คามิลลา จากนางพาร์กเกอร์ โบลส์ สู่ว่าที่ราชินี
ที่มาของภาพ, CHRIS JACKSON
สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 แห่งสหราชอาณาจักรทรงมีพระราชปรารถนาให้ คามิลลา ดัชเชสแห่งคอร์นวอลล์ ได้รับการยอมรับในฐานะสมเด็จพระราชินี (Queen Consort) เมื่อเจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ เสด็จขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์พระองค์ต่อไป
สมเด็จพระราชินีนาถ ฯ ทรงมีพระราชประสงค์เรื่องนี้ในแถลงการณ์เนื่องในวาระการครองสิริราชสมบัติครบ 70 ปี หรือ การครองราชย์ครบรอบแพลทินัม (Platinum Jubilee) ซึ่งตรงกับวันที่ 6 มิ.ย. 2022
ในเนื้อหาตอนหนึ่งของแถลงการณ์ สมเด็จพระราชินีนาถ ฯ ทรงระบุถึงความโชคดีที่พระองค์ทรงมีครอบครัวที่แน่นแฟ้นและคอยให้ความรักและการสนับสนุนพระองค์เรื่อยมา
"ข้าพเจ้าโชคดีที่มีเจ้าชายฟิลิป ผู้เป็นคู่ครองที่ยินดีจะรับบทบาทคู่สมรส และเสียสละกับภาระหน้าที่ที่มาพร้อมกับบทบาทนี้โดยไม่เห็นแก่ตัว ซึ่งเป็นบทบาทที่ข้าพเจ้าเคยเห็นพระมารดาทำในรัชสมัยพระบิดาของข้าพเจ้า"
นอกจากนี้ทรงขอบใจที่พสกนิกรทุกเชื้อชาติ ศาสนา และอายุ ทั้งในสหราชอาณาจักรและทั่วโลกให้การสนับสนุนพระองค์เสมอมา
"...เมื่อถึงเวลาที่ ชาร์ลส์ ลูกชายของข้าพเจ้าขึ้นเป็นกษัตริย์ ข้าพเจ้ารู้ว่าท่านทั้งหลายจะให้การสนับสนุนแก่เขาและคามิลลา ชายาของเขาแบบเดียวกับที่เคยให้แก่ข้าพเจ้า และข้าพเจ้ามีความปรารถนาเป็นอย่างยิ่งว่า เมื่อเวลานั้นมาถึง คามิลลา จะเป็นที่รู้จักในฐานะสมเด็จพระราชินี ในขณะที่เธอยังคงปฏิบัติราชกรณียกิจของเธอ"
แถลงการณ์ของสมเด็จพระราชินีนาถ ฯ ครั้งนี้นับเป็นการเปิดทางให้ดัชเชสแห่งคอร์นวอลล์ได้ขึ้นเป็นสมเด็จพระราชินีเคียงคู่กับพระราชโอรสของพระองค์ และเป็นการไขข้อสงสัยที่มีมานานเกี่ยวกับอนาคตของสะใภ้เจ้าพระองค์นี้ ซึ่งทัศนคติในเชิงลบของประชาชนที่มีต่อพระองค์ก่อนหน้านี้ ทำมีการคาดการณ์ว่าเมื่อเจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ขึ้นครองราชย์ คามิลลาจะได้ดำรงพระยศเป็นเพียงเจ้าหญิงพระราชชายา (Princess Consort) เท่านั้น
โฆษกแคลเรนซ์เฮาส์ สำนักงานของเจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ ระบุว่า เจ้าชายแห่งเวลส์และดัชเชสแห่งคอร์นวอลล์ "ทรงซาบซึ้งพระทัยและรู้สึกเป็นเกียรติ" ที่สมเด็จพระราชินีนาถ ฯ ทรงมีพระราชปรารถนาเช่นนี้
บีบีซีไทยจะพาไปรู้จักสตรีว่าที่ราชินีพระองค์ต่อไปของอังกฤษผู้นี้
ชีวิตวัยเยาว์ คามิลลา โรสแมรี เกิดเมื่อวันที่ 17 ก.ค. 1947 ที่กรุงลอนดอน ในครอบครัวชนชั้นสูงและตระกูลขุนนางอังกฤษ โดยเป็นบุตรสาวของบรูซ และโรซาลินด์ ชานด์
สารานุกรมบริแทนนิกา ของอังกฤษระบุว่า คามิลลาเป็นทายาทของอลิซ เคปเปล ผู้เป็นชู้รักอันยาวนานของสมเด็จพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 7 ซึ่งเป็นพระบรมไปยกา (ปู่ทวด) ของสมเด็จพระราชินีนาถ ฯ
คามิลลา พบเจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ครั้งแรกที่การแข่งโปโลในเมืองวินด์เซอร์เมื่อปี 1970 โดยขณะนั้นเจ้าฟ้าชายชาร์ลส์เพิ่งสำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ และเตรียมจะเข้าเป็นทหารในกองทัพเรือ
แม้จะมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิด แต่หลังจากเจ้าฟ้าชายชาร์ลส์เข้าเป็นทหารในกองทัพเรือเมื่อปี 1971 ทั้งคู่ก็เริ่มห่างเหินกัน ก่อนที่ในอีก 2 ปีต่อมาคามิลลาจะตกลงปลงใจแต่งงานกับ แอนดรูว์ พาร์กเกอร์ โบลส์ นายทหารหนุ่มผู้เป็นพระสหายของเจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ และเป็นอดีตคนรู้ใจของเจ้าหญิงแอนน์ พระราชกุมารี
ในปี 1981 เจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ทรงเข้าพิธีอภิเษกสมรสกับเลดี้ไดอานา สเปนเซอร์ แต่ขณะเดียวกันก็มีกระแสข่าวว่า พระองค์ทรงกลับไปสานสัมพันธ์ลึกซึ้งกับคามิลลา ในช่วงทศวรรษที่ 1980
ข่าวซุบซิบที่มีมานานเรื่องสัมพันธ์สวาทระหว่างเจ้าฟ้าชายชาร์ลส์กับคามิลลา ได้รับการยืนยันจากเจ้าหญิงไดอานาในบทสัมภาษณ์อันลือลั่นที่พระองค์ทรงเปิดเผยในรายการพาโนรามา (Panorama) ของบีบีซีเมื่อปี 1995 ว่า "มีเราสามคนอยู่ในชีวิตสมรสนี้ มันก็เลยแออัดไปหน่อย"
ถ้อยคำดังกล่าวได้กลายเป็นประโยคอันโด่งดังที่บอกเล่าถึงปัญหาในชีวิตคู่ของเจ้าหญิงไดอานากับเจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ และได้นำไปสู่การที่ทั้งสองพระองค์ทรงหย่าขาดจากกันในปี 1996
ส่วนชีวิตสมรสของคามิลลา และ แอนดรูว์ พาร์กเกอร์ โบลส์ ก็มาถึงทางตัน และหย่าขาดจากกันในปี 1995 โดยที่ทั้งคู่มีบุตรชายและบุตรสาวด้วยกันสองคน
คำบรรยายภาพ, เจ้าฟ้าชายชาร์ลส์และคามิลลาออกงานสังคมร่วมกันครั้งแรกที่โรงแรมริทซ์ ในกรุงลอนดอนเมื่อปี 1999
เส้นทางสู่ราชวงศ์ เจ้าฟ้าชายชาร์ลส์และคามิลลาเข้าพีธีสมรสทางกฎหมายในเมืองวินด์เซอร์ เมื่อวันที่ 9 เม.ย. 2005 โดยสมเด็จพระราชินีนาถ ฯ พระราชทานยศให้เธอเป็น "ดัชเชสแห่งคอร์นวอลล์"
แม้ในช่วงต้นจะมีคนบางส่วนมองคามิลลาเป็นวายร้ายผู้ทำลายชีวิตคู่ดั่งเทพนิยายของเจ้าหญิงไดอานากับเจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ แต่เมื่อพระองค์ได้พิสูจน์ตนเองโดยการทรงงานแบ่งเบาพระราชภาระของพระราชสวามีและสมเด็จพระราชินีนาถฯ พระองค์ก็เริ่มได้รับการยอมรับจากคนในราชวงศ์
ดัชเชสแห่งคอร์นวอลล์โปรดการขี่ม้า และทรงสนับสนุนองค์กรสงเคราะห์สัตว์หลายแห่ง ตลอดจนทรงงานเพื่อส่งเสริมการรู้หนังสือ และการช่วยเหลือผู้ตกเป็นเหยื่อของปัญหาความรุนแรงในครอบครัว
นอกจากนี้ทรงเป็นที่ชื่นชอบของบรรดาผู้สื่อข่าวสายราชสำนัก จากอุปนิสัยสนุกสนานร่าเริงและมีอัธยาศัยดี
สถานีโทรทัศน์ไอทีวี ระบุว่า นับแต่ได้ใช้ชีวิตคู่กับคามิลลามา 17 ปี เจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ทรงมีอารมณ์ที่ผ่อนคลายมากขึ้นกว่าในอดีต เพราะหลายครั้งคามิลลามักโน้มน้าวให้พระองค์ได้ลองทำสิ่งใหม่ ๆ หรือทำสิ่งที่ทรงพระสำราญ
สมเด็จพระราชินีมีหน้าที่อะไร คำบรรยายภาพ, สมเด็จพระราชินีนาถ ฯ กับสองว่าที่ราชินีอังกฤษในอนาคต
สมเด็จพระราชินี เป็นพระอิสริยยศสำหรับพระอัครมเหสีของสมเด็จพระราชาธิบดีที่ยังครองราชสมบัติอยู่ ตามปกติสมเด็จพระราชินีจะไม่มีอำนาจทางการเมืองการปกครองใด ๆ มีเพียงหน้าที่ในการเป็นคู่คิดและให้การสนับสนุนกษัตริย์
แม้จะไม่มีบทบาทอย่างเป็นทางการ แต่สมเด็จพระราชินีก็ถือเป็นผู้มีอิทธิพลสำคัญต่อกษัตริย์ และคอยช่วยแบ่งเบาพระราชภาระในด้านต่าง ๆ
สมเด็จพระราชินีองค์ล่าสุดของราชวงศ์อังกฤษคือ สมเด็จพระราชินีเอลิซาเบธ พระอัครมเหสีในสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 6 และทรงเป็นพระราชชนนีในสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ส่วนเจ้าชายฟิลิป ดยุคแห่งเอดินบะระ ไม่ทรงมีพระยศเป็น เจ้าชายพระราชสวามี (Prince Consort) เพราะทรงปฏิเสธการรับยศดังกล่าวตั้งแต่ช่วงแรก ๆ ที่สมเด็จพระราชินีนาถฯ เสด็จขึ้นครองราชย์
วันนี้ที่รอคอยของ “ควีนคามิลลา” เปลี่ยนชู้รักทรหด สู่ราชินีคู่บัลลังก์
ถือเป็นชัยชนะยิ่งใหญ่ของมนุษย์ป้าทั้งโลก!! เมื่อ ดัชเชสแห่งคอร์นวอลล์ “คามิลลา ปาร์กเกอร์ โบว์ลส์” ต้นตำรับชู้รักวินด์เซอร์ วัย 74 ได้รับการสนับสนุนเต็มร้อยเป็นครั้งแรกจาก “ควีนเอลิซาเบธที่สองแห่งอังกฤษ” ให้ขึ้นเป็น “สมเด็จพระราชินี” พร้อมทำหน้าที่ค้ำบัลลังก์เคียงข้าง “เจ้าฟ้าชายชาร์ลส์” เมื่อถึงเวลาผลัดแผ่นดินในอนาคต เสด็จขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์แทนพระราชมารดา ซึ่งปัจจุบันมีพระชนมพรรษา 95 พรรษา
ท่ามกลางกระแสคาดการณ์ถึงอนาคตไม่แน่นอนของ “ดัชเชสแห่งคอร์นวอลล์” ว่าคงไปได้ไกลแค่พระยศ “เจ้าหญิงพระราชชายา” (Princess Consort) เพราะมีชนักติดหลังเคยเป็นมือที่สามสร้างความร้าวฉานให้ครอบครัว “เจ้าหญิงไดอานา” จนนำไปสู่การหย่าสะท้านโลก แต่เกมพลิกเรื่องราวกลับตาลปัตรกลายเป็นว่า “ควีนเอลิซาเบธที่สอง” ทรงออกโรงปกป้องพระสุณิสาวัยดึกด้วยพระองค์เอง เพื่อสยบดราม่าในอนาคต โดยถือโอกาสเนื่องในวาระการครองสิริราชสมบัติ ครบ 70 ปี แสดงพระราชประสงค์ดังกล่าวชัดเจน
เนื้อหาตอนหนึ่งในแถลงการณ์สำคัญระบุว่า ข้าพเจ้าโชคดีที่มีเจ้าชายฟิลิปคอยเคียงข้างในฐานะพระสวามี ผู้ซึ่งเต็มใจรับบทบาทคู่สมรส และเสียสละกับภาระหน้าที่ที่มาพร้อมบทบาทนี้อย่างไม่เห็นแก่ตัว เมื่อถึงเวลาที่พระราชโอรสของข้าพเจ้า “เจ้าฟ้าชายชาร์ลส์” ขึ้นเป็นกษัตริย์ ข้าพเจ้ารู้ดีว่าท่านทั้งหลายจะให้การสนับสนุน “เจ้าฟ้าชายชาร์ลส์” และพระชายา “คามิลลา” ในแบบเดียวกับที่เคยให้การสนับสนุนข้าพเจ้า ข้าพเจ้ามีความปรารถนายิ่งว่า เมื่อเวลานั้นมาถึง “คามิลลา” จะเป็นที่รู้จักในฐานะ “สมเด็จพระราชินี” (Queen Consort) ในขณะที่ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความจงรักภักดี
นี่มันรางวัลแด่ความอึดและความจงรักภักดีชัดๆ นับตั้งแต่จูงมือกันเข้าประตูวิวาห์ เมื่อปี 2005 “ดัชเชสแห่งคอร์นวอลล์” ก็พยายามทำหน้าที่คู่คิดคอยปลอบประโลมจิตใจ “เจ้าฟ้าชายชาร์ลส์” ในทุกสถานการณ์ โดยเฉพาะในยามวิกฤติเกิดความแตกแยกภายในครอบครัว คนใกล้ชิดทราบกันดีว่า องค์รัชทายาทอันดับหนึ่งทรงมีความสุขและผ่อนคลายขนาดไหนเมื่อได้อยู่กับคนรักเก่า แม้จะไม่ใช่สาวเอ๊าะๆ แต่ “คามิลลา” ก็มีความกุ๊กกิ๊กในตัว มักชวนพระสวามีทดลองทำสิ่งใหม่ๆสร้างสีสันให้ชีวิตไม่อับเฉา นอกเหนือจากกิจกรรมที่ชอบทำร่วมกัน เช่น การขี่ม้า, ตกปลา, ปลูกต้นไม้, วาดรูป และอ่านหนังสือ ตรงข้ามกับ “เจ้าหญิงไดอานา” ที่มักเอาแต่ใจตัวเองแบบคุณหนูตระกูลสูงศักดิ์ และเรียกร้องความสนใจจากพระสวามี จึงลงเอยด้วยการทะเลาะกันอยู่ร่ำไป
อาจเป็นบุพเพสันนิวาสจริงๆก็ได้ เพราะคู่นี้เขารักกันมาดึกดำบรรพ์ตั้งแต่วัยรุ่น “คามิลลา” คือรักแรกฝังใจเจ็บของ “เจ้าฟ้าชายชาร์ลส์” ฝ่ายหญิงมาจากครอบครัวชนชั้นสูงตระกูลขุนนางเก่า และที่น่าแปลกคือ “คามิลลา” เป็นทายาทของ “อลิซ เคปเปล” ผู้เป็นชู้รักสุดเสน่หาของพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 7 ซึ่งเป็นปู่ทวดของควีนเอลิซาเบธที่สอง ทั้งคู่เจอกันครั้งแรกที่บ้านเพื่อน เมื่อปี 1970 ก่อนจะมาออกเดตเป็นแฟนกัน กระทั่งฝ่ายชายต้องไปเป็นทหารประจำกองทัพเรือ ในช่วงต้นปี 1973 ฝ่ายหญิงได้หนีไปแต่งงานกับแฟนเก่านายทหารหนุ่มรุ่นพี่ “แอนดรูว์ ปาร์กเกอร์ โบว์ลส์” เพราะทนแรงกีดกันจากพระราชวงศ์ชั้นผู้ใหญ่ไม่ไหว สาเหตุของการเลิกกันมีหลายเบาะแสมาก แต่ที่แน่ๆคือสาวสังคมผู้เจนโลกอย่าง “คามิลลา” ถูกมองว่าไม่เหมาะเป็นพระชายาของกษัตริย์ในอนาคต
จากปั๊ปปี้เลิฟกลายเป็นรักฝังใจสร้างบาดแผลลึกให้องค์รัชทายาทหนุ่ม กว่าจะหักอกหักใจได้ “เจ้าฟ้าชายชาร์ลส์” ขังตัวเองอยู่ในห้องหลายวัน ภายหลังทั้งคู่ยังคบหากันในฐานะเพื่อน และเจอกันตามแวดวงขี่ม้าโปโล กระทั่งในปี 1979 “คามิลลา” กลับมาสนิทสนมเกินเพื่อนกับ “เจ้าฟ้าชายชาร์ลส์” อีกครั้ง เมื่อเจ้าชายหนุ่มทรงสูญเสียพระประยูรญาติชั้นผู้ใหญ่ที่เคารพรักที่สุดอย่าง “ลอร์ดเมานต์แบตเทน” ทำให้ต้องพึ่งการปลอบขวัญและกำลังใจจากคนรักเก่า แม้แต่ในค่ำคืนก่อนการอภิเษกสมรสกับ “เจ้าหญิงไดอานา” ในปี 1981 ว่ากันว่า “เจ้าฟ้าชายชาร์ลส์” ก็ยังขลุกอยู่บนเตียงกับ “คามิลลา”
ตำนานรักสามเส้าที่สร้างความอับอายขายหน้าให้ราชวงศ์อังกฤษ ถูกเปิดโปงสู่สาธารณชนอย่างเป็นเรื่องเป็นราว เมื่อมีการตีพิมพ์หนังสืออื้อฉาว “Diana : Her True Story” ในปี 1992 ตามมาด้วยการปล่อยเทปลับทางโทรศัพท์ “Camillagate” ในปี 1993 ซึ่งเต็มไปด้วยบทสนทนาทางเพศอันโจ๋งครึ่ม หนักสุดคือ “เจ้าฟ้าชายชาร์ลส์” อ้อน “คามิลลา” ว่าอยากเกิดใหม่เป็นแทมแพ็กซ์ (ผ้าอนามัยแบบสอด) จนถูกสื่อล้อเลียนว่า “เจ้าชายแทมแพ็กซ์” งานนี้เสื่อมเสียหนักขนาดที่ว่าเจ้าชายคิดจะสละตำแหน่งรัชทายาท ด้วยซ้ำ
จุดจบของชู้รักมาถึง เมื่อข่าวซุบซิบใต้เตียงได้รับการยืนยันจากปาก “เจ้าหญิงไดอานา” ขณะให้สัมภาษณ์รายการพาโนรามาของสำนักข่าวบีบีซี เมื่อปี 1995 ว่า มีเราสามคนอยู่ในชีวิตสมรสนี้ มันก็เลยแออัดไปหน่อย สุดท้ายต้องจบลงด้วยการหย่าร้างในปี 1996
ภายหลัง “เจ้าหญิงไดอานา” สิ้นพระชนม์ด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์ เมื่อปี 1997 และ “คามิลลา” ได้หย่าขาดจากสามีในปี 1995 “เจ้าฟ้าชายชาร์ลส์” จึงทำตามใจปรารถนาที่รอคอยมาทั้งชีวิต ฝ่าดงหนามจูงมือ “คามิลลา” เข้าประตูวิวาห์สมดังหวัง เมื่อปี 2005 แม้จะถูกมองว่าเป็นมือที่สามทำลายชีวิตคู่ดุจเทพนิยายของ “เจ้าหญิงไดอานา” กับ “เจ้าฟ้าชายชาร์ลส์” แต่เมื่อ “ดัชเชสแห่งคอร์นวอลล์” พิสูจน์ตัวเองว่าทรงสามารถแบ่งเบาพระราชภาระของพระสวามีและควีนเอลิซาเบธที่สองด้วยความจงรักภักดี จึงเริ่มได้รับการยอมรับมากขึ้นเรื่อยๆจากพระบรมวงศานุวงศ์ แม้จะมีข่าวลือว่าแอบชิงดีชิงเด่นกับลูกสะใภ้ดาวเด่น “ดัชเชสแห่งเคมบริดจ์”
ทั้งนี้ “ดัชเชสแห่งคอร์นวอลล์” โปรดการขี่ม้า และสนับสนุนองค์กรสงเคราะห์สัตว์ อีกทั้งยังทุ่มเทเวลาให้กับการส่งเสริมการรู้หนังสือ และช่วยเหลือเหยื่อของปัญหาความรุนแรงในครอบครัว เชื่อมั่นว่าต่อไปเมื่อขึ้นเป็น “สมเด็จพระราชินี” จะทำหน้าที่แบ่งเบาพระราชภาระในด้านต่างๆได้เป็นอย่างดีในฐานะพระราชวงศ์อาวุโส พร้อมเป็นคู่คิดคู่ค้ำบัลลังก์ยืนหยัดเคียงข้างกษัตริย์พระองค์ใหม่ของอังกฤษ กอบกู้ภาพลักษณ์ติดลบของราชวงศ์วินด์เซอร์ให้กลับมาเป็นบวกยกกำลังสองอีกครั้ง.
สองพระองค์ปรากฏตัวที่ British Museum for a British Asian Trust
Prince Charles
เจ้าชายแห่งเวลส์และดัชเชสแห่งคอร์นวอลล์ เข้าพระราชพิธีอภิเษกสมรสเมื่อปี 2005
.
VIDEO
https://youtu.be/WWNoU_0W3PU
VIDEO
https://youtu.be/U5TTMLmjP68
VIDEO
https://youtu.be/t_rJ8n8vvIQ
VIDEO
https://youtu.be/nfS1VxwHjXU
ALASTAIR GRANT/AP
The Queen has offered her support to have the Duchess of Cornwall become Queen Camilla one day .
ที่มา :: https://www.bbc.com/thai , www.thairath.co.th/ , www.nationtv.tv/