กินยาให้ครบวัณโรคหายขาด
🦠 วัณโรค (Tuberculosis) เป็นโรคติดต่อชนิดหนึ่งที่เกิดจากเชื้อ Mycobacterium tuberculosis นอกจากจะทำให้เกิดวัณโรคปอด
แล้ว ยังส่งผลให้เกิดวัณโรคกับอวัยวะต่าง ๆ ในร่างกายได้ เช่น ต่อมน้ำเหลือง กระดูกสันหลัง ข้อ ลำไส้ เยื่อหุ้มสมอง เป็นต้น
วัณโรคสามารถรักษาได้ด้วยการกินยารักษาวัณโรค หากผู้ป่วยให้ความร่วมมือในการรักษาอย่างต่อเนื่อง
การติดต่อ
🦠 เชื้อวัณโรคเข้าสู่ร่างกายโดยการหายใจรับเชื้อโรคที่ปะปนอยู่ในละอองฝอย ขณะที่ผู้ป่วยไอ จาม บัวนน้ำลาย ขากเสมหะ หรือการใช้เสียง เชื้อวัณโรคที่ตกลงสู่พื้นหรือติดอยู่กับผิวสัมผัสของวัตถุอื่นๆ จะถูกทำลายไปได้ง่ายโดยแสงสว่างและอะอากาศที่ถ่ายเทสะดวก ดังนั้น สมาชิกในครอบครัว ผู้ร่วมอาศัย รวมถึงเพื่อนร่วมงานที่ใกล้ชิดกับผู้ป่วยวัณโรค ควรมาพบแพทย์เพื่อตรวจคัดกรองผู้สัมผัสโรค และรับการรักษาแต่เนิ่น ๆ
ปัจจัยเสี่ยงของการเกิดวัณโรค
1. สภาพร่างกาย ความแข็งแรงของแต่ละบุคคล โดยเฉพาะเด็กเล็กและผู้สูงอายุมีความเสี่ยงในการเป็นวัณโรคได้ง่าย
2. ผู้เป็นโรคเรื้อรัง เช่นโรคเบาหวาน โรคพิษสุราเรื้อรัง โรคเอดส์ หรือผู้ที่ได้รับยากดภูมิคุ้มกัน
3. ระยะเวลาและความใกล้ชิดกับผู้ป่วยวัณโรค
อาการของผู้ป่วยวัณโรค
ในระยะแรกจะสังเกตได้ยากเพราะอาการเกิดขึ้นอย่างช้า ๆ ผู้ป่วยอาจไม่รู้ตัวว่าเป็นวัณโรค อาการที่พบได้แก่
🦠 มีไข้เรื้อรังต่ำ ๆ มักจะเป็นตอนเย็นหรือบ่าย บางรายมีเหงื่อออกตอนกลางคืน
🦠 อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร น้ำหนักลด
🦠 ไอเรื้อรังนานเกิน 3 สัปดาห์ อาจมีเลือดออกร่วมได้
แนวทางการรักษา
แม้วัณโรคจะสามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่มีโอกาสกลับไปเป็นซ้ำได้เช่นกัน หากผู้ป่วยรับประทานยาไม่ครบตามกำหนด ดังนั้น เป้าหมายสำคัญในการรักษา คือ การรักษาให้หายขาดเพื่อหยุดการแพร่กระจายเชื้อ และป้องกันการดื้อยาของเชื้อวัณโรค
💊 ผู้ป่วยวัณโรคมีระยะเวลาในการรักษาทั้งหมด 6 เดือน โดย 2 เดือนแรกต้องรับประทานยา 4 ชนิด เช่น isoniazid, rifampicin, pyrazinamide, ethambutol
💊 เมื่อรักษาครบ 2 เดือนแพทย์จะตรวจเสมหะหรือเอกซเรย์ปอดช้ำ หากมีการตอบสนองที่ดีแพทย์จะลดยาเหลือ 2 ชนิด และให้การรักษาต่อไปอีก 4 เดือน
การปฏิบัติตัวสำหรับผู้ป่วยวัณโรค
ข้อควรปฏิบัติ
💊 ต้องรับประทานยาให้ครบตามที่แพทย์กำหนด หลังได้รับการรักษาไปแล้ว 2 - 4 สัปดาห์อาการจะดีขึ้น ไข้ลดลง ไอน้อยลง รับประทานอาหารได้มากขึ้น น้ำหนักเพิ่มขึ้น เมื่อผู้ป่วยมีอาการดีขึ้นมักเข้าใจผิดว่ารักษาหายแล้วจึงไม่รับประทานยาต่อ แต่ในความเป็นจริงการรับประทานยาไม่ครบตามกำหนดไม่สามารถรักษาให้หายได้ และทำให้เชื้อดื้อยา ส่งผลให้การรักษายากขึ้นหรือรักษาไม่ได้เลย
💊 แพทย์จะให้ผู้ป่วยรับประทานยาวันละ 1 ครั้ง ส่วนใหญ่คือก่อนนอน ห้ามแบ่งรับประทานยาหลายเวลาตามมื้ออาหาร เพราะจะทำให้ระดับยาในการรักษาไม่ดีเท่าที่ควร
💊 หลังรับประทานยาหากมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน หรือมีผื่นคัน ให้ติดตามผลข้างเคียงอย่างใกล้ชิด หากมีอาการเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ให้หยุดยาทั้งหมดแล้วรีบมาพบแพทย์
💊 ในช่วงแรกของการรักษาผู้ป่วยควรแยกห้องนอนและหลีกเลี่ยงการใกล้ชิดกับผู้อื่น หลังรับประทานยาแล้ว 2 สัปดาห์สามารถใช้ชีวิตร่วมกับผู้อื่นได้ตามปกติ
💊 ขณะไอหรือจามต้องใช้ผ้าปิดปาก ปิดจมูก บ้วนเสมหะลงในภาชนะหรือถุงที่ปิดมิดชิด แล้วนำไปทิ้งในถังขยะเพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อ
💊 รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ ดูแลร่างกายให้แข็งแรง เพื่อเสริมสร้างภูมิต้านทาน และออกกำลังกายได้ตามความความเหมาะสม
💊 ควรอยู่ในสถานที่ ๆ มีอากาศถ่ายเทได้สะดวก ห้องมีลักษณะโปร่ง โล่ง มีหน้าต่าง
ข้อควรหลีกเลี่ยง
🩸 งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หลีกเลี่ยงการใช้ยาอื่น ๆ ที่ไม่จำเป็นเพื่อลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคตับอักเสบจากยา และผลข้างเคียงอื่น ๆ
🩸 ควรหลีกเลี่ยงการเดินทางในที่สาธารณะที่มีผู้คนแออัด เช่น โรงภาพยนตร์ ท้างสรรพสินค้า หรือการเดินทางด้วยยานพาหนะร่วมกับผู้อื่นเป็นเวลานานเกิน 8 ชั่วโมงขึ้นไป
🩸 ควรหลีกเลี่ยงการตั้งครรภ์ในระหว่างรักษาวัณโรค เลี่ยงการใช้ยาคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนเอสโตรเจน เพราะจะทำให้การคุมกำเนิดไม่ได้ผล
ที่มา :: https://www.siphhospital.com/
บทความที่เกี่ยวข้อง
Rifampicin (ไรแฟมพิซิน) ยารักษาวัณโรค
รายการยาและการสนับสนุนยารักษาวัณโรค วัณโรคดื้อยาและวัณโรคระยะแฝง