ประวัติวันวาเลนไทน์ 14 กุมภาพันธ์ Valentine's Day
ประวัติวันวาเลนไทน์ มีความเป็นมาอย่างไร?
วันวาเลนไทน์ ภาษาอังกฤษเรียกว่า Valentine's Day คือ วันที่มีความเป็นมายาวนานกว่า 1,500 ปี เนื่องจากวันวาเลนไทน์ จัดขึ้นเป็นครั้งแรกใน ค.ศ. 496 ซึ่งถือเป็นวันเฉลิมฉลองนักบุญของศาสนาคริสต์ ก่อนที่ในเวลาต่อมา จะถูกตีความหมายใหม่ ให้กลายเป็นวันแห่งความรัก ที่มีเรื่องราวของความโรแมนติกเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย
ประวัติของวันวาเลนไทน์ กำเนิดขึ้นในสมัยจักรพรรดิคลอดิอัสที่ 2 (Emperor Claudius II) ของกรุงโรม โดยในสมัยนั้นกรุงโรมมักตกอยู่ในภาวะสงครามอยู่บ่อยครั้ง องค์จักรพรรดิทรงชื่นชอบการทำสงคราม จึงสั่งเกณฑ์ผู้ชายไปออกรบ แต่ขณะเดียวกัน ผู้ชายหลายๆ คนก็มีครอบครัว และคนรักที่ต้องดูแล ล้วนไม่อยากจากครอบครัวเพื่อไปเสี่ยงชีวิตในสนามรบ
จักรพรรดิคลอดิอัสที่ 2 ทรงสั่งยกเลิกพิธีหมั้น และการแต่งงานในกรุงโรมทั้งหมด เพื่อให้ประชาชนไปออกรบ แต่นักบุญผู้มีชื่อว่า "วาเลนตินัส" หรือที่รู้จักกันในนาม "นักบุญวาเลนไทน์" ไม่เห็นด้วยกับคำสั่งดังกล่าว จึงชักชวนคู่รักในกรุงโรมให้เข้าพิธีแต่งงาน ทำให้จักรพรรดิคลอดิอัสที่ 2 ไม่พอพระทัย สั่งจับตัวนักบุญวาเลนไทน์ มากักขังไว้ และมีคำสั่งประหารชีวิต
ทว่า นักบุญได้ตกหลุมรักลูกสาวของผู้คุม ซึ่งเป็นหญิงสาวตาบอดสนิททั้งสองข้าง ก่อนจะถึงเวลาประหาร เขาได้ส่งจดหมายถึงหญิงตาบอด โดยลงท้ายข้อความในจดหมายฉบับนั้นว่า "From your Valentine" เรื่องราวสุดเศร้านี้เผยแพร่ออกไปทั่วกรุงโรม ส่วนนักบุญวาเลนไทน์ ได้เสียชีวิตลงในวันที่ 14 กุมภาพันธ์
นับตั้งแต่นั้น วันที่ 14 กุมภาพันธ์ จึงถือเป็น "วันวาเลนไทน์" เพื่อระลึก และยกย่องความรักอันบริสุทธิ์ของนักบุญวาเลนไทน์ผู้ล่วงลับ เรื่องราวของเขา ถูกพูดถึงในประเทศต่างๆ ทั่วยุโรป ทำให้วันวาเลนไทน์ กลายเป็นวันที่มีความสำคัญในการเฉลิมฉลองความรัก จวบจนถึงปัจจุบันนั่นเอง
"เทพเจ้าคิวปิด" สัญลักษณ์ของวันวาเลนไทน์
เมื่อพูดถึงวันวาเลนไทน์ หลายคนอาจนึกถึงดอกกุหลาบสีแดง แต่จริงๆ แล้ว สัญลักษณ์ของวันวาเลนไทน์ก็คือ "เทพเจ้าคิวปิด" เทพปกรณัมกรีกเชื่อว่าเทพเจ้าคิวปิด เป็นบุตรชายของเทพวีนัส มีลักษณะเป็นเด็กหนุ่ม มีปีก และถือคันศร ชาวยุโรปเชื่อว่าเทพเจ้าองค์นี้ สามารถบันดาลให้คนตกหลุมรักกันได้ ด้วยการแผงศรประจำตัว เทพเจ้าคิวปิดจึงถูกยกย่องให้เป็นเทพเจ้าแห่งความรัก และกลายเป็นสัญลักษณ์ของวันวาเลนไทน์
กิจกรรม และความสำคัญของวันวาเลนไทน์
หากอิงตามประวัติศาสตร์แล้ว วันวาเลนไทน์ มีความสำคัญที่ถูกจัดขึ้นเพื่อระลึกถึงการจากไปของนักบุญวาเลนไทน์ ผู้ที่ทำให้ผู้คนตระหนักถึงความรักและมิตรภาพอันบริสุทธิ์ โดยในปัจจุบันวาเลนไทน์ กลายเป็นวันแห่งความรักที่คู่รัก นิยมมอบดอกไม้ ช็อกโกแลต การ์ดอวยพร หรือของขวัญให้แก่กัน เพื่อแสดงถึงความใส่ใจ และความปรารถนาดี ห้างร้านต่างๆ ก็มักจะตกแต่งด้วยโทนสีสันสดใส โดยเฉพาะสีแดง และสีชมพู รวมถึงมีการวางจำหน่ายดอกไม้ สินค้าที่ระลึก ที่เกี่ยวข้องกับวันวาเลนไทน์
ข้อความอวยพรวันวาเลนไทน์
"Happy Valentine's Day" และ "สุขสันต์วันวาเลนไทน์" เป็นคำอวยพรที่หลายคนคุ้นเคยกันดี แต่นอกจากนี้ ยังมีข้อความน่ารักๆ ที่ช่วยสื่อความหมายแทนใจ และเป็นตัวแทนความปรารถนาดีอีกมากมาย เหมาะสำหรับคนที่อาจจะเขินอาย หรือไม่กล้าพูดคำว่า "รัก" แบบตรงๆ เช่น
- I love all the adventures we have together.
- ฉันรักทุกการเดินทางผจญภัย ที่เราได้ใช้ร่วมกัน - Happy Valentine’s to one of my favorite people.
- สุขสันต์วันวาเลนไทน์ แด่คนโปรดที่สุดคนหนึ่งของฉัน - Thanks for all you do that makes my life happier.
- ขอบคุณสำหรับทุกๆ อย่าง ที่เธอทำให้ชีวิตของฉันมีความสุขมากขึ้น - My life would be meaningless without you in it. You complete me.
- ชีวิตฉันคงไร้ความหมาย หากไม่มีเธอ เธอเข้ามาช่วยเติมเต็มชีวิตฉันให้สมบูรณ์ - Everyday is Valentine's Day since I met you. Thank you for making every single day so special.
- ทุกๆ วันคือ วันวาเลนไทน์ ตั้งแต่วันแรกที่ฉันได้พบเธอ ขอบคุณที่ทำให้ทุกๆ วันกลายเป็นวันแสนพิเศษ
วันวาเลนไทน์ ไม่ได้สื่อถึงวันแห่งความรักโรแมนติกเพียงเท่านั้น แต่ยังเป็นวันที่สื่อถึงความรักบริสุทธิ์ มิตรภาพที่สวยงาม ที่สามารถมอบคำอวยพรให้แก่เพื่อน และครอบครัว ได้เช่นกัน
ที่มา :: https://www.thairath.co.th/lifestyle/calendar/2031287
ประวัติวันวาเลนไทน์ 14 กุมภาพันธ์ Valentine's Day
ตอบลบประวัติวันวาเลนไทน์ (Valentine's Day)
เทศกาลวาเลนไทน์ (Valentine's Day) เริ่มมีขึ้นตั้งแต่ยุคที่จักรวรรดิโรมันเรืองอำนาจ ในยุคนั้น วันที่ 14 กุมภาพันธ์ของทุกปี ถูกจัดให้เป็นวันหยุดเพื่อเป็นเกียรติแต่เทพเจ้าจูโน ผู้เป็นจักรพรรดินีแห่งเทพเจ้าโรมัน นอกจากนี้แล้วพระองค์ยังทรงเป็นเทพเจ้าแห่งอิสตรีเพศและการแต่งงาน และในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ เป็นวันเริ่มต้นเทศกาลเฉลิมฉลองแห่งลูเพอร์คาร์เลีย การดำเนินชีวิตของหนุ่มสาวจะถูกตัดขาดออกจากกันอย่างสิ้นเชิง
ในรัชสมัยของจักรพรรดิคลอดิอัสที่ 2 (Emperor Claudius II) แห่งกรุงโรม พระองค์ทรงเป็นกษัตริย์ที่มีใจคอดุร้าย และทรงนิยมการทำสงครามนองเลือด ได้ทรงตระหนักว่าเหตุที่ชายหนุ่มส่วนมากไม่ประสงค์จะเข้าร่วมในกองทัพ เนื่องจากไม่อยากจากคู่รักและครอบครัวไป จึงทรงมีพระราชโองการสั่งห้ามมิให้มีการจัดพิธีหมั้นและแต่งงานกันในโรมโดยเด็ดขาด ทำให้ประชาชนทุกข์ใจเป็นอย่างยิ่ง
และขณะนั้นมีนักบุญรูปหนึ่งนามว่า เซนต์วาเลนไทน์ หรือวาเลนตินัส ซึ่งอาศัยอยู่ในโรมได้ร่วมมือกับเซนต์มาริอัส จัดพิธีแต่งงานให้กับชาวคริสต์หลายคู่ และด้วยความปรารถนาดีนี้เองจึงทำให้วาเลนไทน์ถูกจับ และระหว่างนั้นเขาก็ยังคงส่งคำอวยพรวาเลนไทน์ของเขาเองขณะที่เขาเป็นนักโทษ เชื่อกันว่าวาเลนไทน์ได้ตกหลุมรักหญิงสาวที่เป็นลูกสาวของผู้คุมที่ชื่อจูเลีย ซึ่งได้มาเยี่ยมเขาระหว่างที่ถูกคุมขัง ในคืนก่อนที่วาเลนไทน์จะสิ้นชีวิตโดยการถูกตัดศีรษะ เขาได้ส่งจดหมายฉบับสุดท้ายถึงจูเลีย โดยลงท้ายว่า "From Your Valentine"
หลังจากนั้นศพของเขาได้ถูกเก็บไว้ที่โบสถ์พราซีเดส (Praxedes) ณ กรุงโรม จูเลียได้ปลูกต้นอามันต์ หรืออัลมอลต์สีชมพู ไว้ใกล้หลุมศพของวาเลนตินัสผู้เป็นที่รักของเธอ โดยในทุกวันนี้ ต้นอามันต์สีชมพูได้เป็นตัวแทนแห่งรักนิรันดรและมิตรภาพอันสวยงาม ถึงแม้ว่าเบื้องหลังความเป็นจริงของวาเลนไทน์จะเป็นตำนานที่มืดมัว แต่ยังคงแสดงให้เห็นถึงความรู้สึกสงสาร ความกล้าหาญและที่สำคัญที่สุดเป็นเครื่องหมายของความโรแมนติค จึงไม่น่าประหลาดใจเลยว่าในช่วงยุคกลาง วาเลนไทน์นับเป็นนักบุญที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในอังกฤษและฝรั่งเศส
ต่อมานักบวชในนิกายโรมันคาทอลิกจึงเลือกให้ วันที่ 14 กุมภาพันธ์ เป็นวันเฉลิมฉลองเทศกาลวันแห่งความรัก และดูเหมือนว่ายังคงเป็นธรรมเนียมที่ชายหนุ่มจะเลือกหญิงสาวที่ตนเองพึงใจในวันวาเลนไทน์ (Valentine's Day) สืบต่อกันมาจนถึงทุกวันนี้
วันวาเลนไทน์ หรือ Valentine's Day ในแต่ละประเทศจะมีประเพณีหรือการปฏิบัติที่แตกต่างกันบ้าง แต่โดยรวมแล้วจะมีการเฉลิมฉลองและเป็นการแสดงถึงความรักที่มีระหว่างกัน ต่อมาเมื่อมีความเจริญก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยีทางด้านการพิมพ์ จึงมีการพิมพ์บัตรอวยพรแทนที่จดหมายที่เขียนด้วยลายมือ และปัจจุบันก็มีการส่งบัตรอวยพรทางออนไลน์เพื่อแสดงถึงความก้าวหน้าของเทคโนโลยีสารสนเทศ ที่ช่วยให้คนที่ต้องการแสดงความรักความห่วงใยถึงคนที่รักได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น
ประวัติวันวาเลนไทน์นี้เป็นเรื่องที่เล่าต่อๆ กันมาจนถึงปัจจุบัน เท่าที่ค้นหามาได้นี้เป็นเพียงหนึ่งในหลายๆ เรื่องเท่านั้น แต่ไม่ว่าประวัติที่แท้จริงจะเป็นอย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันนี้เราได้ถือว่าวันวาเลนไทน์เป็นวันสำคัญวันหนึ่งในประวัติศาสตร์เลยทีเดียว คุณสามารถส่งดอกไม้ ขนม และการ์ด เพื่อบอกความนัยให้แก่คนพิเศษของคุณ วันนี้จะเป็นวันที่เราส่งความรู้สึกดีๆ ให้แก่กัน...
20 เรื่องที่ควรรู้เกี่ยวกับวันวาเลนไทน์
ตอบลบเมื่อวันแห่งความรักหรือวันวาเลนไทน์เวียนวนมาอีกครั้ง หันไปทางไหนก็มีแต่คนรักกัน แต่ถึงอย่างนั้นวันวาเลนไทน์ก็ควรจะเป็นวันดีๆ ที่มีแต่เรื่องดีๆ ใช่ไหมล่ะ จึงขอนำเสนอ 20 เรื่องที่ควรจะรู้ไว้เกี่ยวกับวันวาเลนไทน์ เพื่อให้ทุกๆ คนทำวันวาเลนไทน์ของเราให้เป็นวันวาเลนไทน์ที่มีคุณค่ามากกว่าวันที่เสียเงินซื้อของขวัญ หรือแสดงออกว่ารักกันแบบที่ไม่รู้ความหมายที่แท้จริงของความรัก ว่าแล้วเราก็มาดูกันเลย
1. วันวาเลนไทน์เกิดขึ้นเพื่อระลึกถึงนักบุญเซนต์วาเลนไทน์ (Saint Valentine) ผู้รับโทษประหารในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 270 เพราะในยุคนั้นมีกฎหมายห้ามไม่ให้มีการแต่งงานของพวกคริสเตียน แต่เซนต์วาเลนไทน์ยังแอบจัดงานแต่งงานให้กับคู่รักคริสเตียนจนถูกจับขังและรับโทษ โดยในขณะที่ถูกคุมขังนั้น เขาก็พบรักกับสาวตาบอดซึ่งเป็นลูกสาวของผู้คุม ด้วยความรักและคำอธิษฐานของเขา พระเจ้าได้ทรงโปรดให้ตาของสาวคนรักหายเป็นปกติ แต่เมื่อความนี้ล่วงรู้ถึงหูกษัตริย์ เซนต์วาเลนไทน์จึงถูกประหารชีวิตด้วยการตัดศีรษะ ต่อมาเมื่อคนทั่วไปทราบเรื่องราวจึงเกิดความประทับใจและยึดถือเอาวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ของทุกปีเป็น วันแห่งความรัก นั่นเอง
2. คนที่ฟ้าส่งมาให้รักเรามากที่สุดคือ พ่อแม่ เป็นรักไม่มีวันหมดอายุ ไม่มีเงื่อนไข เพราะต่อให้เราอ้วน น่าเกลียด พิการ ทำตัวงี่เง่ายังไง พ่อแม่ก็ยังรักและพร้อมจะเสียสละเพื่อเราเสมอ ดังนั้นในวันวาเลนไทน์ จึงอยากให้คุณๆ ทำดีต่อคุณพ่อคุณแม่ให้มากๆ นะคะ
3. คนที่ไม่มีแฟนไม่ใช่คนอาภัพน่าสงสารในวันวาเลนไทน์ เพราะคนโสดก็มีความรักได้ และคนที่น่าสงสารที่สุดก็คือคนที่ไม่มีความรักในหัวใจต่างหากล่ะ อีกอย่าง...คนที่มีแฟน แต่แฟนห่วยแตก ชีวิตเหมือนถูกขังให้ทรมานไปวันๆ น่าสงสารกว่าคนโสดเป็นไหนๆ
4. จากการสำรวจพบว่าในวัยเรียน เด็กคอซอง คนที่ให้ของขวัญบอกรักกันมากที่สุดในวันวาเลนไทน์ ไม่ใช่ คู่รัก แต่เป็น เพื่อน ดังนั้นอย่าเครียดไปเลยที่แม้ว่าจะยังไม่มีแฟนมาควงแขนอวดใครในวันวาเลนไทน์ เพราะถึงยังไง เราก็ยังมีเพื่อนมากมายที่มอบความรักต่อกันได้อยู่นะ
5. กุหลาบราคาแพงไม่ได้แสดงว่าเขารักเรามากจริงๆ ดังนั้นอย่าไปเชื่อคำพูดของใครว่า รักเรามาก เพียงเพราะเขาให้ดอกกุหลาบราคาแพงหูฉี่ เรื่องแบบนี้อยู่ที่ใจล้วนๆ
6. ครูที่ปรึกษาหลายท่านร้องไห้ด้วยความซาบซึ้ง เมื่อลูกศิษย์ประจำห้องมอบดอกกุหลาบวันวาเลนไทน์ให้ท่านคนละดอก ลองวางแผนเซอร์ไพรส์ครูดูไหมล่ะ ให้เพื่อนๆ เอาดอกไม้ไปไหว้ครูพร้อมๆ กัน ได้เห็นครูน้ำตาร่วงเพราะซึ้งใจชัวร์
7. เมื่อเธอมองรอบตัวจะพบสิ่งมีชีวิต ลองเป็นผู้ให้ความรักแก่พวกเขา มีเมตตาแก่พวกเขาดู แล้วเธอจะเต็มอิ่มไปด้วยรักในหัวใจ
8. คนที่ได้ดอกกุหลาบมากที่สุด ไม่ได้หมายความว่าจะมีความรักที่น่าอิจฉาที่สุด ตรงกันข้าม คนที่ไม่ได้ของขวัญวาเลนไทน์สักชิ้น อาจจะมีรักที่น่าอิจฉาที่สุดเลยก็เป็นได้
9. ของขวัญวาเลนไทน์ที่มีค่าที่สุด อาจลงทุนน้อยที่สุด เช่น การ์ดที่ตั้งใจทำกับมือ ดาวกระดาษที่พับมาเป็นเดือนๆ หรือของราคาถูกแต่ตั้งใจหาซื้อมาด้วยใจ เพราะฉะนั้น อย่าตีค่าความรักของใครด้วยราคาของขวัญที่เขาให้ เราดูที่การกระทำดีกว่านะ ก็มีค่ายิ่งใหญ่สุดๆ แล้ว
10. เดือนกุมภาพันธ์ซึ่งเป็นเดือนแห่งความรัก กลับเป็นเดือนที่มีวันน้อยที่สุดของปี บอกให้เรารู้ว่า ความรักจะสั้นหรือยาวไม่ได้อยู่ที่วันเวลาที่คบกันมา แต่อยู่ที่การทำทุกนาทีให้มีค่าร่วมกัน
11. วันวาเลนไทน์ไม่ใช่วันเสียตัวแห่งชาติ เรื่องนี้สำคัญมาก เพราะกลายเป็นแฟชั่นแปลกๆ ไปแล้วว่าวาเลนไทน์โรงแรมม่านรูดจะต้องเต็ม! ไม่เวิร์คเลย เพราะที่สุดแล้ว คนที่จะต้องมานั่งเสียใจในภายหลังก็คือเราคนเดียวเท่านั้น การมีอะไรกันไม่ได้บ่งบอกว่ารักกันเสมอไป ควรมีเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมเท่านั้น
ตอบลบ12. วันวาเลนไทน์ แม้จะตื่นเต้นยังไง ก็ยังต้องเรียนหนังสือ ไม่ใช่เอาแต่เหม่อมองรอคอยใครมาให้ดอกไม้ หรือร่าเริงโดดเรียนไปเที่ยวซะงั้น บางคนพอถึง วันวาเลนไทน์ สติแตก เอาแต่วางแผนว่าจะเซอร์ไพรส์แฟนยังไง ทำอะไรบ้าง สรุปวันนี้สอบตกเพราะไร้สติโดยสิ้นเชิงล่ะ
13. คนโสดก็มีวาเลนไทน์ที่อบอุ่นได้แค่เพียงรักตัวเอง ขอให้จำไว้เลยว่า แค่เพียงเราใช้วันวาเลนไทน์เป็นวันที่เราดูแลสุขภาพร่างกาย มอบความรักให้ตัวเอง เราก็จะเป็นคนที่น่าอิจฉาที่สุดได้อยู่แล้ว
14. อย่าเสียเงินไปซื้อดอกไม้หรือตุ๊กตามาเดินถือ เพียงเพราะกลัวขายหน้าที่ยังไม่มีใครให้ของขวัญวาเลนไทน์ มันเป็นอะไรที่ไร้สาระมากๆ เพราะการเดินมือเปล่าในวันวาเลนไทน์ไม่ใช่เรื่องน่าอายซักกะหน่อย ถ้ารวยนักละก็ เอาเงินไปบริจาคให้เด็กยากจนดีกว่านะ
15. ถ้าอยากให้ของขวัญวาเลนไทน์ที่อยู่นานๆ ต้นไม้ในกระถางก็น่ารักดี ดีกว่าดอกไม้ราคาแพงหูฉี่ แต่สามวันเน่า ลองไปหาซื้อไม้ใบ ไม้ดอกสวยๆ เอามามอบให้กัน ราคาถูกกว่า แถมอยู่ได้นานกว่าด้วย อีกอย่างมันก็มีความหมายเป็นนัยว่า รักของเราจะมั่นคงยาวนาน เหมือนต้นไม้ที่เติบโตและไม่เหี่ยวเฉาง่ายๆ ถ้าได้รับการดูแลอย่างดี
16. ผู้ชาย 55 เปอร์เซ็นต์มองว่าการให้ดอกไม้วาเลนไทน์เป็นเรื่องไร้สาระ บางคนถือว่าการให้ดอกไม้ผู้หญิงเป็นพวกเชยระเบิด ถ้าจะต้องทำเซอร์ไพรส์ให้เราวันวาเลนไทน์ เพราะความรักของเขาอาจจะไม่ได้โฟกัสที่ตรงจุดนั้น
17. สิ่งที่จะทำให้ผู้ชายซึ้งใจและรักเรามากคือความเข้าใจ ไม่ใช่ของขวัญวาเลนไทน์ราคาแพง เพราะฉะนั้นไม่จำเป็นเลยที่เราจะต้องอดข้าว อดน้ำเพื่อซื้อของราคาแพงเกินตัวให้เขา ถ้าเขารักเราจริง เขาคงไม่สบายใจที่เห็นเราต้องทรมานตัวเองแบบนั้นหรอกนะ ความเข้าใจในตัวของเขาและอยู่กับเขาโดยสร้างความสุขให้กันได้ทุกวันสำคัญสุดแล้ว
18. โลกของเราก็อยากได้ของขวัญวาเลนไทน์ ลองหันมารักโลก ทำสิ่งดีๆ ให้โลกกันดูไหม เช่น ปลูกต้นไม้ สัญญากับตัวเองว่าจะลดการใช้ถุงพลาสติก ประหยัดไฟ ประหยัดน้ำ ฯลฯ แบบนี้ก็ดีเหมือนกันนะ
19. ความสำคัญของการมีแฟนไม่ได้อยู่ที่มีคนเดินด้วยในวันวาเลนไทน์เท่านั้น ฉะนั้น อย่าคิดโง่ๆ แค่ว่าอยากมีแฟนเพราะจะได้มีคนมาเดินข้างๆ ในวันวาเลนไทน์ จนต้องรีบควานหาเอาใครก็ได้มาเคียงคู่ เพียงเพราะว้อนท์อยากมีแฟนใจจะขาด แบบนั้นเธอเสี่ยงจะเจอรักคุดหรือรักสุดแย่ได้
20. เราสามารถมีวันวาเลนไทน์ได้ทุกวัน แค่เพียงทำทุกวันให้เป็นวันแห่งความรัก ดูแลกันและกันทุกวัน ใส่ใจกันทุกวัน แล้วเธอก็จะพบว่า ไม่ว่าวันไหน โลกก็เป็นสีชมพูได้ แค่เพียงยังมีกันและกันอยู่เสมอ
ทำไมวันวาเลนไทน์ ถึงให้ ช็อกโกแลต
ตอบลบสงสัยกันไหมคะ ว่าของขวัญที่มอบให้กันในวันวาเลนไทน์ นอกจากดอกกุหลาบ แล้ว ทำไมถึงนิยมมอบ Chocolate ให้กัน?!?!?!
ว่ากันว่า...ในยุคโรมันที่นักบุญวาเลนไทน์ได้เสียชีวิตนั้น ช็อกโกแลตยังเป็นของหายาก จึงเป็นสิ่งที่มีค่าที่คนรักจะมอบแทนใจให้กันได้ จึงส่งไปพร้อมการ์ดและดอกไม้ ซึ่งสื่อความหมายของความรักมาแต่ไหนแต่ไรแล้วก็ได้ และอาจจะรวมไปถึงการที่ช็อกโกแลตเคยเป็นสัญลักษณ์ของเสรีภาพ มิตรภาพ และสันติภาพในช่วงที่สงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลงด้วยก็ได้ หรืออาจมาจากการที่ช็อกโกแลตนั้น สามารถช่วยกระตุ้นอารมณ์รักได้ด้วย เพราะมีเรื่องเล่าขานกันมาว่า นายมองเตชูมา นักรบผู้พิชิตแห่งสเปน มักจะดื่มช็อกโกแลตเป็นประจำเสมอ ก่อนไปหาเหล่าสาวๆ ในฮาเร็มของเขาค่ะ ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็เพื่อให้ช่วยกระตุ้นอารมณ์รักค่ะ
นอกจากช็อกโกแลตจะเป็นสัญลักษณ์ของเสรีภาพและมิตรภาพแล้ว ช็อกโกแลตยังมีประโยชน์อีกมากมายเลยล่ะค่ะ
ในตัวช็อกโกแลตนั้น มีส่วนประกอบสำคัญเรียกว่า Flavonoid เป็นสารซึ่งช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ และป้องกันการก่อตัวของไขมันในเส้นเลือดป้องกันโรคหัวใจและการเกิดมะเร็ง ที่สำคัญยังช่วยให้แก่ช้าด้วยนะคะ นอกจากนี้ในช็อกโกแลตยังมีสารบางชนิดไปกระตุ้นให้สมองหลั่งสารเคมีแห่งความสุขที่ชื่อเอ็นดอร์ฟิน (Endorphin) ออกมา ซึ่งจะช่วยลดความเครียดและทำให้เกิดความรู้สึกที่ดีขึ้นด้วยค่ะ
เมื่อเห็นข้อดีของ Chocolate แบบนี้แล้ว ไม่ใช่ว่าจะรีบไปหาซื้อมากินกันซะเยอะเกินพิกัดนะคะ หรือถ้าใครที่ได้รับ Chocolate ในวันวาเลนไทน์หลายก้อน ก็เก็บไว้กินวันอื่นๆ บ้างนะคะ เพราะถ้ากินเยอะเกิน เดี๋ยวความอ้วนจะถามหา แนะนำ Dark Chocolate แบบ Low fat ค่ะ ซื้อไว้กินเพื่อสุขภาพกัน
ขอขอบคุณข้อมูลจาก : http://amerainy.exteen.com/20070209/valentine-chocolate
ประวัติวันวาเลนไทน์
ตอบลบหลาย ๆ คนคงสงสัยว่า วันวาเลนไทน์ (Valentine's Day) คืออะไร ? เกิดขึ้นเพราะอะไร ? เหตุเพราะวันที่ 14 กุมภาพันธ์นั้นเป็นวันเสียชีวิตของนักบุญวาเลนไทน์ หรือเซนต์วาเลนไทน์ นักบุญแห่งความรักนั่นเอง นักบุญวาเลนไทน์ เป็นผู้ริเริ่มการจัดงานแต่งงานในยุคที่ไม่นิยมให้แต่งงานกัน เหตุเพราะในช่วงนั้น โรม ต้องประสบกับสงคราม จักรพรรดิคลอดิอุสที่สอง ต้องการเกณฑ์คนไปรบ แต่มีบุคคลจำนวนมากที่มีครอบครัว มีภรรยา มีคนรัก ต่างไม่อยากจะทิ้งครอบครัวไป ทำให้ จักรพรรดิคลอดิอุสที่สอง ตัดสินใจให้ยกเลิกการแต่งงานและการหมั้นทั้งหมดของชาวโรมันในยุคนั้นไปหมด อย่างสิ้นเชิง
แต่นักบุญวาเลนไทน์กลับสวนกระแสของจักรพรรดิคลอดิอุสที่สอง ชักชวนคู่รักมาแต่งงานหลายต่อหลายคู่ จนโดนจับตัวไปขังเอาไว้ และในคุกที่คุมขังนักบุญวาเลนไทน์นั้น เขาได้พบรักกับสาวตาบอดนางหนึ่ง เมื่อโดนจับได้ นักบุญวาเลนไทน์จึงถูกนำตัวไปประหารในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ วันดังกล่าวจึงกลายมาเป็น วันวาเลนไทน์ วันที่ผู้คนจะรำลึกถึงนักบุญผู้อุทิศตนให้ความรักนั่นเอง
สัญลักษณ์ของวันวาเลนไทน์
สัญลักษณ์วันวาเลนไทน์ วันแห่งความรัก คือ เทพเจ้าคิวปิด ซึ่งเป็นเทพเจ้าแห่งความรักดั้งเดิมของชาวโรมัน ร่างกายเป็นเด็กทารกติดปีก กำลังโก่งคันศรทองเล็งไปยังหัวใจของผู้คน ตามตำนานของกรีกและโรมันพูดถึงคิวปิดว่า เป็นบุตรของมาร์ (เทพเจ้าของสงคราม) และ วีนัส (เทพเจ้าแห่งความรักและความงาม)
ตำนานความรักของ เทพเจ้าคิวปิด นั้น ในอดีต เทพเจ้าวีนัสอิจฉา "ไซกี" ธิดาวัยกำลังแรกรุ่นของกษัตริย์องค์หนึ่ง ที่สำคัญคือไซกีสวยกว่าเทพเจ้าวีนัสมาก นางเลยส่งเทพเจ้าคิวปิดไปหาไซกี เพื่อบันดาลให้ไซกีมีความรักกับบุรุษเพศ แต่เทพเจ้าคิวปิดกลับหลงรักไซกีและพามาที่วัง และลอบมาหาในเวลากลางคืนเพื่อไม่ให้ไซกีรู้ว่าตนเองเป็นใคร แต่มีคนยุให้ไซกีแอบดูตอนเทพเจ้าคิวปิดนอนหลับ แต่ด้วยความตื่นเต้นของไซกีที่เห็นเทพเจ้าคิวปิดเป็นหนุ่มรูปงาม เลยเผลอทำน้ำมันตะเกียงหกใส่เทพเจ้าคิวปิด เมื่อเทพเจ้าคิวปิดรู้สึกตัวตื่นขึ้นก็โกรธมากที่นางขัดคำสั่ง จึงทิ้งนางไป
เมื่อโดนทิ้ง ไซกีก็ออกตามหาเทพเจ้าคิวปิด ซึ่งตลอดเวลาไซกีถูกเทพเจ้าวีนัสกลั่นแกล้งต่าง ๆ นานา จนเทพเจ้าคิวปิดเห็นใจต้องเข้ามาช่วย เทพเจ้าจูปิเตอร์เห็นใจ จึงช่วยให้ทั้งสองได้ครองรักกัน
ตำนานเซนต์วาเลนไทน์
ตอบลบว่ากันว่า เทศกาลวันวาเลนไทน์ (Valentine’s Day) เริ่มมีขึ้นเมื่อครั้งที่ยุคจักรวรรดิโรมันเรืองอำนาจ ขณะนั้น วันที่ 14 กุมภาพันธ์ในทุกๆ ปี ถูกจัดให้เป็นวันหยุด เพื่อเป็นเกียรติแก่เทพเจ้าจูโนผู้เป็นจักรพรรดินีแห่งเทพเจ้าโรมัน อีกทั้งยังทรงเป็นเทพเจ้าแห่งอิสตรีเพศ โดยกำหนดให้วันที่ 15 กุมภาพันธ์ ซึ่งเป็นอภิเษกสมรสของพระองค์เป็นวันเริ่มต้นเทศกาลการเฉลิมฉลองแห่งลูกเพอร์คาร์เลีย เป็นวันเริ่มต้นงานเลี้ยงของเด็กหนุ่มและเด็กสาวในยุคนั้น
ต่อมาในรัชสมัยของ จักรพรรดิคลอดิอัสที่ 2 (Emperor Claudius II) แห่งกรุงโรม พระองค์ทรงเป็นกษัตริย์ที่นิยมในการทำศึกสงคราม ซึ่งพระองค์ได้ตระหนักว่าเหตุที่ชายหนุ่มส่วนมากไม่ประสงค์จะเข้าร่วมกองทัพ เนื่องมากจากว่าชายหนุ่มเหล่านั้นไม่อยากพลัดพรากจากคนที่รักและครอบครัวไป จักรพรรดิคลอดิอัสที่ 2 จึงทรงมีคำสั่งห้ามไม่ให้จัดพิธีหมั้นและแต่งงานขึ้นในกรุงโรมโดยเด็ดขาด
แต่ได้มีนักบุญรูปหนึ่งนามว่า “วาเลนตินัส” เขามีเลื่อมใสศรัทธาต่อพระคริสต์เป็นอย่างมาก จนการได้รับการยกย่องเป็น “เซนต์ วาเลนไทน์” ในภายหลัง ที่มีความปรารถนาดีอยากให้คู่รักได้ผ่านเข้าสู่ประตูวิวาห์ในฝัน จึงได้ร่วมมือกับ “เซนต์ มาริอัส” จัดพิธีแต่งงานแบบลับๆ ให้ชาวคริสต์หลายคู่ จนเรื่องไปถึงหูของจักรพรรดิคลอดิอัสที่ 2 ทำให้เขาต้องถูกจับคุมขัง ถูกจองจำเป็นนักโทษ
แต่ระหว่างนั้นเขาก็ยังส่งคำอวยพรวาเลนไทน์ออกไปอย่างต่อเนื่อง และได้ตกหลุมรักกับหญิงคนหนึ่งที่เป็นลูกสาวของผู้คุมเรือนจำที่ชื่อว่า “จูเลีย” โดยในคืนก่อนประหารด้วยการตัดศีรษะ เธอได้มาเยี่ยมวาเลนไทน์ ซึ่งเขาได้ส่งจดหมายฉบับสุดท้ายถึง “จูเลีย” ลงท้ายว่า “From Valentine”
ภายหลังจากที่วาเลนไทน์ถูกประหารชีวิตไป ศพของเขาได้ถูกเก็บเอาไว้ที่โบสถ์พราซีเดส (Praxedes) ในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 270 ณ กรุงโรม โดยจูเลียได้ปลูกต้นอามันต์ หรือต้นอัลมอนด์สีชมพูไว้ใกล้ๆ กับหลุมของวาเลนไทน์ผู้เป็นที่รักของเธอ ทำให้ทุกวันนี้ต้นอามันต์สีชมพูได้กลายเป็นตัวแทนแห่งความรักนิรันดรและมิตรภาพอันสวยงามนับแต่นั้นมาจนถึงปัจจุบัน
อย่างไรก็ตามเพื่อเป็นการระลึกถึงชีวิตและความรักที่มีต่อเพื่อนมนุษย์อย่างแท้จริงของ “เซนต์วาเลนไทน์” พระสันตปาปาเกลาซิอุสได้กำหนดให้วันที่ 14 กุมภาพันธ์ ซึ่งเป็นวันที่เซนต์วาเลนไทน์ถูกประหารชีวิตเป็น “วันนักบุญวาเลนไทน์” ซึ่งถือเป็นวันแห่งความรักนั่นเอง
การเฉลิมฉลองในวันวาเลนไทน์
ตอบลบตำนานของเซนต์วาเลนไทน์ถือเป็นความรักที่ต้องเสียสละ แต่เรื่องนี้เข้ามาเกี่ยวข้องกับความรักในแบบโรแมนติกได้อย่างไรนั้น พบว่าเกิดขึ้นครั้งแรกในแวดวงสังคมของ “เจฟฟรีย์ ซอเซอร์” (Geoffrey Chaucer) ซึ่งเป็นนักเขียนที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นบิดาแห่งกวีนิพนธ์อังกฤษ ในช่วงกลางยุคสมัยกลาง จนเกิดประเพณีรักเทิดทูนขึ้น (Courtly love) และได้วิวัฒนาการมาถึงคริสต์ศตวรรษที่ 15 วันวาเลนไทน์กลางเป็นโอกาสเหมาะที่คู่รักจะได้แสดงความรักให้แก่กันด้วยการมอบดอกไม้ ขนม ลูกกวาด ช็อกโกแลต และส่งการ์ดอวยพรให้แก่กันสืบต่อกันมาจนถึงปัจจุบัน
ของขวัญวันวาเลนไทน์
ส่วนใหญ่แล้วของขวัญที่คู่รักมักจะมอบให้แก่กันในวันสำคัญนี้ ได้แก่
ดอกกุหลาบ
เป็นสัญลักษณ์หรือตัวแทนแห่งความรัก ที่สะท้อนความหมายโดนนัยผ่านสีต่างๆ ของดอกกุหลาบที่แตกต่างกันไป อาจมอบเป็นช่อ หรือจะมอบเป็นดอกเดี่ยวๆ ก็ได้
การ์ดวาเลนไทน์
การส่งมอบความปรารถนาดี ความห่วงใย และความเอาใจใส่ผ่านตัวหนังสือไปยังคนที่เรารัก ซึ่งไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็นคนรักอย่างเดียว แต่ยังหมายถึง คนในครอบครัว เพื่อนฝูง หรือพี่น้องก็ได้
ช็อกโกแลต
ในยุคที่นักบุญวาเลนไทน์เสียชีวิตนั้น การให้ช็อกโกแลตเป็นของหายาก จึงเปรียบเสมือนของที่มีค่าที่คนรักจะมอบให้กัน อีกทั้งช็อกโกแลตยังสามารถสื่อความหมายถึงชีวิตรักของเราได้อย่างชัดเจน เพราะด้วยรสชาติของมันที่มีตั้งแต่ขม ไปจนถึงรสหวาน เปรียบได้กับการดำเนินชีวิตคู่ที่บางครั้งก็มีทุกข์ มีสุขบ้าง หรือมีทั้งขื่นขมและมีหวานปะปนกันไป