Learn with Prin เรียนรู้ไปพร้อมกับน้องปริญญ์

จำหน่ายผลิตภัณฑ์ Legacy /Reborn Set ลด Fat ตัวช่วยลดไขมัน ลดน้ำหนัก แบบถูกวิธี 🔥 ติดต่อสอบถาม/สั่งซื้อ 📍 โทร ☎️ :: 084-110-5021 🌸 Line ID :: pla-prapasara 🌸 รับโปรโมชั่นสุดพิเศษเฉพาะทาง Line นะคะ 📍

วันพุธที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2568

IF (Intermittent Fasting) คืออะไร

IF คือ อะไร



if ลดน้ำหนัก ดีอย่างไร

IF (Intermittent Fastingคืออะไร กันแน่และจะทำให้น้ำหนักลดลงได้อย่างไร? อีกทั้งจะส่งผลเสียหายกับระบบเผาผลาญในอนาคตหรือไม่?

จะดีกว่าไหมถ้าการที่จะมีระบบระเบียบในการรับประทานอาหารที่ได้ผลดีในระยะยาวกับสุขภาพและร่างกายของเรา ซึ่งเหมาะมาก ๆ กับยุคที่มีแต่ความเร่งรีบ ทำให้ระบบเผาผลาญพลังงานสับสนจนเสียหาย วันนี้เราเลยนำวิธีที่ง่าย และตอบโจทย์อย่างการทำ IF หรือ Intermittent Fasting มาฝากในวันนี้ แต่จะมีประโยชน์ มีข้อดี ข้อเสีย และข้อควรห้ามยังไง ไปรู้จักกับเขากันเลยดีกว่า


IF หรือ Intermittent Fasting คืออะไร?


คำว่า IF ย่อมาจาก Intermittent Fasting ซึ่ง Intermittent แปลว่าทำอะไรเป็นช่วง ๆ ส่วน Fasting คือการอดอาหาร เมื่อมารวมกันก็จะหมายความว่า การอดอาหารในช่วงเวลาแต่ละวัน

โดยในแต่ละวันเราจะมีการแบ่งเป็นช่วงเวลาที่เรียกว่า Fasting การอดและก็ช่วง Feeding คือช่วงกิน ในหนึ่งวันของแต่ละสูตรก็จะอดหรือว่ากินในเวลาที่ไม่เท่ากัน เรียกง่าย ๆ ว่า IF เป็นวิธีที่ใช้ในการลิมิตหรือจำกัดในการกิน เพื่อให้มีวินัยในการกินที่มากขึ้น หลักการทำงานของ IF คือพอมีระบบที่ใช้ในการกินร่างกายก็จะได้รับพลังงานในรูปแบบที่สามารถคาดคะเนได้ง่ายขึ้น

ยกตัวอย่าง

ถ้าเรากินไปเรื่อยๆและไม่ได้มีการกำกับเวลาในการกินก็อาจจะได้รับสารอาหารที่เยอะหรือน้อยในแต่ละวัน แต่การมีระบบก็สามารถรู้ว่าชั่วโมงนี้กินได้ชั่วโมงนี้กินไม่ได้ ซึ่งทำให้รูปแบบการกินมีระเบียบมากขึ้น ระเบียบตรงนี้ก็จะทำให้เราเกิด Calorie Deficit หรือกินน้อยกว่าที่ใช้

พอกินน้อย ก็ทำให้เราผอมลงได้ และ พอมีระเบียบเราก็จะสามารถควบคุมสารอาหารโดยเฉพาะ โปรตีน ไขมัน หรือแป้ง เมื่อควบคุมสารอาหารได้ก็ทำให้ร่างกายเปลี่ยนแปลงไปในแบบที่ได้ผลมากขึ้น

ไม่ว่าการกินที่เป็นระเบียบจะก่อให้เกิดสภาวะอะไรก็แล้วตามตรงกลางของ IF คือการสร้างรูปแบบการกินที่สามารถทำต่อเนื่องได้ แล้วก็ก่อให้เกิดการได้รับพลังงานพอดี สารอาหารพอดี

ข้อดีของการลดน้ำหนักแบบ Intermittent Fasting

จุดเริ่มต้นของ IF

ต้องบอกก่อนเลยว่าการทำ Fasting นับว่าเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมที่มีอยู่แล้วเป็น 1,000 ปี เช่น ในแถบเมดิเตอร์เรเนียนก็มีการทำ Fasting ในย่านนั้น ๆ อยู่รวมไปถึงชาวมุสลิมที่ก็มีการทำรอมฎอนก็คือศีลอดนั่นเอง อันที่จริงแล้วถ้ามองอีกมุมหนึ่งก็สามารถมองได้ว่า Fasting เป็นส่วนของการพัฒนาร่างกายและจิตใจควบคู่กันไป เพราะต้องอดอาหาร ทำให้ต้องมีจิตใจที่แข็งแกร่งด้วย


สำหรับสูตรการทำ IF ก็มีมากมายหลายสูตรด้วยกัน เริ่มจาก


สูตรที่ 1. ก็คือ สูตร Lean Gains เป็นสูตรที่ได้รับความนิยมสูงมาก คือเป็นการอด 16 ชั่วโมง และกิน 8 ชั่วโมง หรือที่เรียกกันว่า 16/8 นอกจากสูตรนี้ก็ยังมีอีกหลายสูตรหลายวิธีด้วย


สูตรที่ 2. เป็นวิธีที่คล้ายคลึงกันและสามารถแบ่งออกได้เป็น 1 วัน คือแบบ Fasting คือช่วงที่ไม่กิน และ Feeding คือช่วงที่กิน ซึ่งก็มีหลายสูตรเหมือนกันที่จะเอาไปประกอบใช้ร่วมด้วย ไม่ว่าจะเป็นการทำ 18/6 หรือ 20/4 แต่หลัก ๆ แล้วจะเป็น Fasting แบบ 1 วันและทำทุกวันในแบบที่ต่อเนื่องกันไป

นอกเหนือจากการทำทุก ๆ วันแล้วก็จะมีอีกกลุ่มหนึ่งที่ทำวันเว้นวันหรือที่เรียกว่า Alternate day Fasting หมายถึงการเริ่มทำ 1 วัน สลับกับการกินปกติ 1 วัน ที่ไม่ใช่เป็นการอด 1 วัน และอีกวันตามใจปากกินไม่สนโลกแบบนั้น ซึ่งการสลับวันก็ต้องดูแลและควบคุมด้วยว่ากินอะไรบ้างในแต่ละวัน นับได้ว่ามีการคอนโทรลในเรื่องของสารอาหารต่าง ๆ ด้วย


สูตรที่ 3. Eat Stop Eat เป็นการกินแบบ 5 วัน และทำแบบ Fasting 1-2 วัน/สัปดาห์

if คืออะไร มีข้อดีอย่างไร

IF ทำอย่างไร


จากเทคนิคการทำ IF ทั้ง 3 สูตรที่ยกตัวอย่างไปนั้นสูตรที่ 1 ก็คือ Lean Gains หรือการอดอาหาร 16 ชั่วโมงและกินอาหาร 8 ชั่วโมงเป็นสูตรและวิธีที่ได้รับความนิยมมากที่สุดและเป็นวิธีที่จะขอใช้ยกตัวอย่างในบทความนี้ด้วยเพื่อให้ทุกคนได้เข้าใจเรื่อง IF มากขึ้น

ตัวอย่าง : IF แบบ 16/8 คือ การที่เรารับประทานอาหารได้ปกติ 8 ชั่วโมงและอดอาหารอีก 16 ชั่วโมงอย่างเช่นเรารับประทานอาหารมื้อแรกตอน 12:00 น มื้อสุดท้ายก็ต้องไม่เกิน20:00 น หลังจาก20:00 น นับไปอีก 16 ชั่วโมงคือ 12:00 น ระหว่างนี้ก็ต้องไม่กินอะไรแล้ว

การเลือกชั่วโมงในการอดอาหารตรงนี้สามารถเลือกทำได้ตามสะดวกเลยก็คือเลือกชั่วโมงไหนก็ได้ที่ไม่กระทบต่อการใช้ชีวิตปกติของเรา โดยส่วนมากมักจะเลือกเวลาระหว่าง 20:00 น เพราะว่าเวลาหลัง12:00 น จะทำให้ช่วงเวลาอดอาหารไปตรงกับช่วงที่เรานอนหลับพอดี


*ช่วงเวลาที่อดอาหารกินอะไรได้บ้าง? : สามารถดื่มเครื่องดื่มที่ไม่ให้พลังงานได้ ก็คือ กาแฟดำหรือน้ำเปล่า


*ส่วนช่วงเวลา 8 ชั่วโมง สามารถเลือกทานอะไรได้บ้าง? : สามารถเลือกอาหารที่มีประโยชน์ได้ตามปกติเลย

ลดน้ำหนักด้วย IF


เริ่มต้นทาน IF


ควรเริ่มต้นจาก 16/8 ที่สามารถทำได้ง่ายก่อน ช่วงนี้น้ำหนักอาจจะลดลงบ้างไม่มากแต่เป้นการปรับตัวกับระบบ เพราะบางคนจะยอมแพ้เร็ว ช่วงนี้ให้ปรับเวลา 8 ชั่วโมงที่ทานไปเรื่อยๆจนเริ่มลงตัว เช่นบางคนเริ่มเร็วไป เริ่มทาน 09.00 จบที่ 17.00 แต่นอนดึกทำให้หิวเลยต้องเลิก แบบนี้ลองเปลี่ยนเป็น 12.00 -20.00 ดู อาจจะเวิร์คก็ได้ โดยเฉพาะคนที่นอนดึกตื่นสายและไม่ชอบทานอาหารเช้า

เมื่อเริ่มเข้าที่สักสองอาทิตย์ก็ค่อยๆลดเป็น 18/6 คืออด 18 ชม ทาน 6 ชั่วโมง ชั่วนี้น้ำหนักจะลดลงดี แล้วค่อยเพิ่มเป็น 20/4 เป็นลำดับต่อไป..ค่อยๆทำ ใจเย็นๆ อย่ารีบ


IF ผอม หรือ ลดไขมันได้อย่างไร


  • ในช่วงเวลาที่กินอาหารร่างกายจะมีปริมาณอินซูลินที่สูงขึ้น ช่วงนี้จะทำให้ร่างกายไม่ดึงพลังงานที่สะสมมาใช้ก็คือไม่เผาผลาญไขมันนั้นเอง
  • ในเส้นทางที่กลับกันช่วงที่ท้องว่าง ๆ ปริมาณอินซูลินเราจะลดต่ำลงทำให้ร่างกายต้องดึงพลังงานที่สะสมมาใช้ก็คือการเกิดการเผาผลาญไขมันหรือที่เรียกว่าเกิดจากภาวะ Ketosis ซึ่งจะทำให้วิธี IF สามารถลดไขมันได้ดีขึ้นในช่วงเวลาที่อดนั้นเอง

ระดับการเผาผลาญไขมันช่วงอดอาหาร ก็คือช่วงเวลากินอาหารปกติร่างกายจะมีอินซูลินที่สูงขึ้นแล้วก็จะดึงพลังงานจากแหล่งอื่นมาใช้ ส่วนในช่วงอดอาหารอินซูลินจะลดต่ำลงร่างกายก็จะดึงพลังงานจากไขมันมาใช้แทน

ลดน้ำหนัก ด้วย IF

ประโยชน์ของ if


ร่างกายจะดึงไขมันมาใช้มากขึ้น ช่วยลดไขมันทำให้กินอาหารเป็นเวลา และเป็นระบบมากขึ้น ลดปัญหาการกินจุกจิก ทั้งหมดนี้ทำให้ควบคุมน้ำหนักได้ดีและง่ายมากขึ้นยังไงก็ตามสำหรับผู้ที่ต้องการลดน้ำหนักสิ่งที่ต้องคำนึงถึงตลอดเวลาก็คือเราควรที่จะรับพลังงานเข้ามาให้น้อยกว่าที่ใช้ออกไป

IF ทำให้ฮอร์โมนอินซูลินต่ำ มีการใช้ ketone เป็นพลังงานแทนช่วงอดอาหาร ซึ่งมีงานวิจัย จำนวนมากที่ชี้ว่าทำให้เกิดประโยชน์กับร่างกายหลายด้าน ทั้งลดความเสี่ยงการเป็นเบาหวาน โรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง แม้กระทั่งโรคมะเร็ง 

โทษของ IF

อธิบายคร่าว ๆ ได้ว่าการทำ IFไม่ใช่สูตรในการกินอาหารแต่จะเน้นช่วงเวลาในการกินอาหารคนก็จะเข้าใจกันง่าย ๆ ว่า “อ๋อ…มันอดอาหารก็ลดน้ำหนักได้นะ” แต่อดแบบ IF คืออดเป็นช่วงเวลา เพราะถ้าทำถูกวิธีจะไม่มีปัญหา แต่วันนี้อยากจะมาเตือนข้อควรระวังสำหรับคนที่คิดจะทำ IF เพราะหลาย ๆ คนก็มักจะพลาดกัน


เรื่องที่ 1 สุขภาพ

เตือนไว้เลยคนที่มีสุขภาพโดยเฉพาะโรคกระเพาะและโรคเบาหวานไม่แนะนำให้ทำ IF เพราะมีโอกาสให้เกิดปัญหาได้การไปอดอาหาร โรคกระเพาะนั้นมีปัญหาอยู่แล้วและบางครั้งการมีปัญหาของโรคเบาหวานอยู่น้ำตาลตกก็จะมีปัญหาได้ง่ายถ้าอดอาหารในระยะเวลานาน ๆ ก็ส่งผลได้โดยตรง

ที่สำคัญคนไข้ที่ได้รับการ ผ่าตัดกระเพาะ หรือผ่าตัดทางเดินอาหารอื่นๆก็ไม่ควรทำ IF เพราะกระเพาะมีขนาดเล็กอยู่แล้ว ยังไงน้ำหนักก็ลดลงแน่นอน


เรื่องที่ 2 IF ถูกใช้ในทางที่ผิด

พบเจอมาหลายเคสเลยเขาเอาไปทำในแบบผิด ๆ คือเมื่อIFกำหนดช่วงระยะเวลาที่อดแล้วช่วงที่กินจะกินอะไรก็ได้ไม่อั้นซึ่งเขาทำในสูตร 20 คืออด 20 ชั่วโมงและกำหนดช่วงเวลาที่กินได้ก็คือ 4 ชั่วโมงต่อวันคือ 14:00 น ถึง 18:00 น ที่เหลือคืออดเขาก็จะอด อดแบบทั้งวันแล้วพอตั้งแต่ 14:00 น ถึง 18:00 น เขาจะกินชนิดปิ้งย่าง ชาบู หมูกระทะหรือในกลุ่มของอาหารบุฟเฟ่ต์ คือกินไม่เลือกอาหารและกินในปริมาณที่เยอะมาก ๆ

หลักการของ IF คือจำกัดช่วงระยะเวลาการกินก็จริงแต่ช่วงเวลาการกินได้ถ้าแคลอรีรวมเกินยังไงน้ำหนักก็ไม่ลดและจะส่งผลเสียต่อสุขภาพด้วย อย่าลืมว่าเพียงมื้อเดียว มนุษยสามารถทานอาหารได้ถึง 7000 -10000 แคลอรี่ได้ เพราะอาหารไขมันสูง (หมูติดมันย่าง) เพียง 1 กิโลที่ทาน ได้แคลอรี่ถึง 5200 แคลอรี่ ( 519 แคลอรี ต่อ 100 กรัม) อ้างจาก แคลอรีหมูสามชั้น

ที่สำคัญเรากินแคลอรีเกินแล้วน้ำหนักไม่ลด แถมยังฝึกให้ตัวเองกินต่อครั้งในจำนวนทีละมาก ๆ กระเพาะก็จะเกิดการขยายตัวกลายเป็นว่ากระเพาะใหญ่ต้องกินเยอะกว่าจะอิ่มมันยิ่งมีปัญหาให้ลดน้ำหนักได้ยากในระยะยาว ฉะนั้นการทำ IF อย่าคิดว่าจะกินอะไรก็ได้


เรื่องที่ 3 ประเภทอดอาหาร

เรียกได้ว่าเป็นข้อตรงกันข้ามจากข้อที่แล้วซึ่งคนอดอาหารบางครั้งเขาไม่รู้ว่าตัวเองทำผิดเขาคิดว่าเขาทำตามหลัก Fasting อยู่ซึ่ง Fasting และการอดอาหารไม่เหมือนกัน การอดอาหารคือไม่ทานเลย หรือพยายามทานแล้วอ้วกออกมา อีกทั้งทนหิวแม้ในช่วงที่ต้อง feed

การลดน้ำหนัก if หรือ Intermittent Fasting

IF คือ การอดอาหารใช่ไหม


จากสูตร 16/8 คือ 16 ชั่วโมงเราจะไม่กินเราจะมีช่วงเวลาที่กินแค่ 8 ชั่วโมงถ้าเริ่มกินตอน 8:00 น บวกไปอีกแปดชั่วโมงเราต้องเลิกกิน 16:00 น หลัง 16:00 น เป็นต้นไปต้องห้ามกินและในช่วง 08:00 น ถึง 16:00 น ต้องกินให้ได้แคลอรีพอสมควรและให้ได้สารอาหารที่ครบถ้วนด้วยนี่ถึงจะเรียกวิธี IF ที่ถูกต้อง

แต่คนที่ทำผิดคิดว่าตัวเองทำ Fasting แต่กลายเป็นการอดอาหารตั้งการอดในที่นี้คือการอด ชนิดที่หิวก็ห้ามกิน หรือประเภทที่กินได้และต้องกินน้อยจัดแทนที่จะกินตามในแบบที่ควรจะเป็น ทั้งนี้ยังบวกกับการทำ IF ที่ต้องคุมปริมาณแคลอรี ลดอัตราแคลอรีลง แถมลดจำนวนมื้ออาหารนั้นลงอีก นอกจากจะกินน้อยมาก ๆ แล้วยังลดปริมาณแคลอรี ลดจำนวนมื้ออาหารลง เรียกได้ว่าเป็นจำนวนแคลอรีที่มีนั้นน้อยมาก ๆ สุขภาพไม่ดี การเผาผลาญฮอร์โมน ทุกอย่างเสียหมด แล้วในระยะยาวอัตราการลดน้ำหนักก็จะไม่เห็นผลด้วย


สรุปได้ว่าวิธี Fasting ไม่ใช่วิธีเลวร้าย หากแต่เป็นวิธีที่ดีเลยถ้าทำถูกวิธีจำกัดช่วงระยะเวลาการกินให้เหมาะสมให้เข้ากับวิถีชีวิตของเราแล้วในช่วงระยะเวลาที่กินได้ก็กินให้พอเหมาะและเลือกสารอาหารให้ครบถ้วนด้วย


References:  Research on intermittent fasting shows health benefits  ,    https://www.rattinan.com/if/

6 ความคิดเห็น:

  1. ทำ IF คืออะไร? เหมาะกับใคร? ข้อควรระวังก่อนทำ if


    Intermittent Fasting (IF) คืออะไร?
    การทำ IF หรือ Intermittent Fasting คืออะไร? คงต้องเริ่มจากแบ่งคำนี้ออกเป็นตัว I และ ตัว F

    - I มาจาก Intermittent หมายถึง การควบคุมแคลอรี
    - F มาจาก Fasting หมายถึง การจำกัดเวลาในการกินหรือเรียกง่ายๆ ว่า “การอดอาหาร”
    เพราะฉะนั้นหากนำความหมายมารวมกันจะสื่อได้ว่า IF คือ การอดอาหารเป็นช่วงๆ หรือการกำหนดช่วงเวลาในการอดหรือกินอาหารนั่นเอง

    การทำ IF จึงเป็นวิธีที่ช่วยลดปริมาณการกิน และจะช่วยให้ร่างกายดึงไขมันที่สะสมอยู่มาใช้ เพราะเมื่อเราอยู่ในช่วงอดอาหาร ระดับอินซูลินจะลดลง และระดับ Growth Hormone จะสูงขึ้น ทำให้เกิดภาวะคีโตสิสหรือกระบวนการเบิร์นไขมัน โดยต้องเลือกอาหารที่กินให้เหมาะสม เพื่อป้องกันภาวะมวลกล้ามเนื้อลดลง

    เรียกได้ว่า การทำ IF เป็นการอดอาหารเพื่อลดน้ำหนักอย่างต่อเนื่อง โดยจะเน้นที่การควบคุมปริมาณแคลอรี เลือกอาหารแคลอรีต่ำ แต่มีไฟเบอร์และโปรตีนสูง ซึ่งโดยปกติแล้ว ผู้ชาย ควรได้รับประมาณ 2,500 กิโลแคลอรีต่อวัน และ ผู้หญิง ควรได้รับประมาณ 2,000 กิโลแคลอรีต่อวัน

    IF เหมาะกับใคร ใครบ้างที่ไม่ควรทำ IF?!
    การลดน้ำหนักแบบ IF นั้น จำเป็นต้องอดอาหารในระยะเวลาหนึ่ง การทำ IF จึงไม่ใช่วิธีลดน้ำหนักที่เหมาะกับทุกคน เพราะมีข้อจำกัดบางประการที่หากฝืนทำแล้วอาจจะก่อให้เกิดอันตรายได้ โดยกลุ่มที่ไม่เหมาะกับการลดน้ำหนักวิธีนี้คือ

    1. เด็กที่อายุต่ำกว่า 18 ปี เพราะยังอยู่ในวัยเจริญเติบโต ควรได้รับพลังงาน และสารอาหารอย่างเต็มที่ การลดน้ำหนักแบบ IF อาจทำให้ขาดสารอาหารได้ และส่งผลต่อร่างกายแบบถาวรได้
    2. ผู้ที่ตั้งครรภ์ เพราะอาจทำให้เด็กในท้องขาดสารอาหาร และเจริญเติบโตได้ไม่เต็มที่
    3. ผู้ที่มีภาวะขาดสารอาหารอยู่แล้ว หากไม่อยู่ในความดูแลของแพทย์ อาจทำให้อาการรุนแรงมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม
    4. ผู้สูงอายุ การได้รับสารอาหารที่ไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายในผู้สูงอายุ อาจเป็นสาเหตุของการเกิดโรคได้
    5. ผู้ที่อยู่ในวัยเจริญพันธุ์ เพราะการอดอาหาร อาจทำให้ฮอร์โมนเพศบางชนิดลดต่ำลงได้

    สำหรับผู้ที่เหมาะกับการทำ IF เพื่อลดน้ำหนักควรมีร่างกายที่แข็งแรงสมบูรณ์ ไม่มีโรคประจำตัวใดๆ หรือเป็นผู้ที่ไม่ต้องใช้พลังงานในแต่ละวันมากนัก ทั้งนี้ เพื่อความปลอดภัยก็สามารถปรึกษาแพทย์เพิ่มเติมได้ว่าเหมาะกับการลดน้ำหนักวิธีนี้หรือไม่

    ตอบลบ
  2. IF มีกี่แบบ?

    IF แต่ละแบบจะแบ่งเป็น 2 ช่วง ก็คือ Fasting (ช่วงที่อดอาหาร) และ Feeding (ช่วงที่กินอาหาร) ซึ่งแต่ละรูปแบบก็จะมีช่วงเวลาในการอดอาหาร และกินอาหารแตกต่างกัน ดังนี้

    - แบบ Lean Gains หรือ สูตร 16/8
    Lean gains หรือสูตร 16/8 คือ การอดอาหาร 16 ชั่วโมงติดต่อกัน และกินอาหารในช่วง 8 ชั่วโมงที่เหลือ เป็นแบบที่คนนิยมมากที่สุด และเหมาะกับผู้ที่พึ่งเริ่มทำ IF เพราะทำได้ง่าย ไม่กระทบกับชีวิตประจำวันมากเกินไป แต่ควรระวังในเรื่องการกำหนดช่วงเวลาให้ไม่กระทบในการทำงาน

    เช่น ใน 1 วันเราสามารถกินอาหารได้ในช่วง 6.00-14.00 และหลังจากนั้นให้อดอาหารจนกว่าจะถึงเวลา 6.00 ของวันถัดไป ทั้งนี้ สามารถดื่มน้ำเปล่า ชา หรือกาแฟที่ไม่ใส่น้ำตาลได้ในช่วงที่ต้องอดอาหาร

    - แบบ Fast 5 หรือ สูตร 19/5
    Fast 5 หรือ สูตร 19/5 คือ การกินในช่วง 5 ชั่วโมง และอดอาหารอย่างต่อเนื่อง 19 ชั่วโมง ซึ่งจะเหมาะกับคนที่ผ่านสูตร 16/8 มาจนเริ่มปรับตัวได้แล้ว อยากเพิ่มเลเวลในการทำ if หรือเหมาะกับคนยุ่งๆ ไม่ค่อยมีเวลากิน แต่การทำในสูตรนี้ จะมีช่วงเวลากินค่อนข้างน้อย อาจทำให้ได้สารอาหารไม่ครบถ้วนต่อร่างกายได้

    - แบบ Eat Stop Eat
    Eat Stop Eat คือ การอดอาหาร 24 ชั่วโมง 1-2 ครั้งต่อสัปดาห์ ส่วน 5 วันที่วันที่เหลือก็กินได้ตามปกติ แต่ต้องกินให้พอเหมาะต่อความต้องการของร่างกาย ให้เทียบเท่ากับปริมาณแคลอรีที่ร่างกายต้องการ เป็นวิธีที่ค่อนข้างหักโหมไม่เหมาะสำหรับผู้ที่พึ่งเริ่มต้นทำ IF เพราะจะรู้สึกหิวมาก รวมทั้งอาจทำให้ระบบในร่างกายผิดปกติ ไปจนถึงมีอารมณ์ที่ไม่คงที่

    - แบบ ADF (Alternate Day Fasting)
    ADF หรือ Alternate Day Fasting คือการอดอาหารแบบวันเว้นวัน ซึ่งเป็นวิธีที่ค่อนข้างหักโหม เพราะต้องไม่กินอะไรไปเลยหนึ่งวันเต็มๆ แล้วกลับมากินอีกวันนึง สลับไปเรื่อยๆ ในช่วงวันที่ต้องอดอาหารสามารถกินอาหารแคลอรีต่ำได้ แต่ต้องพยายามกินให้น้อยที่สุด การกิน IF แบบนี้ไม่เหมาะกับคนที่พึ่งเริ่มทำ เพราะจะค่อนข้างทรมาน และส่งผลให้เกิดความเครียดได้

    - แบบ Warrior Diet
    Warrior Diet คือการอดอาหาร 20 ชั่วโมง และกินอาหาร 4 ชั่วโมง โดยจะกินมื้อใหญ่ทีเดียว แต่จะต้องเน้นที่โปรตีน และผักสด ช่วงที่อดอาหารสามารถกินหรือดื่มของที่มีแคลอรีต่ำๆ ได้ โดยอาจเลือกกินช่วงกลางวันและอดช่วงกลางคืน

    การทำ IF รูปแบบนี้ เหมาะกับคนยุ่งๆ ไม่ค่อยมีเวลากิน แต่ข้อควรระวังคือ อาจทำให้ได้สารอาหารไม่ครบถ้วน ต้องระมัดระวังการเลือกกินให้ดี มีสารอาหารที่เหมาะสม ยิ่งมีเวลากินได้แค่ 1 มื้อต่อวัน อาจเผลอกินเยอะเกินความจำเป็น ส่งผลให้ระบบย่อยอาหารผิดปกติได้

    - แบบ 5:2
    การทำ IF แบบ 5:2 คือการ Feeding 5 วัน และ Fasting 2 วัน อาจเลือกวันอดอาหารติดกัน 2 วันรวด หรือจะเว้นให้วันห่างกันก็ได้ ซึ่งการทำ IF รูปแบบนี้ ไม่ใช่การอดอาหารโดยสิ้นเชิง แต่เป็นการลดปริมาณการกินลง

    ยกตัวอย่างเช่น ปกติแล้วในหนึ่งวันต้องได้ปริมาณแคลอรีไม่เกิน 2,000 แต่เมื่อถึงวัน Fasting ให้ลดลงมาเหลือแค่ 500 หรือประมาณ 1/4 ของแคลอรีที่ควรได้รับต่อวันนั่นเอง วิธีนี้ไม่เหมาะกับคนที่พึ่งเริ่มทำ IF หากต้องการทำสูตรนี้ให้ทำสูตร 16/8 ให้ชินก่อน

    ตอบลบ
  3. ต้องกินยังไงถึงจะได้สารอาหารที่พอดีระหว่างทำ IF?

    เวลาทำ IF ไม่ใช่แค่เพียงลดปริมาณอาหารเท่านั้น แต่จะต้องกินอาหารให้เพียงพอในช่วงที่ Feeding ยิ่งไปกว่านั้นการบริโภคอาหารที่มีโพรไบโอติก ก็สามารถช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบลำไส้ให้ย่อยอาหารได้ดีขึ้น รวมทั้งเน้นกินอาหารให้ครบ 5 หมู่ ซึ่งสารอาหารหลักๆ ที่ควรกินมีดังนี้

    - โปรตีน เพื่อให้อิ่มท้องนาน ช่วยสร้างกล้ามเนื้อ ช่วยเร่งระบบเผาผลาญ
    - อาหารที่มีไขมันดี เช่น น้ำมันมะกอก ข้าว อัลมอนด์ เป็นต้น จะช่วยเรื่องระบบเผาผลาญให้ทำงานได้ดียิ่งขึ้น
    - ผักผลไม้ที่มีกากใยสูง ซึ่งจะช่วยเรื่องการขับถ่าย และการย่อย เพราะอุดมไปด้วยไฟเบอร์ มีวิตามินและแร่ธาตุมากมาย
    - เลือกกินคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน เช่น ข้าวกล้อง ขนมปังโฮลวีต แทนคาร์โบไฮเดรตเชิงเดี่ยวอย่างข้าวขาว ขนมปัง เนื่องจากคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนร่างกายจะค่อยๆ ย่อย และดูดซึม ระดับน้ำตาลในเลือดจะได้อยู่ในระดับที่สม่ำเสมอกัน ในขณะที่คาร์โบไฮเดรตเชิงเดี่ยวหากบริโภคมากๆ จะทำให้น้ำตาลในเลือดสูงขึ้นได้

    ตอบลบ
  4. มากไปก็ไม่ดี! มาดูสาเหตุความผิดพลาดจากการไม่ทำ IF ที่ถูกต้อง


    หลายๆ คนเมื่อได้ลองลดน้ำหนักด้วยวิธีนี้แล้วน้ำหนักไม่ลดลง หรือผลลัพธ์ไม่เป็นตามที่คาดไว้ อาจจะต้องลองสังเกตดูว่าการทํา IF นั้นถูกต้องหรือไม่ ซึ่งปัญหาที่อาจเกิดขึ้นของแต่ละคนนั้นแตกต่างกัน โดยแบ่งได้ดังนี้


    - เลือกกินอาหารที่มีแคลอรีสูงเกินความต้องการของร่างกาย
    - ขาดวินัย ขาดการยับยั้งชั่งใจ ทำไม่ต่อเนื่องจนไม่เห็นผลตามต้องการ
    - เน้นการอดอาหารมากเกินไป จนร่างกายได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ ทำให้ร่างกายเข้าสู่สภาวะจำศีล ระบบเผาผลาญลดต่ำ เมื่อไหร่ที่ได้กิน ก็จะเก็บสะสมพลังงานไว้มากจนกลายเป็นไขมัน จนอาจทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นด้วย เพราะฉะนั้นควรเลือกกินสารอาหารให้ครบ 5 หมู่ ในปริมาณที่ร่างกายควรได้รับต่อวัน
    - เผลอกินของหวาน ในช่วงแรกหลายๆ คนอาจมีอาการอยากน้ำตาลอยู่ประมาณ 1 สัปดาห์ ร่างกายจึงเร่งเก็บสะสมน้ำตาลไว้เป็นพลังงานโดยไม่ยอมดึงออกมาใช้เลย
    - นอนดึก เพราะฮอร์โมนที่เอาไว้ซ่อมแซมร่างกาย และระบบย่อยอาหารจะแปรปรวน ทำให้หิวง่าย ขณะทำ IF ควรเข้านอนไม่เกินสี่ทุ่ม
    - ไม่ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอฝากเพิ่มเนื้อหาว่า การออกกำลังกายขณะทำ IF อาจช่วยลด body fat เพิ่มขึ้นได้มากกว่าแค่ควบคุมอาหารเพียงอย่างเดียว 2

    ตอบลบ
  5. วิธีการวัดผลหลังทำ IF

    หลังจากที่ทํา IF มานานหลายคนคงมีคำถามว่ากี่วันถึงจะเห็นผล? ต้องบอกว่า ผลลัพธ์จะเร็วหรือช้า ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล บางคนอาจจะใช้เวลาเพียงแค่ไม่กี่เดือนก็เห็นผล บางคนอาจต้องทำเป็นปีจึงจะเริ่มเห็นผล ทั้งนี้ การที่จะรู้ได้ว่าการทำ IF นั้นได้ผลหรือไม่ ควรจะทำการวัดไขมันทุกๆ เดือน โดยวิธีการวัดสามารถทำได้ดังนี้

    - วัดจากเครื่องชั่งน้ำหนัก
    - วัดด้วยคาลิเปอร์ หรือที่นิยมเรียกกันว่าที่หนีบวัดไขมัน สามารถวัดไขมันได้ทุกสัดส่วนของร่างกาย เช่น บริเวณช่วงอก ต้นแขน หน้าท้อง และต้นขา
    - วัดด้วยสูตรคำนวณ หลายๆ เว็บไซต์ได้ออกแบบตารางการคำนวณไขมันในร่างกาย การใช้งานไม่ยุ่งยากและทำให้สามารถติดตามค่าไขมันในร่างกายได้อย่างสะดวกสบาย

    ตอบลบ
  6. เปรียบเทียบ IF กับการลดน้ำหนักแบบอื่นๆ

    เนื่องจากการลดน้ำหนักด้วยวิธีนี้ ไม่ได้เป็นวิธีที่เหมาะกับทุกคน เพราะสภาพร่างกายของแต่ละคนมีการตอบสนองที่ต่างกัน แต่นอกจากการลดน้ำหนักแบบ IF แล้ว ยังมีวิธีอื่นๆ อีกมากมายที่ช่วยพาคุณไปถึงเป้าหมายได้เช่นกัน

    - LCHF หรือ Low Carb High Fat เป็นวิธีที่นิยมกันมาก คือการเน้นกินโปรตีน ลดคาร์โบไฮเดรต ลดน้ำตาล

    - การคำนวณแคลอรีในแต่ละมื้อ เพื่อให้อยู่ในปริมาณที่ร่างกายต้องการของแต่ละวัน ไม่มากเกินไป และไม่น้อยเกินไป โดยปกติแล้วผู้ชายจะอยู่ที่ 2,500 กิโลแคลอรี และผู้หญิงจะอยู่ที่ 2,000 กิโลแคลอรี การดูว่าในแต่ละมื้อเรากินแคลอรีเท่าไหร่ แล้วควบคุมแคลอรีที่กินเข้าไป ก็จะทำให้น้ำหนักลดได้ แต่ข้อเสียของวิธีนี้คือ อาจทำให้เกิดความเครียดในการคำนวณแคลอรีอยู่ตลอดเวลา สำหรับการลดน้ำหนักวิธีนี้จะเหมาะกับคนที่สะดวกทำอาหารกินเอง และไม่ชอบสังสรรค์

    - Paleo Diet การลดน้ำหนักแบบพาเลโอ ไดเอท คือการกินแบบไม่ปรุงรส มีแค่การทำให้สุกเท่านั้น และจะเน้นโปรตีนจากสัตว์ ธัญพืช ผัก และผลไม้ที่หวาน ซึ่งเหมาะกับคนที่ไม่ชอบอดอาหาร แต่วิธีนี้ อาจไม่เหมาะกับผู้เป็นโรคเบาหวาน และต้องใช้ความพิถีพิถันในการเลือกอาหารค่อนข้างสูง

    - Atkins Diet

    - Ketogentic Diet หรือ คีโต คือการลดน้ำหนักแบบที่เน้นกินไขมัน และกินคาร์โบไฮเดรตให้น้อยที่สุด เพื่อที่จะให้ร่างกายเข้าสู่คีโตสิส ซึ่งเป็นกระบวนการดึงนำไขมันในร่างกายมาใช้เป็นพลังงานหลัก

    - BodyKey Program คือการปรับพฤติกรรมแบบองค์รวม ให้ความสำคัญทั้งเรื่องอาหาร และการใช้ชีวิต ตั้งแต่ทัศนคติ การออกกำลังกาย การนอนหลับ ความเครียด ความถี่ในการกิน และประเภทอาหาร ซึ่งเป็นการลดน้ำหนักที่เห็นผลและยั่งยืน เพราะช่วยให้ไลฟ์สไตล์เปลี่ยนไปในระยะยาว

    อย่างไรก็ตามแม้ว่าวิธีการลดน้ำหนักจะมีหลายแบบให้เลือก แต่อย่าลืมว่าการนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ดื่มน้ำเยอะๆ เลือกกินอาหารที่ดีต่อสุขภาพ ล้วนแต่เป็นส่วนช่วยให้ระบบการทำงานของร่างกายดีขึ้นนั่นเอง


    สรุป

    Intermittent Fasting หรือ IF คือ การกินอาหารแบบจำกัดเวลา เป็นหนึ่งในวิธีการลดน้ำหนักที่จะมีประสิทธิภาพมากหากทำควบคู่ไปกับการเลือกอาหารที่มีประโยชน์ หรือเลือกผลิตภัณฑ์ทดแทนมื้ออาหารที่มีสารอาหารครบถ้วน อย่างไรก็ตาม IF นั้นมีรูปแบบที่หลากหลายและยังมีข้อจำกัดสำหรับหลายๆ คน ผู้ที่มีโรคประจำตัว อาจจะไม่สามารถทำการลดน้ำหนักด้วยวิธีนี้ แต่ก็ยังมีวิธีลดน้ำหนักอื่นๆ ที่สามารถทำตามได้ เช่น การทำ Low Carb , คีโต , นับแคลอรี ฯลฯ ให้เลือกทำตามได้

    ตอบลบ