Learn with Prin เรียนรู้ไปพร้อมกับน้องปริญญ์

จำหน่ายผลิตภัณฑ์ Legacy /Reborn Set ลด Fat ตัวช่วยลดไขมัน ลดน้ำหนัก แบบถูกวิธี 🔥 ติดต่อสอบถาม/สั่งซื้อ 📍 โทร ☎️ :: 084-110-5021 🌸 Line ID :: pla-prapasara 🌸 รับโปรโมชั่นสุดพิเศษเฉพาะทาง Line นะคะ 📍

วันพฤหัสบดีที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2566

ตำนานพิธีกวนเกษียรสมุทร

 

ตำนานพิธีกวนเกษียรสมุทร

Scene of the Churning of the Milk Ocean







https://youtu.be/1Nh6jQ-y8PU



ครั้งนั้นสรวงสวรรค์นั้นมีเหล่านางฟ้าที่งดงามอยู่เกินกว่าจะคณานับได้ แต่นางฟ้าที่ได้ชื่อว่างามที่สุดมีนามว่าอุรวศีรองลงมาคือนางเมนะกา วันหนึ่งนางเมนะกานำพวงมาลัยไปถวายให้แก่มหาฤาษีทุรวาส (दुर्वास – DURVASA) ซึ่งเป็นอวตารภาคหนึ่งของพระศิวะ ในขณะที่พระอินทร์ผู้เป็นจอมราชันแห่งสรวงสวรรค์ได้เสด็จออกประพาสมาพักผ่อนบนโลกมนุษย์หลังจากจัดการสะสางภารกิจเสร็จ (ก่อนหน้านี้พระอินทร์ได้ทำสงครามกับเหล่าอสูรและแทตย์ โดยได้ทำการสังหารวฤตาสูรซึ่งเป็นอสูรวรรณะพราหมณ์ แล้วเกิดมีบาปติดตัวจนหาทางกลับสวรรค์ไม่เจอมาเป็นเวลานาน ในที่สุดก็ได้รับพระเมตตาจากพระศิวะจนสามารถกลับมาปกครองสวรรค์ได้ดังเดิม) ช่วงเวลาเดียวกันนั้นเองฝ่ายมหาฤๅษีทุรวาส ก็ได้ออกท่องเที่ยวอยู่ในบริเวณนั้นด้วย โดยเมื่อมหาฤๅษีทุรวาสได้รับถวายพวงมาลัยมาจากนางเมนะกาแล้วนำพวงมาลัยมาสวมที่คอแล้ว มหาฤๅษีทุรวาสก็เกิดอาการประหลาด เปลี่ยนจากฤๅษีที่มีโทสะร้ายอยู่ตลอดเวลา กลายเป็นฤๅษีที่อารมณ์ดี ร่าเริง กระโดดเต้นแร้งเต้นกาไปทั่ว แล้วฤๅษีทุรวาสมาเจอกับพระอินทร์ที่กำลังทรงช้างเอราวัณอยู่ ก็เกิดมีสติกลับคืนมา แล้วคิดว่าพวงมาลัยนี้ไม่เหมาะกับตนซึ่งอยู่ในเพศพราหมณ์ จึงได้นำพวงมาลัยนั้นถวายให้แด่พระอินทร์ซึ่งเป็นเทพเจ้าวรรณะกษัตริย์
ฝ่ายพระอินทร์เมื่อมหาฤๅษีทุรวาสถวายพวงมาลัยให้ครั้นจะไม่รับก็กระไรอยู่ ด้วยเป็นที่ทราบกันดีทั้งสามโลกว่ามหาฤๅษีตนนี้เป็นมหาฤๅษีที่ดุร้าย ถ้าผู้ใดทำอะไรให้ไม่เป็นที่พึงพอใจ เขาผู้นั้นก็มักจะถูกฤๅษีตนนี้สาปเอาได้ง่าย ๆ จึงทรงยอมรับการถวายพวงมาลัยไว้ แล้วนำไปวางไว้บนตะพองช้าง พลันช้างทรงนั้นก็เกิดอาการประหลาดคลุ้มคลั่งขึ้น เอางวงยกขึ้นจับพวงมาลัยนั้นทิ้งลงพื้นแล้วกระทืบจนพวงมาลัยนั้นแหลกเละไปตอหน้าต่อตา ฤๅษีทุรวาสเห็นเช่นนั้นก็เกิดเดือดดาลโทสะขึ้น หาว่าพระอินทร์นั้นทรงดูหมิ่นไม่ให้เกียรติตน จึงถึงกับเอ่ยปากสาปพระอินทร์ว่า ให้พระอินทร์และเหล่าเทวดาผู้เป็นบริวารนั้นเสื่อมฤทธิ์ลง แม้ต้องรณรงค์กับอสูรครั้งใดก็ขอให้พ่ายแพ้ตลอด เมื่อข่าวเรื่องพระอินทร์ถูกมหาฤๅษีทุรวาสสาปล่วงรู้ไปถึงฝ่ายพวกแทตย์และอสูร พวกเหล่านี้ก็ไม่รอช้ารีบรวบรวมทัพบุกขึ้นโจมตียึดสวรรค์มาครอบครองในทันที โดยมีอสุรินทร์ราหูเป็นแม่ทัพหัวหอกสำคัญ รบกันได้ไม่นานด้วยพวกเทวดาต่างต้องคำสาปจึงพ่ายแพ้แก่เหล่าอสูรโดยง่าย บ้างก็ต้องเผ่นหนีแปลงร่างเป็นสัตว์ไปหลบซ่อน บ้างก็ถูกจับเป็นเชลยมาใช้งาน บ้างก็ถูกสังหาร
พระอินทร์และเหล่าเทวดาที่หนีรอดมาได้จึงรีบตรงไปยังไวกูณฐ์โลกเพื่อขอความช่วยเหลือจากพระนารายณ์ ด้วยเมตตาพระนารายณ์จึงออกอุบายว่าจะช่วยล้างคำสาปของมหาฤๅษีทุรวาสให้ โดยจะทำพิธีกวนน้ำอมฤตเพื่อเพิ่มพลังของเหล่าเทวดาให้กลับคืนมา อีกทั้งยังจะทำให้เหล่าเทวดานั้นเมื่อดื่มกินน้ำอมฤตแล้วจะมีความเป็นอมตะอีกด้วย แต่ต้องให้เหล่าเทวดานั้นแสร้งทำเป็นอ่อนน้อมถ่อมตนยอมรับว่าต้อยต่ำกว่าพวกเหล่าอสูรก่อน แล้วให้ชักชวนพวกอสูรให้มาร่วมกวนน้ำอมฤตกันเพื่อความเป็นอมตะของทั้ง 2 ฝ่าย โดยให้พักเรื่องสงครามกันไว้ชั่วคราวก่อน ให้หันมาปรองดองชั่วขณะแล้วช่วยกันรีบออกจัดหาสมุนไพรโอสถมาเพื่อใช้ในการทำน้ำอมฤตกันโดยเร็ว เหล่าพวกอสูรก็หลงกลด้วยอยากมีความเป็นอมตะเช่นกัน และมองว่าตนนั้นก็เป็นต่อเหล่าเทวดาอยู่ แม้กวนน้ำอมฤตเสร็จพวกตนนั้นก็จะต้องได้ดื่มกินน้ำอมฤตในจำนวนมากก่อน เศษที่เหลือเพียงน้อยนิดค่อยแบ่งให้เหล่าเทวดาได้ดื่มกินทีหลัง เมื่อมองเห็นดังนั้นจึงยินยอมตกลงที่จะร่วมกวนน้ำอมฤตกับเหล่าเทวดา แล้วต่างฝ่ายต่างออกระดมเก็บสมุนไพรโอสถที่จะนำมาใช้กวนน้ำอมฤตกันในทันที ครั้นได้ฤกษ์กวนน้ำอมฤต ณ กลางเกษียรสมุทร มหาเทพทั้ง 3 อันได้แก่ พระพรหม พระนารายณ์และพระศิวะ ได้มาปรากฏองค์เป็นประธานในพิธี ฝ่ายเหล่าเทวดาและอสูรต่างก็ทยอยขนเอาสมุนไพรโอสถที่จัดหามาทั้งหมดเทลงในเกษียรสมุทรในทันที อันเกษียรสมุทรนี้ตั้งอยู่ในทิศตะวันออกของจักรวาล มีน้ำสีขาว คือเกษียรแปลว่าน้ำนม ไหลเต็มอยู่ตลอดปี
จากนั้นพระนารายณ์จึงมีเทวบัญชาให้เหล่า เทวดาและอสูรไปถอนเอาภูเขา “มันทระ” (मन्दरा - MANDARA) ซึ่งมีความสูงพ้นพื้นดิน 11,000 โยชน์ และหยั่งฐานรากอยู่ใต้ดินอีก 11,000 โยชน์ มาปักกลางเกษียรสมุทรเพื่อใช้เป็นไม้กวน แล้วทรงมีเทวบัญชาให้ “พญานาควาสุกรี” (ผู้เป็นพี่ของพญาเศษะ (พญาอนันตนาคราชหรือพญานาคพันเศียรที่เป็นแท่นบรรทมของพระนารายณ์เวลาประทับอยู่เหนือเกษียรสมุทรหรือนารายณ์บรรทมสินธุ์) มาพันวนรอบภูเขานี้เพื่อใช้เป็นดั่งเชือกปั่นให้แกนภูเขาหมุนกวนตัวยาสมุนไพรและน้ำในเกษียรสมุทรให้เข้ากัน แล้วออกอุบายว่า ให้เทวดาฉุดด้านหางและอสูรฉุดด้านหัว เพราะด้านหัวพญานาคต้องใช้กำลังมากจึงต้องอาศัยผู้มีฤทธิ์เดช เวลานั้นพวกอสูรก็ทะนงตัวว่ามีอานุภาพเกรงไกรฝ่ายเทวดาเองก็ทำตามอุบายของพระนารายณ์ที่โอนอ่อนตามพวกอสูรจึงหลงกลพากันไปฉุดทางหัวซึ่งลำบากกว่าเพราะการกวนใช้เวลานานมากพญานาคต้องเหนื่อยและล้าเพราะถูกฉุดอยู่ตลอดเวลาเมื่อทนไม่ไว้ก็จะคายพิษออกมาที่หนึ่งไปถูกอสูรตายไปเป็นจำนวนมาก บ้างก็ปวดแสบปวดร้อน จึงเป็นเหตุให้เหล่าอสูรมีหน้าตาผิวพรรณตะปุ่มตะป่ำนับแต่นั้นเป็นต้นมา
เวลานั้นเองเขามันทระที่เป็นไม้กวนถูกใช้กดลงไปแรงเกินไปซึ่งอาจทำให้พื้นทะลุลงไปยังโลกมนุษย์พระนารายณ์จึงแบ่งภาคอวตารมาเป็นเต่า ใช้กระดองของตนรองรับแรงกระแทกของเขามัทระมิให้พื้นทะลุและทำให้โลกแตกได้ ปางนี้มีชื่อว่า กูรมาวตาร (कूर्म अवतार - KURMA AVATAR)
ในระหว่างการกวนน้ำอมฤตมีอสูรปลาตนหนึ่งคิดร้ายหวังจะทำลายโลกจึงมาคอยตอดทำลายเขาให้พังลงมา พระนารายณ์ในร่างเต่าจึงเข้าสังหารอสูรปลามิให้มาขวางการกวนน้ำอมฤต ในระหว่างการกวนน้ำอมฤตซึ่งใช้เวลานานมากได้เกิดของวิเศษ 14 อย่างผุดขึ้นมาคือ
1. พิษ “หะลาหละ” (हलाहल Halahal) ลอยออกมาเป็นลำดับแรก อันหะลาหละนั้นเป็นพิษร้ายแรง หากตกลงยังมนุษยโลกก็จะบังเกิดเป็นเพลิงกรดเผาโลกให้เป็นจุลไปได้ พระศิวะมหาเทพทรงทราบด้วยทิพยญาณว่าพิษร้ายนี้ไม่มีใครจะกำจัดลงได้เว้นแต่พระองค์เอง เมื่อดำริดังนั้นแล้วจึงทรงดื่มพิษหาลาหละนั้น ฝ่ายพระแม่ปรวาตีเห็นพระสวามีกลืนพิษร้ายจึงได้กดพระศอพระศิวะไว้เพื่อไม่ได้พิษไหลลงสู่พระอุทรได้ ด้วยความร้ายกาจแห่งพิษนั้นยังผลให้พระศอพระศิวะเป็นสีดำพระองค์จึงมีอีกพระนามหนึ่งว่า นิลกัณฐ์ (Neelakanta) หรือผู้มีคอสีนิลนับแต่นั้นเป็นต้นมา และสีดำได้กลายเป็นสีของความรักอันบริสุทธิ์ของชาวฮินดู
2. พระจันทร์ (चन्द्र Chandra) ซึ่งพระศิวะได้ฉวยเอามาทำเป็นปิ่นประดับพระเกศา โดยทั้งฝ่ายเทวดาและอสูรต่างพร้อมใจกันถวายให้พระองค์ เพื่อตอบแทนที่พระองค์นั้นทรงเสียสละดื่มกินพิษของพญาวาสุกรีให้จนหมด
3. เพชรเกาสุภตะ (कौस्तुभ Kaustubh) ซึ่งเป็นเพชรล้ำค่าที่สุดในสามโลก ต่อมาพระนารายณ์นำไปประดับพระอุระ
4. ดอกบัวที่ภายในมีพระศรีลักษมี (लक्ष्मी Lakshmi) ประทับอยู่ เมื่อเสด็จออกมาจากดอกบัวก็ตรงไปเข้าเฝ้าถวายตัวเป็นพระมเหสีของพระนารายณ์ในทันที
5. วารุณี (Varuni) เทพีแห่งสุรา ต่อมาได้เป็นชายาของพระพิรุณ
6. ช้างไอราวัต (Airavata) หรือช้างเอราวัณซึ่งเป็นช้างเผือกสามเศียรอันเป็นเทพพาหนะของพระอินทร์
7. ม้าอุจฉัยศรพ (उच्चैःश्रवस् Uchchaihshravas) ม้าเจ็ดเศียร พระอาทิตย์รับไปเป็นม้าทรงราชรถ และเป็นต้นเหตุของการพนันระหว่างนางวินตาและนางกัทรุในตำนานการเกิดของครุฑ
8. ต้นปาริชาติ (Parijat) เป็นต้นไม้ทิพย์สามารถอำนวยความสำเร็จให้แก่ผู้ขอพรได้
9. กามเธนุ (कामधेनु Kamadhenu) แปลว่าแม่โคอันพึงปรารถนา รู้จักกันในอีกนามหนึ่งว่า “โคสุรภี” (सुरभि Surabhī) ซึ่งต่อมาให้กำเนิดวัวอุศุภราชหรือนันทิเกศวร (नन्दी Nandi) อันเป็นเทพพาหนะทรงของพระอิศวร โดยมีเทวดานามเวตาลเป็นพ่อ (บางตำนานว่ากัศยปมุนีปรารถนาจะนำโคกามเธนุไปเป็นพาหนะแต่ติดว่าเป็นโคเพศ เมียจึงเนรมิตตนเป็นพ่อโคเข้าผสมด้วยโคกามเธนุจนเกิดลูกโคสีขาวบริสุทธิ์ ตั้งชื่อให้ว่า อุศุภราช มีลักษณะงดงามตามตำราจึงได้นำไปถวายพระอิศวรเพื่อเป็นเทพพาหนะ บางตำรากล่าวว่านนทิเกศวรแท้จริงแล้วคือเทพบุตรนามว่า นนทิ เป็นผู้เฝ้าสัตว์ในเขาไกรลาสและหัวหน้าแห่งปวงศิวะสาวก เมื่อพระศิวะปรารถนาจะไปยังที่ใด นนทิก็จะแปลงกายให้เป็นโคเผือกเพื่อเป็นเทพพาหนะ) อันแม่วัวกามเธนุนั้นเป็นโควิเศษสามารถเนรมิตสิ่งต่าง ๆ ตามที่เจ้าของปรารถนาได้
10. หริธนู
11. สังข์ (शंख Shankha)
12. ปวงเทพีอัปสรสวรรค์ เหล่านางอัปสร (अप्सरा Apsara) หลายล้านตน แต่ไม่มีใครยอมรับเอาไปครอบครอง จึงตกเป็นสมบัติส่วนกลาง มีหน้าที่คอยบำรุงบำเรอความสุขให้แก่เหล่าเทวดาและอสูรในเวลาต่อมา
13. ธันวันตรี (धन्वन्तरि Dhanvantari) แพทย์สวรรค์อวตารปางหนึ่งของพระนารายณ์ ทูนเอาของชิ้นที่ 14 ขึ้นมาคือ
14. หม้อน้ำทิพย์อมฤต (अमृत Amrita)
พอหม้อมน้ำอมฤตทูนออกมา พวกอสูรและเทวดาก็แย่งกันแต่เทวดาสู้ไม่ได้ พระนารายณ์จึงแปลงกายเป็นนางอัปสรชื่อ “โมหิณี” (मोहिनी Mohini) ไปล่อลวงอสูรให้หลงใหลในความงามของนาง พระอินทร์ได้โอกาสก็แอบขโมยน้ำอมฤตกลับมาแบ่งในหมู่เทวดา มีเพียงอสูรตนหนึ่งซึ่งมีปัญญาเฉลียวฉลาดกว่าอสูรตนอื่นนามว่า “ราหู” (राहुः Rahu) ที่ไม่หลงกล ได้แปลงกายเป็นเทวดามาดื่มด้วย แต่พระอาทิตย์กับพระจันทร์รู้เข้าจึงไปฟ้องพระนารายณ์ พระนารายณ์จึงขว้างจักรสุทรรศน์ไปตัดอสูรราหูขาดออกเป็นสองท่อน ท่อนบนคืออสูรราหูที่รับรู้ในปัจจุบัน ส่วนท่อนล่างเป็นงูต่อมาเรียกกันว่า “พระเกตุ” (केतु Ketu) แม้จะถูกจักรพระวิษณุตัดแต่ราหูไม่ตายเพราะได้ดื่มน้ำอมฤตแล้ว ทั้งราหูก็โกรธแค้นพระอาทิตย์และพระจันทร์มาก กาลต่อมาราหูจึงเป็นศัตรูกับพระอาทิตย์และพระจันทร์เมื่อพบเจอที่ใดจะจับกินทุกครั้ง แต่ก็จะกลืนพระอาทิตย์และพระจันทร์ไว้ได้เพียงชั่วขณะหนึ่งพระอาทิตย์​พระจันทร์​ก็จะหลุดออกมา เพราะตัวของราหูมีเพียงท่อนบน เป็นที่มาของปรากฏการณ์สุริยุปราคาและจันทรุปราคานั่นเอง
ฝ่ายอสูรกว่าจะรู้ตัวว่าโดนหลอก เหล่าเทวดาก็ดื่มน้ำอมฤตกันหมดแล้วจะยกพลขับไล่พวกอสูรออกไป พระนารายณ์ได้ประทานหม้อน้ำอมฤตให้พระอินทร์เก็บรักษา เป็นของห้วงห้ามของสวรรค์ ฝ่ายพวกนาค พวกงูที่หวังจะมีส่วนรวมบ้างก็พลอดอดไปด้วยแต่ก็มาเลียนกินหญ้าคา ซึ่งรองรับหม้อน้ำซึ่งพอมีน้ำหลงเหลืออยู่บ้าง หญ้าคาบาดลิ้นทำให้ลิ้นแตกเป็นสองแฉกนับแต่นั้นมา
เหล่าอสูรเมื่อได้พบบทเรียนเช่นนี้แล้วจึงปวารณาตนไม่ดื่มเครื่องดองของเมา อีกจึงเป็นที่มาของคำว่า “อสูร” (อ+สุระ) หมายถึง ผู้ไม่ดื่มสุรา ต่างกับเหล่าเทวะที่ยังดื่มสุราดังเช่นคำเรียกที่อยู่ของเทวดาที่ว่า “ฟากฟ้าสุราลัย” (สุระคือเหล้า สนธิกับคำว่าอาลัยแปลว่า ที่อยู่) หมายถึงที่อยู่ของผู้ดื่มสุราคือสวรรค์นั้นเอง










Behind the Scene of The Churning of the Milk Ocean at Suvarnabhumi Air Port, Thailand















3 ความคิดเห็น:

  1. ตำนานพิธีกวนเกษียรสมุทร

    พิธีกวนเกษียรสมุทร หรือการกวนน้ำอมฤต ทำขึ้นเพื่อใคร
    สงครามการสู้รบระหว่างเหล่าเทพ เทวดา และยักษ์ อสูร ได้ดำเนินมาเนิ่นนานเพื่อแย้งชิงสวรรค์อันเป็นพื้นที่เดิมของพวกยักษ์ ในสมัยนั้นทั้งเทพและยักษ์ต่างมีฤทธิ์พอๆกัน เนื่องจากต่างฝ่ายก็มักจะได้รับพรจากพระศิวะ และพระพรหม (โดยปกติแล้วถ้าใครบำเพ็ญเพียรภาวนาด้วนความตั้งใจ จะไปขอพรจากมหาเทพพระศิวะ พระองค์ก็จะให้พรกับทุกๆคนโดยไม่เลือกว่าจะเป็นเทพ เทวดา ยักษ์ หรืออสูร ซึ่งหลังจากเกิดปัญหาจึงมี พระพิฆเนศ หรือพระพิฆเนศวร คอยทำหน้าที่สร้างอุปสรรค ไม่ให้ใครเข้าไปขอพรกันได้ง่ายๆ “พระพิฆเนศวร แปลว่าเทพแห่งอุปสรรค”)

    พระอินทร์ผู้นำทัพฝ่ายเทพและเทวดา ได้พยายามทุกวิถีทางเพื่อจะยึดสวรรค์มาให้ได้ แต่ไม่ว่าด้วยวธีใดก็ไม่สามารถครอบครองสวรรค์ได้สักที ด้วยเหตุว่าพระอินทร์ถูกฤาษีตนหนึ่งนามว่า ฤๅษีทุรวาส สาปไว้ โดยให้พระอินทร์และเหล่าเทวะบริวารทั้งหลายหมดฤทธิ์อำนาจ เมื่อต่อสู้กับยักษ์และอสูร เนื่องจากฤๅษีทุรวาสได้นำดอกไม้ร้อยมาลัยถวายให้พระอินทร์ ซึ่งมีกลิ่นหอมมาก และกลิ่นหอมนั้นทำให้ช้างเอราวัณมีอาการหงุดหงิดและเกิดอาละวาดเหยียบมาลัยดอกไม้ที่ฤๅษีทุรวาสถวายให้พระอินทร์ เป็นเหตุให้ฤๅษีทุรวาสโกรธมากจึงสาปพระอินทร์และเหล่าเทวดาอื่นๆบนสวรรค์ ที่มี ตำนานพระอินทร์ถูกสาป กล่าวไว้ (ไม่ได้ความว่า พระอินทร์ ไม่มีเก่งหรือไม่มีความสามารถ)

    เมื่อพระอินทร์ไม่สามารถรบชนะได้ จึงไปขอความช่วยเหลือจากพระศิวะและพระพรหม แต่พระศิวะและพระพรหมไม่สามารถช่วยได้ ด้วยถือว่าพรอันใดได้ประทานให้ใครไปแล้วก็ให้ไปเลย พระอินทร์จึงเหลือที่พึงสุดท้ายคือ พระนารายณ์หรือพระวิษณุ ให้ช่วย ซึ่งพระนารายณ์ก็แนะนำให้ไปทำพิธีกวนเกษียรสมุทร (เกษียรสมุทร แปลว่า ทะเลน้ำนม เป็นสถานที่พำนักของพระนารายณ์ ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของเขาพระสุเมรุ โดยชื่อทะเลน้ำนมนี้มาจากลักษณะพื้นน้ำที่เป็นสีเงินยวงราวกับน้ำนม เพราะได้รับรัศมีแห่งอัญมณีสีเงินยวงจากเขาพระสุเมรุมาทาบทับ แต่บ้างก็เชื่อว่า เป็นทะเลน้ำนมจริงๆ ตามที่ตั้งชื่อ) เพื่อให้ได้น้ำอมฤตมาดื่มจะได้มีพลังและไม่มีวันตาย แต่การจะกวนเกษียรสมุทรได้ จะใช้แค่ฝ่ายเทพก็ไม่พอเพราะต้องใช้กำลังพลเยอะมาก พระอินทร์ จึงออกบุบายทำสัญญาสงบศึกกับพวกยักษ์และชักชวนกันมาทำการกวนเกษียรสมุทร เมื่อได้น้ำอมฤตมา ก็แบ่งปันกันไป จากนั้นพระอินทร์ก็ให้พญานาควาสุกรีและพญานาคบริวาลมาช่วยใช้ลำตัวเป็นเชือกเพื่อใช้ในการชัก

    เมื่อเริ่มพิธีกวนเกษียรสมุทร ได้เทผสมโอสถสมุนไพรและสิ่งมงคลต่างๆลงใจกลางเกษียรสมุทร ซึ่งใช้แทนอ่างในการปรุงยา ใช้ภูเขามันทรคีรีมาตั้งบนทะเลน้ำนมที่อยู่ในไวผกูณฑ์สวรรค์ และให้พญานาคและบริวาลแทนเชือกชัก โดยพระอินทร์คิดไว้อยู่แล้วว่าถ้าชักนาคเมื่อไรพญานาคจะต้องเจ็บปวดมาก และต้องพ้นพิษออกมาแน่ๆ พระอินทร์จึงให้ยักษ์อยู่ทางหัวของพญานาค และให้เทพอยู่ทางหาง เมื่อเริ่มพิธีกวนเหล่าพญานาคก็พ้นไฟพิษไปโดนยักษ์ ต่างก็ทรมานทั้งยักษ์ทั้งนาค พิธีกรรมนี้ใช้เวลาชักเป็นพันปีกว่าจะได้น้ำอมฤต เมื่อพิธีกวนเกษียรสมุทร เพื่อกวนน้ำอมฤตเสร็จสิ้นลง จึงบังเกิดสรรพสิ่งวิเศษต่างๆ ผุดออกมาพร้อมน้ำอมฤต




    ตอบลบ
  2. สิ่งที่ได้จากการกวนน้ำอมฤต พิธีกวนเกษียรสมุทร


    ในระหว่างการกวนน้ำอมฤต ซึ่งใช้เวลานานมาก ได้เกิดของวิเศษ 14 อย่างผุดขึ้นมาคือ


    1. พิษหะลาหละ (Halahal) ลอยออกมาเป็นลำดับแรก “หะลาหละ” เป็นพิษร้ายแรง จากบรรดาพญานาคและพญางูที่ช่วยกันทำเป็นเชือกใช้ดึงในพิธีกวนเกษียรสมุทร ซึ่งพิษหะลาหละ ตกลงยังมนุษยโลก จะบังเกิดเป็นเพลิงกรดเผาไหม้โลกให้เป็นจุล พระศิวะมหาเทพ ทรงทราบด้วยทิพยญาณว่าพิษร้ายนี้ ไม่มีใครจะกำจัดลงได้ เว้นแต่พระองค์เอง เมื่อดำริดังนั้นแล้ว จึงทรงดื่มพิษหะลาหละนั้น ฝ่ายพระแม่ปรวาตี เห็นพระสวามีกลืนพิษร้าย จึงได้กดพระศอพระศิวะไว้ เพื่อไม่ให้พิษไหลลงสู่พระอุทรได้
    ด้วยความร้ายกาจแห่งพิษนั้น ยังมีผลให้พระศอพระศิวะเป็นสีดำ พระองค์จึงมีอีกพระนามหนึ่งว่า นิลกัณฐ์ (Neelakanta) หรือผู้มีคอสีนิล นับแต่นั้นเป็นต้นมา และสีดำได้กลายเป็นสีของความรักอันบริสุทธิ์ของชาวฮินดู

    2. จันทรา (Chandra) ดวงจันทร์ (ไม่ใช่พระจันทร์ ที่เป็นเทพ) โดยทั้งฝ่ายเทวดา และอสูรต่างพร้อมใจกันถวายให้พระศิวะมหาเทพ เพื่อตอบแทนที่พระองค์นั้นทรงเสียสละดื่มกินพิษหะลาหละ พระองค์จึงนำมาทำปิ่นประดับพระเกศา

    3. เพชรเกาสุภตะ (Kaustubh) เป็นเพชรล้ำค่าในสามโลก ต่อมาพระนารายณ์ได้นำไปประดับพระอุระ

    4. พระศรีลักษมีในดอกบัว (Lakshmi) ดอกบัวที่พระศรีลักษมี ประทับอยู่ภายในดอกบัว เมื่อเสด็จออกมาจากดอกบัวก็ตรงไปเข้าเฝ้าพระนารายณ์ เพื่อถวายองค์เป็นพระมเหสี

    5. วารุณี (Varuni) เทพีแห่งสุรา ต่อมาได้เป็นชายาของพระพิรุณ

    6. ช้างไอราวัต (Airavata) หรือช้างเอราวัณ ซึ่งเป็นช้างเผือกสามเศียร ซึ่งเป็นเทพพาหนะของพระอินทร์

    7. ม้าอุจฉัยศรพ (Uchchaihshravas) ม้าเจ็ดเศียร พระอาทิตย์รับไปเป็นม้าทรงราชรถ และเป็นต้นเหตุของการพนันระหว่างนางวินตาและนางกัทรุในตำนานการเกิดของครุฑ

    8. ต้นปาริชาติ (Parijat) เป็นต้นไม้ทิพย์ สามารถอำนวยความสำเร็จให้แก่ผู้ขอพร

    9. กามเธนุ (Kamadhenu) แปลว่าแม่โคอันพึงปรารถนา รู้จักกันอีกในนามหนึ่งว่า “โคสุรภี” (Surabhi) ซึ่งต่อมาให้กำเนิดวัวอุสุภราชหรือนันทิเกศวร (Nandi) อันเป็นเทพพาหนะทรงของพระอิศวร โดยมีเทวดานามเวตาลเป็นพ่อ (บางตำนานว่ากัศยปมุนี ปรารถนาจะนำโคกามเธนุไปเป็นพาหนะ แต่ติดว่าเป็นโคเพศเมีย จึงเนรมิตตนเป็นพ่อโคเข้าผสมด้วยโคกามเธนุจนเกิดลูกโคสีขาวบริสุทธิ์ ตั้งชื่อให้ว่า อุศุภราช มีลักษณะงดงามตามตำราจึงได้นำไปถวายพระอิศวร เพื่อเป็นเทพพาหนะบางตำรากล่าวว่านนทิเกศวรแท้จริงแล้วคือเทพบุตรนามว่า นนทิ เป็นผู้เฝ้าสัตว์ในเขาไกรลาสและหัวหน้าแห่งปวงศิวะสาวก เมื่อพระศิวะปรารถนาจะไปยังที่ใด นนทิก็จะแปลงกายให้เป็นโคเผือก เพื่อเป็นเทพพาหนะ) อันแม่วัวกามเธนุนั้น เป็นโควิเศษ สามารถเนรมิตสิ่งต่าง ๆ ตามที่เจ้าของปรารถนาได้

    10. หริธนู (Haridhanu) หมายถึง ธนูของพระหริ เป็นธนูที่ยิงไปไม่มีวันพลาดเป้า เป็นของพระนารายณ์(พระวิษณุ)
    มหากาพย์มหาภารตะ วิษณุปุราณะ และมหากาพย์รามายณะ มิได้กล่าวถึงธนูนี้ ว่ามาจากการกวนเกษียรสมุทร มีเพียงในปุราณะเท่านั้นที่กล่าวถึง ทำให้บางคนไม่ยอมรับว่า หริธนู อาวุธคู่กายพระนารายณ์ เกิดจากพิธีกวนเกษียรสมุทร

    11. สังข์ (Shankha) เป็นสังข์ศักดิ์สิทธิ์ ต่อมาตกเป็นของพระนารายณ์ และพระกฤษณะใช้สำหรับเป่าบันลือเสียงบังเกิดชัยชนะแก่ศัตรู

    12. ปวงเทพีอัปสรสวรรค์ เหล่านางอัปสร (Apsara) 35 ล้านตน แต่ไม่มีใครยอมรับเอาไปครอบครอง จึงตกเป็นสมบัติส่วนกลาง มีหน้าที่คอยบำรุงบำเรอความสุขให้แก่เหล่าเทวดาและอสูรในเวลาต่อมา

    13. พระธันวันตริ (Dhanvantari) แพทย์สวรรค์อวตารปางหนึ่งของพระนารายณ์ ทูน (วางของไว้บนศีรษะ) หม้อน้ำทิพย์อมฤตไว้บนหัว

    14. หม้อน้ำอมฤต (Amrita) เป็นการผุดขึ้นมาพร้อมกันของ ธันวันตริและหม้อน้ำอมฤตทูนหัว แล้วค่อยๆ ประคองวางหม้อน้ำอมฤตลงบนแท่นบัวทองคำอันวิจิตรสถิตอยู่ริมฝั่งเกษียรสมุทร

    ตอบลบ

  3. เมื่อหม้อน้ำอมฤตได้รับการทูนออกมา พวกอสูรและเทวดาก็แย่งกัน แต่เทวดาสู้ไม่ได้ พระนารายณ์จึงแปลงกายเป็นนางอัปสรชื่อ “โมหิณี (Mohini)” ไปล่อลวงอสูรให้หลงใหลในความงามของนาง พวกยักษ์กำลังแย่งชิง เมื่อเห็นนางอัปสรที่งดงาม จึงพากันไล่จับนางอัปสรจนลืมว่าพวกตนกำลังแย่งน้ำอมฤต ในระหว่างที่พวกยักษ์ไล่จับนางอัปสร ทำให้บรรดาเทพและเทวดาทั้งหลายได้ดื่มน้ำอมฤตกันถ้วนทั่ว มีเพียงอสูรตนหนึ่ง ซึ่งมีปัญญาเฉลียวฉลาดกว่าอสูรตนอื่นนามว่า “ราหู (Rahu)” ที่ไม่หลงกล ได้แปลงกายเป็นเทวดามาดื่มด้วย แต่พระอาทิตย์กับพระจันทร์รู้เข้าจึงไปฟ้องพระนารายณ์ พระนารายณ์ขว้างจักรสุทรรศน์ไปตัดอสูรราหูขาดกลางลำตัว แบ่งเป็นสองท่อน แต่ด้วยอำนาจของน้ำอมฤตที่ดื่มไปทำให้พระราหูไม่ตาย ท่อนล่างเป็นงู ต่อมาเรียกกันว่า “พระเกตุ (Ketu)” ส่วนท่อนบนคือ พระราหู ที่รู้จักกันในปัจจุบัน ที่เหลือเพียงแต่ท่อนบนจากหัวถึงลำตัวจนทุกวันนี้ และพระราหูยังโกรธแค้นพระอาทิตย์กับพระจันทร์มาก หากเจอเมื่อใดเห็นจะต้องเข้าอมเล่นเพื่อบดบังรัศมี


    พิธีกวนเกษียรสมุทรนี้ เป็นคำแนะนำอันแยบยลของพระนารายณ์ พิธกวนเกษียรสมุทรทำเพื่อพระอินทร์และเหล่าบรรดา เทพ เทวดาบนสวรรค์ทั้งหลายที่ต้องคำสาปจากฤาษี นามว่า ฤๅษีทุรวาส




    ตอบลบ