้เข้ากันแล้วนำขึ้นตั้งไฟปานกลางประมาณ 5 นาที จนน้ำตาลทรายละลาย (ไม่ต้องรอให้เดือด) ยกลงจากเตา พักทิ้งไว้จนเย็น

  2. นึ่งถาดหรือพิมพ์ในชุดนึ่งที่มีน้ำเดือด ประมาณ 15 นาที เตรียมไว้

  3. ผสมแป้งข้าวเจ้า แป้งมันสำปะหลัง และแป้งเท้ายายม่อม เข้าด้วยกัน ค่อย ๆ เทส่วนผสมน้ำกะทิลงไป ใช้มือนวดแป้งให้เข้ากันเป็นเนื้อเดียว นวดประมาณ 15 นาที จนแป้งไม่จับตัวเป็นก้อน จากนั้นนำไปกรองด้วยตะแกรง

  4. แบ่งแป้งเป็น 2 ถ้วย โดยถ้วยที่ 1 ผสมกับน้ำใบเตย และถ้วยที่ 2 ผสมกับน้ำมะลิ คนผสมให้เข้ากัน เตรียมไว้

  5. ทำชั้นที่ 1 โดยเทส่วนผสมสีขาว (เทส่วนผสมทุกชั้นประมาณ 1/3 ถ้วย) ลงในพิมพ์ ปิดฝา นึ่งประมาณ 5 นาที เปิดฝา เทส่วนผสมสีเขียวลงไป ปิดฝา นึ่งประมาณ 5 นาที ทำซ้ำเช่นเดิม สลับชั้นกันจนหมดแป้ง จะได้ประมาณ 9-10 ชั้น โดยชั้นสุดท้ายให้นึ่งประมาณ 7 นาที ยกออกจากชุดนึ่ง วางพักทิ้งไว้จนเย็นสนิท (ประมาณ 3 ชั่วโมง)

  6. นำขนมออกจากถาด จุ่มมีดลงในน้ำร้อน กดลงบนขนมเป็นชิ้น ๆ จัดใส่จาน พร้อมเสิร์ฟ
     

ดูวิธีทำ ขนมชั้น เพิ่มเติมคลิก

26. หอยทอด

เมนูจากแป้ง

ภาพจาก ครัวตุ๊กตา สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม

            ใครไม่กลัวแคลอรีพุ่งมาทำเมนูหอยทอด สูตรจาก ครัวตุ๊กตา สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม ใช้แป้งเท้ายายม่อมผสมกับแป้งทอดกรอบและแป้งข้าวเจ้า ปรุงรสแป้งด้วยซอส พริกไทย และผงปรุงรส ใส่หอยแมลงภู่กับต้นหอมลงไป เอาไปทอดจนสุกกรอบ ราดน้ำจิ้มหอยทอดสูตรเด็ด

ส่วนผสม หอยทอด (สำหรับ 2 ที่)

  1. แป้งทอดกรอบ 4 ช้อนโต๊ะ

  2. แป้งข้าวเจ้า 2 ช้อนโต๊ะ

  3. แป้งเท้ายายม่อม 3 ช้อนโต๊ะ

  4. ผงปรุงรส 1 ช้อนชา

  5. พริกไทย 1 ช้อนโต๊ะ

  6. ซอสปรุงรส 1 ช้อนโต๊ะ

  7. น้ำมันพืช 3 ช้อนโต๊ะ

  8. น้ำเปล่า 1/2 ถ้วย

  9. น้ำปูนใส 2 ช้อนโต๊ะ (ถ้าไม่มีไม่ต้องใส่)

  10. หอยแมลงภู่ 1 ถ้วย

  11. ไข่ 2 ฟอง

  12. ต้นหอมซอย 2 ช้อนโต๊ะ

  13. ถั่วงอก 1 ถ้วย

ส่วนผสม น้ำจิ้มหอยทอด

  1. น้ำจิ้มไก่ 4 ช้อนโต๊ะ

  2. ซอสพริก 2 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำหอยทอด

  1. นำแป้งทอดกรอบ แป้งเท้ายายม่อม และแป้งข้าวเจ้า มาใส่ถ้วยผสม ใส่ผงปรุงรสนิดหน่อย ใส่น้ำปูนใส (ทำให้กรอบนาน) ใส่ซอสปรุงรส คนแป้งให้เข้ากัน เติมน้ำ คนส่วนผสม ไม่ให้ใสและไม่ข้นเกินไป เติมพริกไทยป่น ใส่หอยแมลงภู่ และต้นหอมซอย คนให้เข้ากัน 

  2. ตั้งกระทะเติมน้ำมันรอให้ร้อน นำส่วนผสมแป้งหอยทอดลงทอดในกระทะแบน ๆ เขี่ยหอยให้กระจายเท่ากัน

  3. ทอดให้พอแป้งเริ่มจับตัวก็ตอกไข่ใส่แล้วยีไข่ให้ทั่ว ๆ ทอดไฟกลาง รอจนด้านหนึ่งสุกก็เตรียมกลับด้าน การทอดหอยไม่จำเป็นต้องให้เป็นแผ่น แบ่งเป็นชิ้น ๆ แยกตัวกัน จะทอดได้กรอบมากยิ่งขึ้น คอยพลิกกลับไปกลับมา ทอดให้กรอบตามชอบ เสร็จแล้วเกลี่ยหอยทอดไว้ด้านหนึ่ง ใส่ถั่วงอกลงไปผัด ปรุงรสด้วยซีอิ๊วขาวหรือซอสปรุงรสนิดเดียวให้พอมีรสชาติ ตักใส่ภาชนะ

  4. ทำน้ำจิ้มหอยทอด โดยเติมน้ำจิ้มไก่สำเร็จรูปผสมกับซอสพริก เสิร์ฟพร้อมหอยทอด
     

ดูวิธีทำ หอยทอด เพิ่มเติมคลิก

          วันหยุดนี้ได้ฤกษ์เคลียร์แป้งเหลือ ๆ จากการทำเบเกอรี่แล้วสิ กะจะเอามาทำขนมไทยรัว ๆ เลยจ้า