Rifampicin (ไรแฟมพิซิน) ยารักษาวัณโรค
Rifampicin (ไรแฟมพิซิน) คือ ยาปฏิชีวนะที่ทางการแพทย์ใช้ป้องกันหรือรักษาวัณโรค รักษาการติดเชื้อในจมูกและลำคอจากแบคทีเรียบางชนิดที่เป็นสาเหตุของโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ โรคไข้กาฬหลังแอ่นชนิดเยื่อหุ้มสมองอักเสบ หรือโรคติดเชื้อชนิดอื่น รวมทั้งช่วยป้องกันการแพร่เชื้อดังกล่าวไปสู่ผู้อื่น แต่จะไม่นำมาใช้รักษาโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบในระยะที่แสดงอาการแล้ว
เกี่ยวกับ Rifampicin
กลุ่มยา | ยาปฏิชีวนะ |
ประเภทยา | ยาตามใบสั่งแพทย์ |
สรรพคุณ | ป้องกันหรือรักษาวัณโรค รักษาโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบในระยะยังไม่แสดงอาการ |
กลุ่มผู้ป่วย | เด็กและผู้ใหญ่ |
รูปแบบของยา | ยารับประทาน ยาฉีดเข้าเส้นเลือด |
คำเตือนการใช้ยา Rifampicin
- หากเคยมีประวัติแพ้ไรแฟมพิซิน ยา อาหาร หรือสารชนิดอื่น ๆ ควรแจ้งให้แพทย์ทราบก่อนใช้ยา
- ไม่ควรใช้ยาชนิดนี้ หากกำลังใช้ยาต้านเชื้อเอชไอวี เช่น ซาควินาเวียร์ ริโทนาเวียร์ เป็นต้น เนื่องจากยาไรแฟมพิซินอาจทำให้ประสิทธิภาพของยาต้านเชื้อเอชไอวีลดลง
- ห้ามฉีดวัคซีนทุกชนิดขณะใช้ยาไรแฟมพิซิน เพราะอาจทำให้ประสิทธิภาพของวัคซีนลดลง ยกเว้นกรณีที่แพทย์แนะนำ
- แจ้งประวัติการเจ็บป่วยให้แพทย์ทราบ โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคเบาหวาน โรคตับ โรคติดเชื้อเอชไอวี หรือผู้ที่มีประวัติติดแอลกอฮอล์ เพราะยาไรแฟมพิซินอาจส่งผลให้อาการของโรคนั้น ๆ รุนแรงขึ้น หรืออาจทำปฏิกิริยากับยาชนิดอื่นที่กำลังรับประทานอยู่
- หากกำลังใช้ยา สมุนไพร หรือผลิตภัณฑ์เสริมอาหารชนิดใดก็ตาม ควรแจ้งให้แพทย์ทราบก่อนใช้ยาชนิดนี้
- หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ขณะใช้ยา
- ห้ามใส่คอนแทคเลนส์ขณะใช้ยา เนื่องจากยาไรแฟมพิซินอาจทำให้สีของน้ำตาเปลี่ยนไป ส่งผลให้เกิดคราบติดบนคอนแทคเลนส์อย่างถาวรได้
- ผู้ที่กำลังใช้ยาไรแฟมพิซินต้องแจ้งให้แพทย์ทราบก่อนวางแผนผ่าตัดหรือรับการรักษาทางทันตกรรม
- ห้ามขับรถ ใช้เครื่องจักร หรือทำกิจกรรมที่มีความเสี่ยงสูงขณะใช้ยา เพราะยาชนิดนี้อาจมีผลข้างเคียงทำให้รู้สึกวิงเวียนศีรษะหรือง่วงซึม
- ยาไรแฟมพิซินอาจส่งผลให้ยาคุมกำเนิดมีประสิทธิภาพลดลง ขณะใช้ยานี้จึงควรใช้วิธีคุมกำเนิดด้วยรูปแบบอื่นที่ไม่ใช้ฮอร์โมนแทน เช่น ถุงยางอนามัย ห่วงคุมกำเนิด เป็นต้น
- หญิงตั้งครรภ์และหญิงที่กำลังให้นมบุตรควรแจ้งให้แพทย์ทราบก่อนใช้ยาและควรใช้ยาเมื่อจำเป็นเท่านั้น เพราะการใช้ยาไรแฟมพิซินในช่วงก่อนคลอด 2-3 สัปดาห์ อาจทำให้มารดาหรือทารกเสี่ยงมีภาวะเลือดออกได้
ปริมาณการใช้ยา Rifampicin
ผู้ใหญ่
ยารับประทาน
- ผู้ที่มีน้ำหนักน้อยกว่า 50 กิโลกรัม รับประทานวันละ 1 ครั้ง ครั้งละ 450 มิลลิกรัม
- ผู้ที่มีน้ำหนัก 50 กิโลกรัมขึ้นไป รับประทานวันละ 1 ครั้ง ครั้งละ 600 มิลลิกรัม
ยาฉีดเข้าเส้นเลือด
- ฉีดยาวันละ 1 ครั้ง ครั้งละ 10 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ปริมาณสูงสุดไม่เกิน 600 มิลลิกรัมต่อวัน
เด็ก
ยารับประทาน
- รับประทานวันละ 1 ครั้ง ครั้งละ 10-20 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ปริมาณสูงสุดไม่เกิน 600 มิลลิกรัมต่อวัน
ยาฉีดเข้าเส้นเลือด
- ฉีดยาวันละ 1 ครั้ง ครั้งละ 10 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ปริมาณสูงสุดไม่เกิน 600 มิลลิกรัมต่อวัน
ป้องกันโรคไข้กาฬหลังแอ่นในกรณีเป็นพาหะแพร่เชื้อ
ผู้ใหญ่
ยารับประทาน
- รับประทานครั้งละ 600 มิลลิกรัม วันละ 2 ครั้ง ติดต่อกัน 2 วัน
ยาฉีดเข้าเส้นเลือด
- ฉีดยาครั้งละ 600 มิลลิกรัม วันละ 2 ครั้ง ติดต่อกัน 2 วัน
เด็ก
ยารับประทาน
- ทารกอายุน้อยกว่า 1 เดือน รับประทานครั้งละ 5 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ทุก ๆ 12 ชั่วโมง ติดต่อกัน 2 วัน
- ทารกอายุตั้งแต่ 1 เดือนขึ้นไป รับประทานยาครั้งละ 10 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ทุก ๆ 12 ชั่วโมง ติดต่อกัน 2 วัน ปริมาณสูงสุดไม่เกิน 600 มิลลิกรัมต่อครั้ง
ยาฉีดเข้าเส้นเลือด
- ทารกอายุน้อยกว่า 1 เดือน ฉีดยาครั้งละ 5 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ทุก ๆ 12 ชั่วโมง ติดต่อกัน 2 วัน
- ทารกอายุตั้งแต่ 1 เดือนขึ้นไป ฉีดยาครั้งละ 10 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ทุก ๆ 12 ชั่วโมง ติดต่อกัน 2 วัน ปริมาณสูงสุดไม่เกิน 600 มิลลิกรัมต่อครั้ง
การใช้ยา Rifampicin
- ใช้ยาตามคำแนะนำของแพทย์ ไม่ควรใช้ในปริมาณมากกว่า น้อยกว่า หรือใช้ติดต่อกันนานกว่าที่กำหนด
- ควรรับประทานยาไรแฟมพิซินขณะท้องว่าง ก่อนรับประทานอาหาร 1 ชั่วโมง หรือหลังรับประทานอาหาร 2 ชั่วโมง
- ไม่ควรรับประทานยาลดกรดใน 1 ชั่วโมงแรกหลังจากใช้ยาไรแฟมพิซินชนิดแคปซูล เพราะอาจทำให้ประสิทธิภาพของยาไรแฟมพิซินลดลง
- ควรรับประทานยาติดต่อกันให้ครบตามที่แพทย์แนะนำและรับประทานให้ตรงเวลา เพราะการใช้ยาไม่สม่ำเสมอหรือหยุดใช้ยาก่อนครบกำหนด อาจทำให้เสี่ยงต่อการดื้อยาและส่งผลกระทบต่อการทำงานของไตได้
- หากลืมรับประทานตามเวลาที่กำหนดให้รับประทานทันทีที่นึกได้ หากใกล้ถึงเวลาแล้ว ให้ข้ามไปรับประทานครั้งต่อไปได้เลย โดยไม่ต้องเพิ่มปริมาณเป็น 2 เท่า
- เก็บยาไว้ที่อุณหภูมิห้อง ป้องกันไม่ให้ถูกแสงแดด และใส่ในภาชนะที่ปิดฝาสนิททุกครั้งหลังใช้
ผลข้างเคียงจากการใช้ยา Rifampicin
ผลข้างเคียงจากการใช้ยาไรแฟมพิซินที่พบได้บ่อย คือ แสบร้อนกลางอก เกิดแก๊สในกระเพาะอาหาร ท้องเสีย เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง ปวดศีรษะ มึนงง อ่อนเพลีย กล้ามเนื้ออ่อนแรง เจ็บตามแขนหรือขา มองเห็นผิดปกติ ผิวแดง พฤติกรรมเปลี่ยนไป หรือไม่มีสมาธิ รวมทั้งอาจทำให้สารคัดหลั่งของร่างกายเปลี่ยนเป็นสีแดงอมน้ำตาล เช่น เหงื่อ ปัสสาวะ น้ำลาย น้ำตา เป็นต้น ทั้งนี้ ยาไรแฟมพิซินอาจส่งผลข้างเคียงรุนแรง ผู้ป่วยควรไปพบแพทย์ทันทีหากมีอาการต่อไปนี้
- มีอาการแพ้ เช่น หายใจลำบาก เป็นลมพิษ ใบหน้า คอ ริมฝีปาก หรือลิ้นบวม
- มีเลือดออก เช่น เลือดกำเดาไหล เลือดออกตามไรฟัน
- มีอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่ เช่น มีไข้ หนาวสั่น ปวดตามร่างกาย ปวดศรีษะ รู้สึกมึนงง เป็นต้น
- ท้องเสียรุนแรง ถ่ายเป็นน้ำหรือถ่ายเหลวมีเลือดปน
- ตับทำงานผิดปกติ ส่งผลให้ปวดท้องส่วนบน รู้สึกเหนื่อย เบื่ออาหาร ปัสสาวะมีสีเข้ม มีภาวะดีซ่าน
- เกิดความผิดปกติทางผิวหนังอย่างรุนแรง เช่น บวมตามใบหน้า ลำคอ ลิ้น หรือริมฝีปาก รู้สึกแสบร้อนบริเวณตา เจ็บปวดตามผิวหนัง ตามมาด้วยผื่นแดงตามร่างกาย โดยเฉพาะบริเวณใบหน้าหรือลำตัวช่วงบน และผิวลอก
รายการยาและการสนับสนุนยารักษาวัณโรค วัณโรคดื้อยาและวัณโรคระยะแฝง
https://online.pubhtml5.com/nqgq/bzmr/
CR :: https://www.pobpad.com/rifampicin
อาการไม่พึงประสงค์จากยา แบ่งเป็นผลข้างเคียงรุนแรงและไม่รุนแรง ดังนี้
ตอบลบ1. ผลข้างเคียงรุนแรง ถ้ามีอาการเหล่านี้ควรหยุดยาแล้วไปพบแพทย์ทันที*
- การได้ยินผิดปกติ
- เวียนหัวเดินเซ
- ผื่น มีไข้เจ็บคอ เจ็บตา
- การมองเห็นผิดปกติ
- ตัวเหลือง ตาเหลือง
* หากมีอาการด้านบนเกิดขึ้น แพทย์อาจเปลี่ยนสูตรการรักษา ซึ่งให้ประสิทธิภาพและผลลัพธ์เช่นเดียวกันกับสูตรปกติ
2. ผลข้างเคียงไม่รุนแรง ถ้ามีอาการเหล่านี้สามารถใช้ยาต่อได้แต่ควรแจ้งแพทย์ให้ทราบ**
- คลื่นไส้ อาเจียน
- ผื่นคันเล็กน้อย
- ชามือ ชาเท้า
- ปวดข้อ ปวดกล้ามเนื้อ
** ปัสสาวะ น้ำตา และเหงื่อ เปลี่ยนเป็นสีส้ม – แดง เกิดจากสีของตัวยา “ไรแฟมพิซิน” ที่ขับออกมา ซึ่งเกิดขึ้นกับผู้ป่วยที่ได้รับยานี้ทุกราย เป็นอาการที่ไม่อันตราย ไม่จำเป็นต้องแจ้งเพทย์ ในกรณีที่ผู้ป่วยใช้คอนแทคเลนส์ชนิดนิ่ม(Soft-lens) ตัวยาในน้ำตาจะเปลี่ยนสีคอนแทคเลนส์อย่างถาวร ดังนั้นในระหว่างการรักษา จึงควรเปลี่ยนจากคอนแทกเลนส์มาใช้เป็นแว่นตาแทน
การป้องกันการแพร่เชื้อวัณโรค
- ใส่หน้ากากอนามัยอย่างน้อย 2 เดือน หลังแพทย์วินิจฉัยว่าติดเชื้อวัณโรค
- ใช้ผ้าเช็ดหน้าทุกครั้งที่ไอหรือจาม
- ล้างมือให้สะอาดทุกครั้งที่สัมผัสสารคัดหลั่ง*ของผู้ป่วย
- ผาทำลายขยะที่สัมผัสสารคัดหลั่ง*ผู้ป่วย
- ทิ้งขยะของผู้ป่วยในถังขยะที่มีถุงรองรับและมีฝาปิดสนิท
- มาตรวจตามนัดหรือเมื่อมีอาการมากขึ้น
- รับประทานยาถูกต้องและสมํ่าเสมอ
*สารคัดหลั่ง คือ น้ำมูก น้ำลาย เสมหะ
ผลข้างเคียงของยารักษาวัณโรค Rifampicin
ตอบลบ1. อาการข้างเคียงต่อระบบทางเดินอาหาร พบร้อยละ 1-2 ได้แก่ คลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร ปวด ยอดอก ปวดท้อง ท้องเสีย Pseudo membranous colitis และตับอ่อนอักเสบ
2. ผื่นแดง ผื่นคัน ลมพิษ พบร้อยละ 1-5
3. อาการคล้ายหวัด (ไข้ หนาวสั่น ปวดศีรษะ ปวดเมื่อย) พบมากเมื่อใช้ยาขนาดเกินกว่า 600 มิลลิกรัมต่อวัน
4. น้ำคัดหลั่งต่างๆ เช่น น้ำตา น้ำลาย เสมหะ เหงื่อ ปัสสาวะและอุจจาระมีสีแดงส้ม และอาจทำ ให้เลนส์สัมผัสชนิดนุ่มติดสีถาวรได้
5. ตับอักเสบ ควรหยุดยาทันทีเมื่อพบว่ามีภาวะตับอักเสบ
6. เกล็ดเลือดต่ำโดยมากจะพบในการให้บาขนาดสูง เมื่อหยุดยาอาการจะกลับเป็นปกติ
7. ปวดศีรษะ วิงเวียน ง่วงซึม
ข้อควรระวังในการใช้ยารักษาวัณโรค Rifampicin
- ยานี้อาจจะทำให้เกิดตับอักเสบ ดังนั้นผู้ป่วยที่เป็นโรคตับ หรือมัประวัติดื่มสุรา หรือรับประทานยาอื่นที่อาจจะมีผลต่อตับจะต้องติดตามใกล้ชิด
- ถึงแม้ว่าจะไม่มีโรคตับก็ต้องเฝ้าดูอาการของตับอักเสบ
- ผู้ป่วยเบาหวานที่รับประทานยานี้อาจจะทำให้น้ำตาลในเลือดสูงขึ้น
- ผู้ป่วยวัณโรคที่รับยา rifampin 600 มก สัปดาห์ละ1-2 ครั้งพบว่าจะมีภาวะเกล็ดเลือดต่ำดังนั้นจะต้องติดตาม
- ยานี้จะมีผลต่อยาที่รับประทานหลายชนิดโดยเฉพาะยาต้านเลือดแข็ง warfarin ยารักษาโรคหัวใจ โรคเบาหวาน ยารักษาโรคเอดส์ ยานี้อาจรบกวนประสิทธิผลของยาเม็ดคุมกำเนิด ควรคุมกำเนิดโดยวิธีอื่นร่วมด้วยดังนั้นจะต้องแจ้งให้แพทย์ทราบถึงยาที่รับประทานอยู่ เพราะอาจจะต้องมีการปรับยา
เมื่อเกิดอาการข้างเคียงควรทำอย่างไร
ไม่ค่อยพบอาการข้างเคียงจากยานี้ แต่ก็เกิดขึ้นได้ ปัสสาวะ อุจจาระ น้ำลาย เสมหะ น้ำตาจะมีสีส้มแดงแต่ไม่มีอันตราย ผู้ที่ใส่คอนแทคเลนส์ชนิดนิ่มอาจติดสีนี้ได้ หากมีอาการปวดศีรษะ ปวดเจ็บกล้ามเนื้อ แสบยอดอก คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง ท้องเสีย รุนแรงควรพบแพทย์ อาการทางกระเพาะอาหารอาจดีขึ้นหากรับประทานยาพร้อมอาหาร หากมีผื่น มีไข้ ตัวเหลือง ตาเหลือง ให้หยุดยาแล้วพบแพทย์ทันที
ความปลอดภัยของยานี้ในสตรีมีครรภ์ สำหรับสตรีมีครรภ์ ยานี้จัดอยู่ในประเภท C