Ben Silbermann ผู้ให้กำเนิด Pinterest
Pinterest ถือว่าเป็นอีกหนึ่ง Social Network ที่ได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน ผู้คนจำนวนมากหลั่งไหลเข้ามาที่ Pinterest เพื่อหาค้นหาไอเดีย และแรงบันดาลใจใหม่ ๆ ในการดำเนินชีวิตจากรูปภาพนับล้านภายในเว็บ ซึ่งมาจากผู้คนทั่วโลกตั้งแต่ปี 2010 จวบจนปัจจุบัน
นอกจากเป็นแหล่งค้นพบรูปภาพอันน่าทึ่งแล้ว Pinterest ยังเปิดโอกาสให้ผู้คนสามารถปักหมุด (Pin) รูปภาพที่ตนเองสนใจ (Interest) ลงบนบอร์ด ท้ายที่สุดบอร์ดนั้นจะกลายเป็นคอลเล็กชันของส่วนตัว ซึ่งผู้ใช้สามารถจัดหมวดหมู่บอร์ดและรูปภาพต่าง ๆ รวมถึงแบ่งปันสิ่งเหล่านั้นให้แก่ผู้อื่นได้
สตาร์ทอัพชื่อดังระดับโลกเกือบทุกราย ล้วนมีความล้มเหลวเป็นแรงผลักดัน ให้บรรดาผู้ก่อตั้งนั้นฝ่าฟันเพื่อไปสู่ความสำเร็จ Pinterest ก็เช่นเดียวกัน
Photo credit: How Pinterest Started Or How A Guy Would Not Quit on His Dream
ประวัติของผู้ก่อตั้งสตาร์ทอัพรายนี้โดนใจผมมาก เรื่องราวของชายคนหนึ่งที่ยอมลาออกจากงานประจำ (ที่ Google) เพื่อทำตามความฝันของตัวเอง แม้จะเจอกับอุปสรรค และความผิดหวัง เขาไม่เคยคิดที่จะยอมแพ้ แต่กัดฟันเดินหน้าต่อจนประสบความสำเร็จมาเป็น Pinterest ให้เราได้ใช้จนถึงทุกวันนี้
บทความนี้ผมขอเล่าเรื่องราวของ Ben ตั้งแต่ก่อนที่เขาจะได้ทำงานกับ Google (ก่อนรูปด้านบน) ต่อเนื่องมาจนถึงตอนออกจาก Google มาทำ Pinterest ในปัจจุบัน นี่คือเรื่องราวของ Ben Silbermann ผู้ให้กำเนิด Pinterest
ผมไม่ได้อยากเป็นหมอ!!!
Ben Silbermann เด็กหนุ่มจากเมืองดิมอยน์ (Des Moines) ในรัฐไอโอวา (Iowa) ผู้ถือกำเนิดในครอบครัวหมอ พ่อแม่พี่น้องทุกคนเป็นหมอหมด ดังนั้นผู้คนจึงคาดว่า Ben เรียนจบมาก็ต้องเป็นหมออย่างแน่นอน แต่นั่นเป็นความคิดที่ Ben ไม่เคยคิดถึงมันอีกเป็นครั้งที่ 2 ในชีวิต
สมัยเด็ก Ben ชื่นชอบและหลงไหลผู้ประกอบการขั้นเทพอย่าง George Eastman, Walt Disney และ Steve Jobs เหล่านี้คือไอดอลของหนุ่มน้อย และเขาต้องการที่จะประสบความสำเร็จแบบบุคคลเหล่านั้นบ้าง Ben ร่ำเรียนวิชาในเส้นทางแพทย์ จนกระทั่งปีที่ 3 ในชีวิตมหาวิทยาลัย เด็กหนุ่มได้ตัดสินใจก้าวเข้าสู่เส้นทางธุรกิจ โดยไปสมัครเข้าทำงานบริษัทไอทีแห่งหนึ่ง เนื่องจากมีตำแหน่งงานว่างอยู่
ตำแหน่งงานแรกที่ Ben ได้รับ คือ ที่ปรึกษา (Consultant) เขาไม่รู้เลยว่าสมัครอะไรไป รู้เพียงอย่างเดียว คือ เวลาทุกวันหมดไปกับการใช้โปรแกรม Spreadsheet (MS Excel) แต่หลังจากที่เขาติดตามข่าวสารเกี่ยวกับสตาร์ทอัพ จากเว็บ TechCrunch ซึ่งธุรกิจไอทีเกิดใหม่เหล่านั้นได้รับเงินทุนมหาศาล Ben คิดว่าข่าวนั้นมันควรจะเป็นเรื่องราวของเขามากกว่า และนั่นทำให้เขารู้ว่าตัวเองอยู่ผิดที่ซะแล้ว
Photo credit: Pinterest founding story
ซิลิคอน วัลเลย์ที่รัก
หนังเรื่อง Pirates of Silicon Valley ในปี 1999 นำเสนอเรื่องราวของ Steve Jobs และ Bill Gates เป็นแรงบันดาลใจให้ Ben ถึงกับย้ายไปที่แคลิฟอร์เนีย โดยมีวลีหนึ่งที่ปรากฎในหนังซึ่งโดนใจเขาอย่างมาก คือ
There might be something going on in California..
Ben หลงรักซิลิค่อน วัลเลย์เข้าอย่างจัง ชายหนุ่มเล่าว่าในร้านกาแฟท้องถิ่นที่เขาชอบไป ที่นั่นผู้คนต่างวุ่นอยู่กับการสร้าง Product ทั้งวันทั้งคืน อีกเหตุผลที่ Ben ย้ายมาซิลิค่อน วัลเลย์ ก็เพื่อให้ได้ใกล้ชิดกับบุคคลที่เป็นแรงบันดาลใจให้กับเขาอย่าง Steve Jobs โดยการแวะไปเยี่ยมชม Apple Store
Photo credit: Pinterest founding story
ทำงานใน Google ก็ยังไม่ใช่
ในที่สุด Ben ก็ได้งานทำที่ Google ในฝ่ายซัพพอร์ตลูกค้า แน่นอนมันน่าตื่นเต้นกว่าที่ทำงานที่แรกเป็นไหน ๆ Ben บอกกับผู้ที่สัมภาษณ์ว่า เขาหลงไหล และคลั่งไคล้อินเทอร์เน็ตมาก แต่งานที่ Google ก็ไม่ได้แตกต่างจากงานแรกมากนัก Ben ต้องวิเคราะห์ข้อมูล รวมถึงให้ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการออกแบบ Product แน่นอนว่างานนี้เขาต้องทำงานกับ Spreadsheet อีกแล้ว
Ben บอกว่า Google เป็นสถานที่พิเศษ เพราะสองผู้ก่อตั้งอย่าง Larry Page และ Sergey Brin นั้นคิดใหญ่!! ไม่มีบริษัทไหนหรอกที่จะถ่ายรูปถนนทุกแห่งบนโลกนี้และเอาไปใส่ไว้บนอินเทอร์เน็ต
ชายหนุ่มหมกมุ่นเกี่ยวกับการทำ Product มาก แต่ก็ต้องผิดหวังเมื่อ Google ไม่ยอมให้เขาทำ Product ตามที่ตั้งใจไว้เนื่องจาก Ben ไม่ได้เป็นวิศวกรซอฟต์แวร์ เขาไม่พอใจอย่างมากและบ่นตลอดเวลา จนสุดท้ายแฟนสาวของ Ben จึงพูดว่า “หยุดบ่น และทำมันซะ”
คุณคือคนที่โชคดีสุด ๆ ถ้ามีคนมาบอกคุณให้หลุดออกจากวังวนห่วย ๆ ที่คุณกำลังจมอยู่กับมัน
Ben พูดหลังจากที่กำลังจะออกจาก Google ในปี 2008 เขารู้สึกดี แต่เศรษฐกิจในอเมริกาในช่วงนั้นกำลังพังทลายลง เพื่อน ๆ ที่ Google ซึ่งกำลังจะออกไปร่วมงานกับ Ben ถึงกับกลับลำและแซว Ben ว่า “โอ้ ข้างนอกเป็นอย่างไรบ้างเพื่อน”
เริ่มต้นความฝันด้วยความล้มเหลว
หลังออกจาก Google ในเดือนพฤษภาคมปี 2008 แล้ว Ben เริ่มต้นทำตามฝัน โดยมองหาไอเดีย และได้เพื่อนร่วมทีมหนึ่งคน สมัยเรียนมหาวิทยาลัย ชื่อ Paul Sciarra อาศัยอยู่ในนิวยอร์ค
Paul กลายมาเป็น Co-Founder ร่วมกับ Ben ทั้งคู่ช่วยกันสร้างแอพไอโฟนขึ้นมาตัวหนึ่งชื่อ Tote สำหรับแสดงแคตตาล็อกสินค้าจากร้านค้าปลีก
Photo credit: Pinterest founding story
ทุกอย่างมันยากไปหมด พวกเขาไม่สามารถหาเงินทุนได้เลย เพราะคนรวยส่วนใหญ่มักลงทุนในทองคำ แอพถูกปล่อยไปแล้วแต่ใช้เวลาหลายเดือนในการอนุมัติจาก Apple Store รวมถึงจำนวนคนที่ซื้อของในแอพยังไม่เพียงพอที่จะเข้าตานายทุน ทั้งคู่จึงถูกปฏิเสธจากนักลงทุนชั้นนำหลายราย เรียกได้ว่าพวกเขาล้มเหลวกับแอพ Tote อย่างสิ้นเชิง
จุดกำเนิด Pinterest
หนึ่งปีให้หลัง สองหนุ่มเริ่มเฟ้นหาไอเดียใหม่ โดยการปรับรูปแบบธุรกิจจาก Tote ไปสู่ Pinterest ซึ่ง Ben คิดเสมอเกี่ยวกับ “การสะสมของที่สามารถใช้บอกได้ว่าคุณคือใคร” (Collecting tells a lot about who you are) Ben นึกย้อนไปถึงคอลเล็กชั่นแมลงของเขาในวัยเด็ก และนี่แหละ คือ Pinterest 1.0
Photo credit: Pinterest founding story
ช่วงที่ Ben ไปเยี่ยม Paul ที่นิวยอร์ค Ben ได้พบกับ Evan Sharp ผู้ซึ่งเคยร่วมงานกับ Facebook ทั้งสามคุยกันเรื่อง Pinterest แต่ Evan เป็นคนเดียวที่เข้าใจในสิ่งที่ Ben พูดมากที่สุด ทั้งคู่ช่วยกันทำงานจน Evan กลายมาเป็น Co-Founder อีกคนของ Pinterest
Paul, Ben และ Evan เรียงจากซ้ายไปขวา
Photo credit: Exclusive: Pinterest Co-Founder Paul Sciarra is leaving the company
พวกเขาช่วยกันออกแบบตาราง (Grid) แสดงรูปภาพของ Pinterest ซึ่งมีมากกว่า 50 แบบไม่ซ้ำกัน และมีพัฒนาการที่ดูดีขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่ง Pinterest พร้อมที่จะเปิดตัวแล้ว
Photo credit: Pinterest founding story
เปิดตัวราวกับป่าช้า
Pinterest เปิดตัวในเดือนมกราคม ปี 2010 Ben ส่งลิงค์เว็บไซต์ไปให้เพื่อนของเขาทุกคนที่อยู่ใน California แต่ก็ไม่มีใครเข้าใจว่า Pinterest มันคืออะไร
มันเงียบราวกับป่าช้า Pinterest ในช่วงเปิดตัวแทบไม่มีใครต้องการใช้มันเลย และอีก 4 เดือนต่อมามียอดผู้ใช้เพิ่มขึ้นเพียง 200 คนเท่านั้น ผู้ใช้กลุ่มแรก ๆ มาจากรัฐไอโอวาและยูทาห์ ทั้ง ๆ ที่อยู่ในเมืองแห่งเทคโนโลยีและสตาร์ทอัพ แต่ Pinterest ก็ไม่ได้อยู่ในสายตาของใครเลยในซิลิคอน วัลเลย์
ทีมของ Ben มีการขอเงินทุนเพิ่มแต่ไม่ค่อยสำเร็จนัก เนื่องจากเหล่าผู้ก่อตั้ง Pinterest ไม่มีใครที่เป็นวิศวกรซอฟต์แวร์ รวมถึงแรงกดดันจากซิลิคอน วัลเลย์ ที่ว่าคุณต้องประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว หรือยอมให้มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบธุรกิจใหม่ (Pivot) กรณีของเดิมที่ทำอยู่มันไม่เวิร์ก แต่ทีม Pinterest ก็ยังมุ่งมั่นกับวิสัยทัศน์เดิมที่วางไว้ คือ เป็นแหล่งที่ให้ผู้คนเข้ามาค้นหาแรงบันดาลใจและไอเดียจากบอร์ดภาพของผู้อื่น
แรงกดดันเหล่านี้ทำให้ Ben คิดไปถึงการกลับไปขอเข้าทำงานที่ Google อีกครั้งดีไหม แต่ Ben คิดว่ามันเป็นเรื่องที่น่าอับอาย และสายเกินไปเสียแล้ว รวมทั้งเขาไม่ต้องการให้เพื่อน ๆ ที่มาร่วมก่อตั้งต้องผิดหวัง นี่คือเหตุผลที่ทำให้ Ben ไม่ยอมแพ้และกัดฟันสู้ต่อไป
เริ่มฮิตติดตลาด
ในเดือนพฤษภาคม ปี 2010 หญิงสาวนาม Victoria ช่วยจัดโปรแกรมที่เรียกว่า Pin It Forward มันคือจดหมายลูกโซ่ เชิญชวนให้เหล่าบล็อกเกอร์มาแลกเปลี่ยน พินบอร์ด (Pinboard) กันในหัวข้อ “สำหรับพวกเขาบ้านคืออะไร” (“what home meant to them”) เหตุการณ์นี้ปลุกกระแสให้ Pinterest เป็นที่รู้จักในวงกว้างมากขึ้นบนโลกอินเทอร์เน็ต
ทันใดนั้นผู้คนต่างหลั่งไหลเข้ามาใช้งาน Pinterest ในรูปแบบที่บริษัทคาดไม่ถึง เช่น บอร์ดรวมภาพสิ่งของที่ดูคล้ายกับ Deathstar, รูปสถานที่ต่าง ๆ สำหรับนำเที่ยวในลอนดอน รวมถึงบอร์ดที่รวบรวมรูปภาพของแผนที่ต่าง ๆ ทั่วโลก
Photo credit: Pinterest founding story
Meet-up ครั้งแรกของ Pinterest จัดขึ้นโดย Victoria ปัจจุบันเธอกลายเป็นผู้จัดการฝ่าย Community ของ Pinterest ไปแล้ว Ben บอกว่าเขาชอบช่วงเวลานั้นมากที่สุด
ในช่วงที่ Pinterest เริ่มโต Ben เขียนอีเมล เพื่อขอบคุณผู้ใช้งาน Pinterest กลุ่มแรกเป็นการส่วนตัว ในช่วงเวลานั้นมีผู้ใช้ประมาณ 5,000-7,000 คน และคนที่เข้ามาใช้งานประจำ คือ กลุ่มคุณแม่
ปี 2013 นี้เอง Pinterest ได้เติบโตขึ้น มียอดผู้ใช้ประมาณ 25 ล้านคน บริษัทมีมูลค่าประมาณ 2 พันล้านเหรียญ เนื่องจากผู้ใช้ส่วนใหญ่เป็นผู้หญิง มีฐานะดี และชอบใช้จ่ายผ่าน Pinterest จึงกลายเป็นช้อปปิ้งวินโดว์ (Shopping Window) แหล่งรวมสินค้าจากร้านค้าปลีกชั้นนำมาเสิร์ฟให้ลูกค้ากลุ่มนี้ได้ช้อปกันอย่างถูกอกถูกใจ
ปัจจุบัน Pinterest มีผู้ใช้ทั่วโลกราว 70 ล้านคน มีมูลค่าประมาณ 11 พันล้านเหรียญ และใหญ่เป็นอันดับ 4 รองจาก Facebook, Google+ และ Twitter
ตกลง Pinterest ต้องการเป็นอะไร!!!
วิสัยทัศน์ของ Pinterest ที่ Ben และทีมตั้งใจไว้ คือ การเป็นสถานที่ใช้เพื่อวางแผนโครงการต่าง ๆ ที่สำคัญที่สุดในชีวิตของผู้คน เช่น ช่างทำอัญมณีปักหมุดรูปภาพการออกแบบในอนาคตทั้งหมดไว้ หรือผู้หญิงคนหนึ่งที่ต้องการหางานฝีมือเก๋ ๆ บน Pinterest รวมถึงเขียนบล็อกเกี่ยวกับงานเหล่านั้น
นอกจากนี้พวกเขายังต้องการให้ Pinterest เป็นสถานที่ที่ผู้คนสามารถค้นพบสิ่งสวยงามต่าง ๆ เหมือนกับการเดินชมของในร้านขายของชำ หรือในร้านหนังสือ รวมถึงการชมภาพในพิพิธภัณฑ์ศิลปะสมัยใหม่
สำหรับพันธกิจของ Pinterest คือ การให้แรงบันดาลใจแก่ผู้คนออกไปข้างนอก ทำสิ่งต่าง ๆ ที่ตนเองรักแบบออฟไลน์ แทนที่จะขลุกตัวอยู่แต่ในโลกออนไลน์
Photo credit: How to Recruit Using Pinterest [Top 3 Tips]
ตัวเลขที่น่าสนใจ
- Pinterest เป็นบริษัทที่มีมูลค่าประมาณ 11 พันล้านเหรียญ ในปี 2015 (นิตยสาร Forbes)
- บริษัทมีพนักงานกว่า 500 คน
- รายได้ต่อคลิกของ Pinterest มากกว่า Twitter 400% และมากกว่า Facebook 27 %
- 75.8 ล้านคน คือ จำนวนผู้ใช้งาน Pinterest ทั่วโลกในปี 2015
- 44.5 ล้านคน คือ จำนวนผู้ใช้งาน Pinterest ใน US
- 80% ของผู้ใช้ Pinterest เป็นผู้หญิง และ 50% เป็นคุณแม่
- 75% ของการใช้ Pinterest มาจากฝั่ง Mobile
- 93% ของผู้ใช้มีการช้อปผ่าน Pinterest เมื่อ 6 เดือนที่แล้ว
ข้อคิดดี ๆ จากสตาร์ทอัพ Pinterest
Follow Your Passion
ต่อให้คุณไม่ได้เป็นวิศวกรซอฟต์แวร์ หรือโปรแกรมเมอร์ ถ้าคุณมีความฝัน หรือสิ่งที่คุณรู้สึกตื่นเต้นไปกับมัน จงลงมือทำ ให้มันเป็นจริงตามที่คุณตั้งใจไว้
Think Big, Start Small, and Be Patient
ผู้ก่อตั้ง Pinterest คือกลุ่มคนที่ฉลาด แต่พวกเขาไม่ใช่อัจฉริยะ แม้ปัจจุบันพวกเขาจะมียอดผู้ใช้ราว 40 ล้านคน (ใน US) แต่ในช่วงแรก ๆ ที่ปล่อย Product ออกไปกลับไม่มีใครอยากใช้เลย 4 เดือนผ่านไปมีผู้ใช้แค่ 200 คนเท่านั้น
นอกจากนี้ทีม Pinterest ยังไม่ได้รับเงินทุนมากมายนักในช่วงเริ่มต้นเป็นระยะเวลานาน ทั้งหมดคือเรื่องธรรมดา สำหรับผู้ประกอบการสตาร์ทอัพที่ไม่ได้เป็นร็อคสตาร์ ดังนั้นจงอดทนและทำตามวิสัยทัศน์ที่คุณวางไว้อย่างแน่วแน่และมั่นคง ใครจะไปรู้ล่ะว่าลูกบอลหิมะที่คุณปล่อยกลิ้งออกไปแล้ว สักวันมันจะใหญ่โตขึ้นแค่ไหน
ข้อมูลอ้างอิง
[บทความ] Pinterest CEO: Here’s How We Became The Web’s Next Big Thing
http://www.businessinsider.com/pinterest-founding-story-2012-4?op=1
[บทความ] Ben Silbermann
https://en.wikipedia.org/wiki/Ben_Silbermann
[บทความ] Pinterest’s Unlikely Journey To Top Of The Startup Mountain
http://techcrunch.com/2012/04/08/pinterest-startup-mountain/
[บทความ] Getting Your Pinterest Business off the Ground
http://www.success-with-nutrition.com/getting-pinterest-business-off-ground/
[บทความ] Pinterest Startup Story
https://www.fundable.com/learn/startup-stories/pinterest
เบน ซิลเบอร์แมนน์ ผู้ร่วมก่อตั้ง ‘Pinterest’
ตอบลบเมื่อพูดถึงไอเดียแต่งห้อง แต่งตัว งานคราฟต์ กราฟิกสวย ๆ ไปจนถึงภาพวอลล์เปเปอร์บนจอมือถือหรือเดสก์ท็อป เชื่อว่าหลายคนคงนึกถึง ‘Pinterest’ แอปพลิเคชันที่เปรียบเสมือนขุมทรัพย์ทางไอเดีย เพราะนอกจากจะกด pin รูปภาพและวิดีโอแยกเป็นหมวดหมู่ได้แล้ว การเข้าไปใน Pinterest ยังเหมือนกับเราได้เดินเข้าแกลเลอรีเพื่อเสพย์ความสุนทรีย์ เพียงแต่เปลี่ยนมาอยู่ในรูปแบบออนไลน์
แนวคิดของ Pinterest ไม่ใช่การ ‘ค้นหา’ สิ่งที่ต้องการ แต่เป็นการสะสมสิ่งที่ชอบ หลงใหล สนใจ จนกระทั่ง ‘ค้นพบ’ สิ่งที่ตัวเองต้องการจริง ๆ ไม่ว่าจะเป็นสไตล์การแต่งห้อง การแต่งตัว หรือไอเดียอื่น ๆ ที่สะท้อนถึง ‘ตัวตน’ ของเรา
แนวคิดของ Pinterest นั้นคงไม่ต่างจากเส้นทางชีวิตของผู้ร่วมก่อตั้งอย่าง ‘เบน ซิลเบอร์แมนน์’ (Ben Silbermann) เพราะเขาเริ่มมาจากการหลงทางและไม่รู้ว่าตัวเองกำลังค้นหาอะไร แต่ท้ายที่สุด ทุกเส้นทางที่ผ่านมานั้นได้ค่อย ๆ หล่อหลอมตัวตนของเขา จนกระทั่งเบน ‘ค้นพบ’ สิ่งที่ตนเองหลงใหลและลงมือทำอย่างจริงจัง
เริ่มต้นจากการหลงทาง
เบนเกิดและเติบโตในเมืองดิมอยน์ รัฐไอโอวา สหรัฐอเมริกา ท่ามกลางครอบครัวที่เต็มไปด้วยคุณหมอ ทั้งพ่อแม่ไปจนถึงพี่น้องของเขา ส่วนเบนเองก็มีภาพฝันในวันเติบใหญ่ว่าเขาคงเป็นหนุ่มสวมชุดกาวน์คอยรักษาคนไข้ในโรงพยาบาลเช่นเดียวกัน
แต่แล้วในช่วงวัยรุ่น เบนกลับเปลี่ยนใจไปเรียนรัฐศาสตร์ ในมหาวิทยาลัยเยล แล้วจบการศึกษาเมื่อปี 2003 ครั้งหนึ่งเขาได้งานเป็นที่ปรึกษา (consultant) ที่ต้องนั่งหน้าจอคอมพ์เปิด excel ทำงานทุกวัน ระหว่างนั้น เขาก็เริ่มรู้สึกว่าตัวเองกำลังอยู่ผิดที่ผิดทางมาตลอด… หากยังไม่แน่ใจว่าสิ่งที่ตนเองต้องการจริง ๆ คืออะไร แต่ที่แน่ ๆ คงไม่ใช่งานสายรัฐศาสตร์หรือการแพทย์อย่างคนในครอบครัวของเขา
เบน ซิลเบอร์แมนน์ ผู้ร่วมก่อตั้ง ‘Pinterest’ ที่เริ่มต้นมาจากการ ‘สะสมแมลง’ ในวัยเด็ก
Google ไอเดียใหม่ และการลาออก
หลังจากเรียนจบได้ไม่นาน เบนมีโอกาสเข้าทำงานในฝ่าย customer support ของ Google แม้เขายังต้องอยู่กับ excel และสเปรดชีตมหาศาลอีกครั้ง แต่เบนกลับรู้สึกตื่นเต้นกับงานนี้มากกว่างานอื่น ๆ ที่เคยสมัครมาก่อน
“ผมชอบอินเทอร์เน็ตมาก ๆ จริง ๆ นะ”
เขาเล่าถึงความรู้สึกตอนที่ทำงานใน Google สถานที่ที่เขามองว่า ‘พิเศษ’ มาก ๆ เพราะเหล่าผู้ก่อตั้งล้วนมีฝันที่ยิ่งใหญ่
"คงไม่มีบริษัทไหนที่ไปถ่ายรูปถนนทุกสายในโลก แล้วเผยแพร่ในโลกออนไลน์"
แม้จะประทับใจ Google มาก แต่เขาเองก็รู้สึกหงุดหงิดมากเช่นเดียวกัน เพราะไอเดียที่เขาเสนอต่อ Google นั้นถูกเมินเฉยและไม่ยอมให้เขาทำในสิ่งที่ตัวเองต้องการ
“คุณคงไม่ถาม Google ว่า เฮ้! ทำยังไงให้ห้องนั่งเล่นของฉันมันดู cozy ขึ้นมากว่านี้นะ คงไม่ถามว่า ฉันกับเพื่อน ๆ ควรจะพกอะไรไปแคมป์ปิ้งทริปดี งานแต่งงานฉันจะหน้าตาเป็นแบบไหนดีนะ หรือเย็นนี้ฉันจะทำอะไรกินดี และคงไม่ถามว่าฉันควรจะใส่เสื้อผ้าแบบไหนให้ได้ลุคคูล ๆ บ้าง”
เบนพูดเรื่องนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนแฟนสาวของเบนบอกกับเขาว่า ‘เลิกบ่น แล้วลงมือทำได้แล้ว!’
คำพูดของแฟนรวมกับไอเดียที่สั่งสมไว้ราวกับภูเขาไฟที่ใกล้ระเบิด ทำให้เบนตัดสินใจลาออกจาก Google เพื่อมาทำธุรกิจของตนเอง
หลังออกจากงาน เบนรู้สึกโล่งใจได้ไม่นานเพราะหนึ่งสัปดาห์หลังจากนั้น เศรษฐกิจภายในประเทศกลับพังทลายลงในพริบตา แต่เมื่ออยู่ในสภาวะ ‘กลับตัวไม่ได้’ เขาจึงต้อง ‘เดินต่อไป’ จนกว่าจะถึง โดยเบนร่วมทีมกับ พอล เซียร์รา (Paul Sciarra) เพื่อนร่วมมหาวิทยาลัยของเขา เพื่อทำ product แรกที่ชื่อว่า ‘Tote’ ที่เป็นเหมือนแค็ตตาล็อกออนไลน์ในโทรศัพท์มือถือ
“ทุกอย่างมันดูยากไปหมด เราหาเงินไม่ได้ แอปฯ ก็เพิ่งจะเปิดตัวซึ่งมันใช้เวลาอนุมัติหลายเดือนเลย”
แน่นอนว่าช่วงแรก ๆ เขาต้องฟังคำปฏิเสธจากนักลงทุนหลายต่อหลายครั้ง และด้วยปัญหาที่ประดังประเดเข้ามาไม่หยุด ทำให้เขาต้องยกเลิกการทำ Tote ไปในที่สุด
แต่บนเส้นทางธุรกิจ เบนรู้สึกว่าเขาต้องก้าวข้ามคำว่า ‘ไม่’ ของนักลงทุนไปให้ได้ และเขาจะไม่ยอมล้มเลิกไปตั้งแต่ตอนนี้ด้วย 2 เหตุผลหลัก อย่างแรกคือ เขาคงไม่สามารถหันหลังกลับไปที่ Google ได้อีกแล้ว และอีกเหตุผลหนึ่งคือ เขาไม่อยากทำให้พอล เพื่อนร่วมทางที่ฝ่าฟันมาด้วยกันตั้งแต่ต้นต้องผิดหวัง
และนั่นคือจุดเริ่มต้นของไอเดีย Pinterest
Pinterest ไม่ใช่การค้นหาแต่เป็นการค้นพบ
ตอบลบท่ามกลางปัญหาราวกับหมอกหนาบังเส้นทางข้างหน้า เบนเริ่มนึกย้อนกลับไปในวัยเด็ก แล้วภาพ ‘การสะสมแมลง’ งานอดิเรกสุดโปรดของเขาก็เริ่มปรากฏขึ้นในหัว…
“ผมคิดมาเสมอว่าสิ่งที่คุณสะสมมันบ่งบอกตัวตนของคุณด้วย” เบนเล่าว่าคอลเลกชันแมลงในวัยเด็กของเขา คงเรียกได้ว่าเป็น ‘Pinterest 1.0’ และไม่นานหลังจากนั้นเขาได้พบกับเพื่อนของเพื่อนที่ชื่อว่า อีวาน ชาร์ป (Evan Sharp) และทั้งคู่ก็ได้พูดคุยกันเกี่ยวกับ Pinterest
“มันเหมือนกับเขาเป็นคนเดียวที่เข้าใจในสิ่งที่ผมพูด”
ในที่สุดชาร์ปก็ได้มาร่วมเป็นหนึ่งในสามหนุ่มผู้ก่อตั้ง Pinterest โดยชาร์ปทำหน้าที่ด้านการออกแบบ เขาคือคนคิดโครงสร้างแบบกริดใน Pinterest ที่ทำให้เราเลื่อนดูภาพต่าง ๆ ได้อย่างสบายตา
ทันทีที่เปิดตัว Pinterest ในปี 2010 เขาส่งไปให้เพื่อน ๆ ในแคลิฟอร์เนียดู แต่กลับไม่มีใครเข้าใจว่า Pinterest คืออะไร และมีไว้ทำอะไร ส่วนผู้ใช้งานส่วนใหญ่ก็มักจะมาจากดิมอยน์ จนเบนตั้งข้อสงสัยว่า “เป็นเพราะแม่บอกคนไข้ของเธอทุกคน (เรื่อง Pinterest) หรือเปล่า” แต่ไม่ว่าจะมีหน้าม้าหรือว่ามีคนใช้งานจริง ตัวเลขผู้ใช้งานก็นับว่ายังไม่น่าพอใจนัก
แต่แล้วเรื่องไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เมื่อมีหญิงสาวที่ชื่อว่าวิกตอเรีย ได้ลองทำแคมเปญ ‘Pin It Forward’ ใน Pinterest ซึ่งเป็นจดหมายลูกโซ่ให้บล็อกเกอร์แลกเปลี่ยนพินบอร์ดเกี่ยวกับ ‘ความหมายของบ้าน’ สำหรับพวกเขา วันเวลาผ่านไป แคมเปญนี้เริ่มกลายเป็นไวรัล บวกกับการที่เบนส่งอีเมลหาผู้ใช้งานราว 5,000 ราย เพื่อขอรับคำติชมและคำแนะนำ ทำให้ Pinterest ค่อย ๆ เติบโตขึ้น โดยในเดือนเมษายน 2012 Pinterest มีผู้ใช้งาน 17 ล้านราย ซึ่งเพิ่มจากเดือนสิงหาคม 2010 ที่มีผู้ใช้งานเพียง 5,000 รายเท่านั้น
ในปี 2020 Pinterest มีรายได้กว่า 1.69 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งรายได้หลักของ Pinterest มาจากการโฆษณาประมาณ 1.39 พันล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 82.2% ของรายได้ทั้งหมด โดยโฆษณาของ Pinterest จะเป็นภาพส่วนที่เรียกว่า ‘promoted pins’ นั่นเอง
ส่วนกลุ่มผู้ใช้งาน Pinterest นั้นมีทั้งช่างอัญมณีผู้หาไอเดียการออกแบบมาแปะไว้ใน Pinterest หรือหญิงสาวที่ลองหาไอเดียและวิธีทำงานคราฟต์ แล้วเริ่มเขียนบล็อกเกี่ยวกับงานนี้ เช่นเดียวกับจุดมุ่งหมายของ Pinterest ที่อยากให้ผู้คน ‘ค้นพบ’ (Discover) บางอย่างที่ไม่ได้คาดคิด แล้วออกจากโลกออนไลน์เพื่อไปลงมือทำอะไรบางอย่างในโลกความเป็นจริง
“เราไม่ได้สร้างเว็บไซต์อันสมบูรณ์แบบที่รู้แน่ชัดว่าคุณชอบอะไร แต่เราจะช่วยให้คุณค้นพบอะไรบางอย่างที่เมื่อคุณเห็นสิ่งเหล่านี้ คุณจะรู้จัก แล้วก็จะชอบมัน”
คงไม่ต่างจากชีวิตของเบนที่สุดท้าย การเดินทางและการลองผิดลองถูกก็ทำให้เขาได้ ‘ค้นพบ’ สิ่งที่หลงใหลและได้ลงมือทำ นั่นก็คือ Pinterest
ความคิดเห็นนี้ถูกผู้เขียนลบ
ตอบลบLAZADA AFFILIATE PROGRAM
ตอบลบAffiliate Network เว็บแรก คือ Lazada หากคุณเคยซื้อสินค้ากับ Lazada บ่อยๆ อาจจะยังไม่ทราบว่าทาง Lazada แบ่งหน้าเว็บไซต์ส่วนหนึ่งสำหรับให้ผู้ขาย ทำ Affiliated Program ด้วยการเข้ามาเอา link สินค้า ไปโปรโมตขายในเว็บของคุณ ด้วยความที่ว่า Lazada ต้องปันเงินค่าสินค้าส่วนหนึ่งมาให้กับ ผู้ช่วยเอา link สินค้าไปโฆษณา ทำให้ Lazada เรียกเก็บค่าวางสินค้าในเว็บกับผู้ขาย ค่อนข้างสูง (ได้ยินมาว่าเกือบ 30%) ทำให้ผู้ขายต้องเอาไปบวกกับราคาของสินค้า ซึ่งต้องเป็นผู้ขายรายใหญ่ ที่มีสินค้าสต็อกเป็นโกดังเท่านั้นถึงจะคุ้ม
สำหรับ Publisher ที่ต้องการเอา link สินค้าไปวางจำหน่ายนั้น ต้องเข้าสมัครสมาชิก และต้องมีเทคนิคการเลือกสินค้ามาวางขายพอสมควร เพราะบางสินค้า ราคาแพง แต่ให้ค่า Commission น้อย บางสินค้า ราคาดูน้อย แต่กลับให้ค่า Commission มากก็มี (เดาไม่ถูกเลยทีเดียว) ส่วนช่วงไหนที่ Lazada ต้องการให้โปรโมตสินค้าตัวไหนเป็นพิเศษ ก็จะมี Email แจ้งมายัง Publisher ให้ช่วยกันเขียนขายของ
วิธีการหารายได้กับ Lazada Affiliated Program
- เข้าไปที่เว็บไซต์ lazada บริเวณท้ายๆ เว็บ คลิกไปที่คำว่า Lazada Affiliate Program
(logo นี้)
- ลงทะเบียน ด้วย Email
- กรอกเว็บไซต์ของคุณ และช่องทางที่คุณจะเผยแพร่ลิ้งค์ AFFILIATE PROGRAM
- เมื่อเขียนบทความเกี่ยวกับสินค้า แล้วต้องเข้าไป Create Link เพื่อนำมาโพสต์ขาย
- ตรวจสอบ Stat การเข้ามาชมของลูกค้า และ ดูรายการชำระสินค้าได้ จะเห็นค่า Commission ขึ้นมา
เว็บไซต์ Publisher ที่นำ link Lazada ไปขายของได้อย่างประสบความสำเร็จ ที่คุ้นหู ได้แก่ Priceza.com, Thaimobilecenter, Baidu เป็นต้น
2. aCommerce AFFILIATE ASIA
ตอบลบในกลุ่มผู้ที่ทำงานด้าน Affiliate Marketing อย่างจริงจัง จะรู้จักชื่อเสียงของ 2 แบรนด์ ที่มาคู่กันอย่าง aCommerce กับ Interspace ต่างกันตรงที่ aCommerce งานสินค้าเกี่ยวกับ ประกันภัย , ธุรกรรม และการเงิน มาเป็นหลัก และมีสินค้าอื่นๆ อย่าง Online Shopping เจ้าใหญ่อย่าง Robinson, Honest Bee, TV Direct, Nescafe เป็น Affiliate Network เจ้าแรกๆ ของไทย ที่รู้จักกันมามากกว่า 7 ปีแล้ว ซึ่งส่วนใหญ่แล้ว Publisher ระดับมืออาชีพ เท่านั้น ที่จะเลือกทำงานกับ aCommerce เพราะต้องไม่ใช้ผู้เขียนธรรมดา จะต้องมีความรู้เรื่องภาษาคอมพิวเตอร์ระดับเบื้องต้นด้วย
วิธีการหารายได้กับ aCommerce Affiliate Network
- เข้าไปที่เว็บไซต์ affiliate.acommerce.asia
- สมัครสมาชิกกับเว็บไซต์
- สร้าง Deeplink ด้วยระบบ HasOffers หรือ จาก Data Feed
########################
3. INTERSPACE THAILAND
INTERSPACE หรือที่ กลุ่ม Publisher รู้จักกันในอีกชื่อ คือ “Accesstrade” ต้องค่อนข้างเป็นมือโปรฯ จริงๆ ที่จะหารายได้จาก Interspace ได้เป็นกอบเป็นกำ (เรียกได้ว่ารวยเลยทีเดียว) ค่าคอมมิชชั่น หรือ กำไรหลักล้าน เป็นไปได้ จากการเป็นตัวแทนขายกับ Interspace Thailand ซึ่งเป็นบริษัท Affiliate Network จากประเทศญี่ปุ่น ที่บ้านเขาทำกันมาหลายปีแล้ว และมาขยายสาขาในประเทศไทย ลูกค้า Advertiser เจ้าหลักๆ ของ Interspace แทบจะมีทุกแบรนด์ ออนไลน์ ที่เราเคยเห็นในเว็บ E-Commerce ระดับ แนวหน้าของประเทศทั้งนั้นเลย ไม่ว่าจะเป็น Central Online, Sephora, Tops Shop Online
#######################
4. iPriceThailand
หากคุณเคยเข้าเว็บไซต์ ipricethailand.com จะพบว่ามีหน้าตาหน้า Home ที่ดูเป็นเว็บไซต์ขาย Content มากกว่าขายของ และพอคลิกหาสินค้า จะเจอกับ สัดส่วนการเปรียบเทียบราคาของสินค้าต่างๆ กับทาง iPrice ไม่ว่าจะเป็น โปรโมชั่นใน Lazada, Grab, Uber, Pizza Hut, Shopee, Central Online, Shopee, iTruemart, JIB เพื่อผลักดันตัวเองเป็น ศูนย์รวมร้านค้าออนไลน์ E-Commerce เจ้าใหญ่ ใน Asia
และในส่วนการทำงานแบบ Affiliated Program เรายังไม่พบกับช่องทางที่จะให้เราเข้าไปเป็น Publisher ได้ เหมือนเพิ่งเริ่มต้นเข้ามาเป็น Affiliate Network ให้กับคนไทยได้เข้าชมเว็บเพื่อสร้าง Traffic ก่อน เมื่อมีคนเข้าเว็บจำนวนมากพอแล้วน่าจะเปิด Section เพื่อให้ Publisher ไปเอา Link ออกมาโพสต์ขายได้
#########################
5. Promotions x AMOT
เร็วๆ นี้ เว็บไซต์ Promotions.co.th จะร่วมกับ amot.in.th กำลังจะเปิดตัวให้เพื่อนๆ ที่เป็นนักเขียน มาเป็นสมาชิกเว็บไซต์ เพื่อเขียนบทความ หรือ สร้าง Post เพื่อเป็นอาชีพเสริม ซึ่งสินค้าของทาง Amot มีหลากหลายและโดดเด่น (แอบบอกว่าได้ค่า Commission สูง) อาทิ สินค้าในกลุ่ม บัตรเครดิต, บัตรกดเงินสด, ประกันการเดินทาง, ประกันอุบัติเหตุ, สายการบิน หลายอย่างมากๆ ซึ่งมีบริการ Call Center สำหรับติดต่อทางโทรศัพท์ ที่เรียกว่า เทเลเซลล์ เพื่อให้ลูกค้าได้เข้าถึงกลุ่มผลิตภัณฑ์บัตร – สินเชื่อ มากที่สุดในประเทศ ให้บริการขายทางโทรศัพท์มากกว่า 20 ปีแล้ว
จุดเด่นของการสมัครเป็นตัวแทนขายกับ Promotions.co.th x Amot
- ไม่กดดันเรื่องยอดขาย ทำได้มาก ยิ่งได้มาก
- ใช้วิธีการทำงานผ่านคอมพิวเตอร์ หรือ โทรศัพท์มือถือสมาร์ทโฟน
- โพสต์ผ่าน Social Media อย่าง Facebook หรือ Instagram ก็ได้ (Twitter ก็ได้นะ)
#######################