แฟรี่ (Fairy) คืออะไร?
ตำนานสัตว์มหัศจรรย์
ตอน แฟรี่
เมื่อจะเล่าถึงเรื่องแฟรี่ ทำ
เอาผมปวดหัวเป็นกำลัง ก็มันมีปัญหาตรงที่ตามพจนานุกรมไทยไม่ว่าตอนนี้หรือตอนไหน คำนี้แปลว่านางฟ้าครับ ตอนเด็กๆผมก็เข้าใจว่าคงเหมือนเทวดานางฟ้าบ้านเราที่อาศัยอยู่บนสวรรค์ แต่..ยิ่งเวลาผ่านมากเข้า มันไม่ยักใช่อย่างนั้นเลยสิครับ แฟรี่ไม่เหมือนนางฟ้าในมโนนึกแต่ประการใด แต่เป็นสิ่ง (ที่คาดว่ามี และ..) มีชีวิต อาศัยอยู่บนพื้นแผ่นดิน อย่างยิ่งในอังกฤษ ดังนั้น ผมขอเรียกว่า
แฟรี่ ภูตแผ่นดิน ท่านผู้อ่านจะเข้าใจมากกว่า
อันนี้ผมไม่ได้มีเจตนาลบหลู่หรือลบล้างแต่ประการใด แค่ขออธิบายเท่านั้น....
แฟรี่ (Fairy) คืออะไร?
ผมเล่าแบบวิชาการเสียหน่อยก่อนก็แล้วกันครับ ฝรั่งเจ้าตำนานท่านว่าไว้ว่า แฟรี่คืออมนุษย์ชนิดหนึ่ง หรือจะเรียกว่าภูตแผ่นดินชนิดหนึ่งก็ไม่น่าจะผิด แต่เดิมเชื่อว่าพวกนี้คล้ายคน สูงสง่าหน้าตาดี ก็คำว่าแฟรี่ fairy (fair=สวย สำอาง ผ่อง พริ้งเพราฯลฯ) โดยนัยก็มีหมายความแบบนี้อยู่แล้ว กระนั้นกระแสเดิมก็ยังว่า คำนี้เดิมมาจากคำละตินว่า fata หมายถึง “fate” ชะตากรรม เลยมีการเชื่อมต่อแฟรี่เข้ากับเทพีชะตากรรม เทพีเฟทของกรีกผู้กุมชะตาชีวิตมนุษย์ แต่ก็มีทฤษฎีรากเดิมอื่นๆอีกนะครับที่ถือว่า แฟรี่คือ “เทวดาที่ถูกลดขั้น” ต้องอยู่ระหว่างสวรรค์และนรก (ซึ่งก็คือโลกมนุษย์ของเรานี่ล่ะ) พวกนี้จึง
มีอุปนิสัยทั้งดีและร้ายระคนกัน แฟรี่มีทั้งเพศหญิงและเพศชาย รูปร่างเหมือนมนุษย์ตัวเล็กๆ อยู่ในวัยหนุ่มสาวเสมอ ฉลาดเฉลียวเป็นพวกอมตะไม่ตาย หรือไม่ก็มีช่วงอายุนานจนเลยอายุปกติของมนุษย์ แฟรี่เป็นพวกมีพลังวิเศษ มีฤทธิ์เวทมนตร์ ดูเหมือนจะมากกว่าภูตแผ่นดินชนิดอื่นๆ สามารถเหินไปในอากาศได้ ร่ายเวทย์ ทำนายอนาคตได้ และที่สำคัญอวยพรให้มนุษย์ได้ ส่วนจะเป็นพรดีหรือพรร้ายก็แล้วแต่โชคชะตาฟ้าลิขิตว่ามนุษย์คนนั้นเจอแฟรี่แบบไหน หรืออารมณ์ไหน
คาดว่าพวกแฟรี่น่าจะตัวสูงสง่าหล่อเหล่าอยู่นานทีเดียวครับ กระทั่งมาถึงศตวรรษที่ 14 เป็นต้นมานั่นแหละ ไปไงมาไง ไม่รู้ตัว
แฟรี่ก็ชักจะหดลงเรื่อยๆ จนเหลือแค่ระดับหัวเข่ามนุษย์ ไล่เลี่ยกับภูตแผ่นดินอื่นๆ ไม่ว่าพิกซี่ โนม หรือเลเปอคาน ฯลฯ ต่างกันตรงที่
แฟรี่มักไม่ค่อยมีพวกหน้าตาน่าเกลียดเหมือนภูตแผ่นดินชนิดอื่นๆ ส่วนใหญ่หน้าตาดีกันหมดละครับ
ว่าถึงความสามารถที่จะเหินไปในอากาศของแฟรี่ เมื่อก่อนก็ไปด้วยอำนาจเวทย์ของตนหรือไม่ก็ขี่หลังนกครับ แต่พอมาถึงสมัยวิกตอเรียเป็นต้นมาแฟรี่กลายเป็นภูติแผ่นดินมีปีกซะงั้น (คาดว่าคงมาจากภาพถ่ายใช้เทคนิคแต่งภาพจากฝีมือคนที่อ้างว่าถ่ายตัวแฟรี่ได้ครับ) มีทั้งแบบที่เป็นปีกผีเสื้อและปีกแมลงถ้านึกไม่ออกก็ลองนึกถึงตัวการ์ตูนละคร
ทิงเคอร์เบลล์ในเรื่องปีเตอร์แพน นั่นล่ะครับ...แฟรี่มีปีก
ที่อยู่ของแฟรี่
ไม่ว่าจะมีการกล่าวว่ารากเดิมมาจากไหน แต่เผ่าพันธุ์แฟรี่แฝงตนอยู่ใน (ความเชื่อของคน..) อังกฤษ เช่นเดียวกับภูตแผ่นดินพันธุ์อื่น พวกมันยึดภูมิลำเนาอยู่ทั่วไปยกเว้นแถบคอร์นวอลล์
เดวอนและซอมเมอร์เซ็ท เพราะที่นั่นเป็นอาณาเขตของอมนุษย์ตัวเล็กอีกหลายประเภท
แฟรี่จะเลือกชุมนุมกันอยู่ ณ ทำเลที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นป้อมปราการของมนุษย์โบราณหรือหุบเขาตื้นๆที่ไม่ค่อยมีคนรู้จัก ลานดินโบราณที่มีรูปเป็นวง เรียกว่า ป้อมแฟรี่ (fairy forts - อะไรที่เป็นวงๆอยู่กลางป่า นับว่าเกี่ยวข้องกับแฟรี่หมด เช่น Fairy Ring หรือวงแหวนภูต ก็คือเห็ดที่งอกต่อกันเป็นรูปวงกลมในป่า อาจมีเส้นผ่าศูนย์กลางถึง ๑๐ เมตรทีเดียว วงแหวนภูตนี้ บางทีเป็นวงหญ้าที่ขึ้นเป็นสันกลม หรือดินที่มีร่องลึกเป็นวงกลมก็ล้วนเป็นวงแหวนภูตทั้งนั้นครับ) ที่สำคัญตามพุ่มไม้หนามก็เป็นที่โปรดปรานของชาวแฟรี่จนชาวบ้านอังกฤษจะไม่กล้าตัดแม้มันจะขวางทางเพราะต้องเสี่ยงกับการโดนแฟรี่หมายหัวโดยไม่จำเป็น
พวกแฟรี่มีการจัดลำดับขั้นอยู่เหมือนกันนะ แบ่งออกเป็นสองกลุ่มครับ คือพวกที่อยู่กันเป็นสังคมเมือง กับพวกที่ชอบอยู่โดดเดี่ยว แถมด้วยพวกนิสัยดีกับนิสัยเลวอีกต่างหาก คล้ายๆคนเลยครับ
พวกแรกแฟรี่สังคมเมืองมักสวมเสื้อผ้าสีเขียว แฟรี่พวกนี้มักชอบจับกลุ่มกันเต้นรำร้องเพลงเป็นที่สำราญใจ ส่วนพวกโดดเดี่ยวอยู่ป่าจะแต่งตัวด้วยสีแดงน้ำตาลหรือเทามากกว่าสีเขียว พวกนี้ดูถูกการเต้นรำและความสำราญของแฟรี่สังคม แฟรี่โดดเดี่ยว มักผูกพันกับครัวเรือนแห่งใดแห่งหนึ่งหรือสถานที่ หรือที่ยึดครองใดๆ แต่ชอบติดต่อกับมนุษย์
ไม่ว่ามันจะเป็นภูตแผ่นดินแบบสังคมหรือโดดเดี่ยว นิสัยของมันก็เป็นสิ่งที่ชาวบ้านพึงระวัง เพราะไม่มีใครรู้ว่าแฟรี่ตนใดเป็นพวกดี หรือพวกร้ายกันแน่ แฟรี่ดีชอบมองหาความช่วยเหลือจากมนุษย์และตอบแทนความเมตตาของคนด้วยของขวัญและอวยพรความปรารถนาแก่คนๆนั้น ส่วนพวกร้ายก็แตกต่างจากพวกแรกลิบลับ มันจะร้ายกับมนุษย์โดยเฉพาะคนเดินทางตอนกลางคืน แฟรี่ร้ายพวกนี้จะปรากฏตัวเป็น
กลุ่มประมาณว่ายกโขยงกันมานั่นแหละ แล้วจัดการร่ายมนต์ทำให้หลงทางหรือไม่ก็หอบตัวคนๆนั้นขึ้นไปลอยคว้างอยู่กลางอากาศ ถ้าหาทางเล่นงานอย่างอื่นๆไม่ได้ น้อยที่สุดก็เอาผมคนๆนั้นพันกันเล่นจนเป็นปมยุ่งไปทั้งหัว
แฟรี่ ตัวขโมยเด็ก
แฟรี่เป็นภูตแผ่นดินที่ชอบยุ่งกับคนมากที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับทารกเกิดใหม่ ราวกับพวกมันมีสัมผัสพิเศษกับเด็กน้อย ไม่ว่าจะมีทารกเกิดอยู่ที่ไหนแฟรี่เป็นต้องรู้ และต้องหาทางดั้นด้นไปอวยพรตามถนัด แต่ในกรณีอันตรายสุดๆ คือถ้าทารกนั้นดันต้องใจพวกแฟรี่เข้า คราวนี้ไม่อวยพรแล้วละ...แต่ขโมยเลย ว่ากันว่าภูตแผ่นดินชนิดนี้ทนความน่ารักของเด็กไร้เดียงสาไม่ได้ จึงยอมทุกอย่างที่จะได้ตัวเด็กมาเลี้ยงดู ยิ่งน่ารักยิ่งอยากได้ พวกมัน
จะลักตัวเด็กแล้วแทนที่ไว้ด้วยเด็กชาวแฟรี่ หรือไม่ก็แค่ท่อนไม้ท่อนหนึ่งซึ่งพวกมันเรียกว่าการแลกเปลี่ยน (..ได้ยังไง)
อย่าว่าแต่เด็กเลยครับ แม้ แต่หญิงสาวหรือชายหนุ่ม หากมันอยากได้ไปใช้งาน ตั้งแต่การเพาะปลูกที่แฟรี่ทำเองไม่ได้ไปถึงงานอื่นๆ คนใดที่ถูกหมายหัวย่อมไม่มีทางพ้นมือ พวกเขาหรือเธออาจถูกล่อหลอกพาไปยังโพรงใต้เนินแถวเนินร้างโบราณ ที่ที่เชื่อว่าแฟรี่อาศัย ใครก็ตามที่ถูกแฟรี่ลวงไป หากกินอาหารของพวกนี้เข้าไปแล้ว ย่อมไม่มีทางได้กลับมายังอาณาเขตมนุษย์ได้อีกเลย
แต่ที่น่ากลัวกว่านั้นคือ คนที่ถูกลักพาไปแล้วอาจเป็นอันตรายถึงตาย ถ้าหากต่อมาเกิดทำอะไรไม่ถูกใจแฟรี่ก็มีสิทธิ์กลายเป็นศพถูกทิ้งอยู่ตามป่าในลักษณะซีดแห้งได้ง่ายๆ
นิสัยของแฟรี่
พวกแฟรี่แม้แต่เป็นพวกดีก็ไว้ใจไม่ได้ ภูตแผ่นดินพวกนี้มีนิสัยประจำเผ่าพันธุ์อย่างหนึ่งนั่นคืออารมณ์แปรปรวนง่ายมาก แค่เข้าไปให้พรเด็กแต่ละคนแต่ละครั้ง ถ้าไปเจออาการกิริยาไม่ให้เกียรติ ไม่ว่าจะจากเจ้าของบ้านหรือญาติ ย่อมหมายความว่า เด็กน้อยนั้นเข้าขั้นซวยตั้งแต่เกิด แทนที่แฟรี่จะให้พร เลยกลายเป็นสาปแทน อย่างนางฟ้าที่มาอำนวยพรในเรื่องเจ้าหญิงนิทรา แล้ว
กลายเป็นเรื่องทะเลาะเบาะแว้งจนนางเอกของเรื่องต้องโดนสาป..ก็นี่ละครับพวกแฟรี่
อารมณ์เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายของแฟรี่จึงเป็นเรื่องน่าขยาดสำหรับชาวบ้านในถิ่นที่มีพวกแฟรี่อยู่กันชุกชม พวกเขาก็เลยหาทางหาสิ่ง
ที่จะป้องกันตัวจากพวกแฟรี่ติดตัวไว้บ้าง ของป้องกันตัวนั้น คือเหล็กครับ เหล็กในความรู้สึกของแฟรี่
ก็คือวัตถุมีพิษชัดๆ แต่ถ้าหาไม่ได้ก็ต้องใบโคลเวอร์ชนิดสี่ใบ (ยอดโคลเวอร์ปกติมีแค่สามใบ ยอดที่มีสี่ใบนับเป็นโคลเวอร์นำโชค) พกติดตัวเอาไว้ หรือถ้าหาไม่ได้ให้ใส่เสื้อกลับตะเข็บยามเดินผ่านทางที่คิดว่ามีแฟรี่ก็ช่วยผ่อนหนักเป็นเบา
เห็นเลยนะครับว่าการเผชิญหน้ากับแฟรี่ไม่ว่าในลักษณะใด ไม่ใช่เรื่องดี อารมณ์รักอารมณ์เกลียดของพวกแฟรี่อยู่ห่างกันแค่พลิกฝ่ามือ ยามรักก็ดีเหลือหลาย ยามร้ายก็สาปสรรตั้งแต่เรื่องเล็กไปยันเอาชีวิต คนไม่ได้ตั้งใจไม่รู้อิโหน่อิเหน่ เพราะมอง
แฟรี่ไม่เห็น ก็อาจต้องโดนความ
อาฆาตของแฟรี่ไม่รู้ตัว หากบังเอิญล้ำเส้นอาณาเขตในป่าลึกวังเวงในภูมิประเทศที่ไร้วี่แววชีวิต แต่บังเอิญเป็นที่อยู่หรือชุมนุมเต้นรำของแฟรี่ มีสิทธิ์จะโดน “เอาคืน” ได้ง่ายๆ
วิธีการของภูตแผ่นดินชนิดนี้ก็มีมากมาย ตั้งแต่ทำให้ฝันร้าย ทำให้ชิมอาหารไม่มีรสชาติ บังคับให้เต้นรำตลอดคืนไม่พัก ไปจนกระทั่งล่อให้เห็น “ทองของแฟรี่”
ทองของแฟรี่
แฟรี่จะหาทางล่อให้เป้าหมายได้ลายแทงทองคำที่พวกมันทิ้งล่อไว้ คนที่เป็นเป้าหมายหลงกลก็จะเดินเข้าป่าตอนกลางคืน ท่ามกลางแสงเดือนหงายนั่นละครับ เป้าหมายจะเห็นทองคำจะสุกปลั่งล่อตาอยู่ที่โคนต้นไม้แห่งใดแห่งหนึ่งง่ายเกินไปจนแทบไม่น่าเชื่อ เป้าหมายมนุษย์มักมีความโลภเป็นทุนอยู่แล้วก็ย่อมจะรีบโกยทองคำจนเต็มกระสอบแบกกลับบ้าน แต่ยิ่งเดินถุงทองที่หนักเพียบเมื่อครู่กลับค่อยๆเบาลงๆ เปิดออกดูอีกทีจึงรู้ว่า ไอ้ที่แบกมานั้นไม่ใช่ทองคำแต่ประการใด แท้จริงกลายเป็นใบไม้แห้งไปหมด เหยื่อพวกนี้หลายคนเสียดายจนแทบเป็นบ้าก็มี ใจร้ายไม่เบานะครับนี่
เล่ามาถึงบรรทัดนี้ จะเห็นเลยว่า ขบวนการแฟรี่เป็นอิทธิพลใหญ่ยิ่งในความเชื่อของชาวอังกฤษ และชาวยุโรปในเวลาต่อมาด้วย แฟรี่จึงปรากฏอยู่ในงานศิลปะหลากหลาย ทั้งวรรณคดีและงานภาพเขียน จนแม้แต่ในวงการเพลงและการแสดงตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันทีเดียวครับ และเรื่องของแฟรี่ที่ได้รับความนิยมมากมาตั้งแต่อดีต อยู่ในบทประพันธ์แนวสนุกสนานอันโด่งดังของเชคสเปียร์ เรื่อง “ฝันกลางคืนฤดูร้อน” (A Midsummer Night’s Dream) ไงครับ ผมแถมท้ายให้อ่านสนุกๆก็แล้วกันครับ
ฝันกลางคืนฤดูร้อน
เชคสเปียร์ นำความประทับใจจากตำนานกรีกและตำนานแฟรี่ของอังกฤษมาผสมผสานกลายเป็นบทละครขำขันดังนี้ครับ
เรื่องเริ่มต้นด้วยการเตรียมฉลองงานแต่งงานของ เธสสิอุส (Theseus) เจ้าเมืองเอเธนส์ และฮิปโปลิต้า (Hippolyta) ราชินีแห่งพวกอเมซอน แต่ในคืนสุกดิบก่อนงานพิธี เอจิอัส (Egeus) ชายชาวเมืองเอเธนส์คนหนึ่งฟ้องร้องเธส
สิอุสว่า เฮอร์เมีย (Hermia) ลูกสาวของเขา ไม่ยอมแต่งงาน กับเดมิทริอัส (Demetrius) ผู้ชายที่เขาหาให้ จึงขอให้เจ้าเมืองตัดสินโดยอ้างกฎของชาวเอเธนส์ว่า ลูกสาวต้องแต่งงานกับผู้ที่พ่อของเธอเลือกให้ มิฉะนั้นจะต้องโทษถึงตายหรือไม่ก็ต้องบวชเป็นชีตลอดชีวิต
เวลานั้นเฮอร์เมียและไลแซนเดอร์คนรักของเธอกลัวโทษจะได้รับตามที่พ่อฟ้องร้องจึงตัดสินใจหนีตามกันโดยไปตั้งแคมป์
ในป่า แต่เฮอร์เมียแอบทิ้งไลแซน
เดอร์ไปครู่หนึ่ง ดอดไปบอกเพื่อนสาว เฮเลนาว่าเธอกำลังหนี
เฮเลนาเองก็เพิ่งถูกเดมิทริอัสปฏิเสธความรัก แต่เธอไม่ยอมแพ้ ยังหวังจะชนะใจเดมิทริอัสอีกครั้ง เธอจึงทรยศเพื่อน นำความลับของเฮอร์เมียไปบอกอดีตคนรัก เดมิทริอัสรับรู้เรื่องก็รีบตาม
เฮเลนาเพื่อจะไปนำตัวเฮอร์เมียกลับขณะที่เวลาเดียวกัน เฮอร์เมียก็กำลังกลับไปหาไลแซนเดอร์
ระหว่างเหตุการณ์เริ่มพัลวัน ที่กลางป่านั้นเกิดเรื่องอีกเรื่องขึ้น โอเบรอน ราชาแห่ง
แฟรี่และราชินีทิทาเนีย เดินทางมาถึงป่าแห่งเดียวกันเพื่อจะไปร่วมงานแต่งงานของเธสสิอัสและฮิปโป
ลิต้า แต่ความสัมพันธ์ระหว่างราชาและราชินีแฟรี่อยู่ในขั้นหมางเมิน เพราะทิทาเนียไม่ยอมยกเด็กชายชาวมนุษย์ที่เธอเพิ่ง “แลกเปลี่ยน” ตัวมาเป็นทนายหน้าหอของเธอ ให้ไปเป็นมหาดเล็กของโอเบรอนดังที่พระองค์ประสงค์
ทิทาเนียถือว่าเป็นเพราะแม่ของเด็กซึ่งตายตอนคลอดเป็นสาวกที่บูชาเธอมาตลอดเวลา
โอเบรอนโกรธมากจึงคิดหาทางลงโทษชายาด้วยข้อหาไม่เชื่อฟัง พระองค์เรียกหาพุค (puck) ภูตแผ่นดินพันธุ์เล็กจอมซนผู้เป็นบริวาร (รู้จักในนาม Robin Goodfellow) ให้ทำน้ำมนต์จากดอกไม้วิเศษ เอาไปพรมใส่ตา
ทิทาเนีย น้ำมนต์ดอกไม้วิเศษจะทำให้เหยื่อหลงรักใครก็ตามที่เห็นเป็นคนแรกเมื่อตื่นขึ้น โอเบรอนทำเช่นนี้เพื่อหันเหความสนใจและบังคับให้เธอยอมแพ้ ยอมยกเด็กคนนั้นให้
เรื่องเริ่มยุ่งเมื่อโอเบรอน เจอเข้ากับคู่รักชาวเอเธนส์ทั้งสี่คน จึงบอกพุคภูตแผ่นดินให้พรมน้ำมนต์วิเศษเพื่อช่วยเหลือคู่รักอีกสองคู่ไปในคราวเดียวกันเสียเลย แต่เจ้าพุคตัวร้ายเกิดพรมพลาด ทำให้ชายสองคนที่ปรารถนาในตัวเฮอร์เมียหันหลังให้สาวน้อยเสียเฉยๆ ทั้งไลแซนเดอร์และเดมิ
ทริอัสไขว้ไปหลงรักเฮเลนาแทน คนสี่คนสูญเสียตัวตนวิ่งเวียนอยู่ในทางวนของความรักไล่ตามกันเองและต่างทะเลาะทุ่มเถียงกับอีกฝ่าย
แค่นี้ยังวุ่นไม่พอ ขณะเดียว กันนั้น มีขบวนวงดนตรีของช่างพื้นบ้าน (ชนชั้นล่าง) กำลังชักแถวกันเข้ามาในป่าเพื่อซ้อมการแสดงเรื่อง “พีรามัสและธิสบี” ที่จะเอาไปร่วมเล่นในงานฉลองแต่งงานของเธสสิอัส โดยมีนิค บอตทอม ช่างทอเสื่อผู้หวังจะเอาดีด้านการแสดงร่วมคณะมาด้วย ทันใดที่เขาโผล่หัวเข้ามาก็กลายเป็นเป้าหมายหัวของพุคจอมซน โดยไม่รู้ตัว มันจัดการร่ายเวทย์เปลี่ยนหัวของเขาเป็นลาทันที
ทิทาเนียผู้หลับใหลไปชั่วครู่ ตื่นเพราะเสียงร้องเพลงของ บอตทอม มนตราจากดอกไม้วิเศษทำให้เธอตกหลุมรักบอตทอม เจ้าหัวลาทันทีที่ลืมตาตื่น ครั้นแล้วทิทาเนียก็แสดงความรักกับเขาประหนึ่งเจ้าคนหัวลานั้นเป็นขุนนาง เอาอกเอาใจสารพัด แต่แม้ว่าจะตกอยู่ในมนต์หลงใหล เธอยังคงรักภักดีต่อโอเบรอน ทำให้เมื่อทิทาเนียพบเขาระหว่างเต้นรำรื่นเริง เธอจึงยกเด็กชายที่โอเบรอนประสงค์ให้
เมื่อได้ตามใจปรารถนา โอเบรอนอารมณ์ดีโดยพลัน สั่งเจ้าพุคแสนซนให้ปล่อยทิทาเนียและเปลี่ยนหัวลาของบอตทอมเป็นคนตามเดิม ทว่าพุคไม่ได้ถอนมนตร์ออกเฉพาะทิทาเนียแต่ถอนจาก
ไลแซนเดอร์ด้วย จะมียกเว้นก็คือมันไม่ถอนมนตร์จากเดมิทริอัส หนุ่มคนนั้นจึงยังหลงรักเฮเลนา ส่วนไลแซนเดอร์ก็กลับมาหาเฮอร์เมีย ความรักลงตัว และแล้วแฟรี่ทั้งหลายก็หายตัวไป เธสสิอัส
และฮิปโปลิต้ามาถึงฉากป่าระหว่างการล่าสัตว์ในช่วงอรุณ ทั้งสองปลุกบรรดาคู่รักที่นอนหลับใหล แต่เมื่อเดมิทริอัสไม่รักเฮอร์เมียเสียแล้ว เธสสิอัสจึงยกเลิกคำฟ้องของเอจิอัส ยอมให้คู่รักทั้งสองคู่แต่งงาน
ทั้งเฮอร์เมียและไลแซน
เดอร์ กับเฮเลนาและเดมิทริอัส ต่างแปลกใจในสิ่งที่ตนพบเมื่อคืน แต่ต่างตัดสินใจว่ามันคือความฝัน เมื่อคนทั้งหมดออกจากฉากไป บอตทอมก็ตื่น และเขาก็คิดว่า สิ่งที่พบเมื่อคืนคือความฝันเช่นกัน
สุดท้ายในฉากซากปรักหักพังของเอเธนส์ เธสสิอัส, ฮิปโปลิต้า และบรรดาคู่รักก็ชมการแสดง “พีรามัสและธิสบี” ที่เล่นได้ไม่สมบทบาทแต่ก็น่าขันจนทำให้ทุกคนหัวเราะและกลายเป็นความสุข หลังจากกลุ่มช่างเต้นระบำ Bergomask แล้ว ทุกคนก็แยกย้ายเข้านอน ในที่สุดเมื่อราตรีแผ่ตัวลงคลุมโลก โอเบรอนและทิทาเนียก็อวยพรให้บ้าน ให้ผู้อาศัยและให้เด็กที่จะมาเกิดกับคู่แต่งงานใหม่
เรื่องจบลงด้วยความสุข
CR :: เขียนโดย “คอสมอส” , ต่วย'ตูน พิเศษ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น