ประวัติวันสงกรานต์ 2568
วันสงกรานต์ (ภาษาอังกฤษ : Songkran) คือ ประเพณีเฉลิมฉลองวันขึ้นปีใหม่ของไทย ที่ได้รับอิทธิพลทางวัฒนธรรมาจากเทศกาลโฮลีของประเทศอินเดีย โดยจะมีธรรมเนียมเล่นสาดน้ำโดยไม่ถือโทษโกรธกัน เพราะเชื่อว่าเป็นการปัดเป่าสิ่งไม่ดี อีกทั้งยังช่วยคลายร้อนในช่วงกลางเดือนเมษายน ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่มีสภาพอากาศร้อนจัด
ส่วนคำว่า "สงกรานต์" เป็นภาษาสันสกฤต มีความหมายว่า "การเคลื่อนย้าย" ที่สัมพันธ์กับการเคลื่อนย้ายของจักรราศี ซึ่งทำให้คนไทยยึดถือช่วงเวลาดังกล่าวเป็นวันขึ้นปีใหม่ไทย ก่อนที่จะปรับเปลี่ยนให้ตรงกับวันที่ 1 มกราคม ตามแบบสากล และเริ่มใช้เป็นครั้งแรกตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ.2484 เป็นต้นมา
ประวัติวันสงกรานต์แบบย่อ พร้อมตำนานเรื่องเล่าเกี่ยวกับ "นางสงกรานต์"
ตำนานเรื่องประวัติวันสงกรานต์ตามความเชื่อของคนไทย ส่วนใหญ่จะอ้างอิงตามจารึกที่วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามฯ โดยเล่าเรื่องราวของเศรษฐีคนหนึ่งที่ต้องการมีบุตร จึงทำพิธีขอบุตรกับพระอาทิตย์ และพระจันทร์ แต่ก็ไม่เคยสมหวัง
จนกระทั่งได้หุงข้าวสาร 7 สี นำไปบูชารุกขพระไทร พร้อมประโคมดนตรีถวาย และตั้งใจอธิษฐานขอบุตร รุกขพระไทรจึงไปขอบุตรกับพระอินทร์ให้ ทำให้ต่อมาภรรยาของเศรษฐีก็ตั้งท้องบุตรชายนามว่า "ธรรมบาลกุมาร" ซึ่งเป็นชายหนุ่มที่มีสติปัญญาหลักแหลม
วันหนึ่ง ท้าวกบิลพรหม ต้องการประลองปัญญากับ ธรรมบาลกุมาร จึงทรงถามคำถาม 3 ข้อ โดยให้เวลา 7 วันในการคิดหาคำตอบ หากแพ้จะต้องตัดศีรษะบูชาอีกฝ่าย ซึ่งคำถามมีดังนี้
- ตอนเช้าราศีคนอยู่แห่งใด
- ตอนเที่ยงราศีของคนอยู่แห่งใด
- ตอนค่ำราศีของคนอยู่แห่งใด
ธรรมบาลกุมาร จึงเดินทางเข้าป่าเพื่อคิดหาคำตอบ แล้วได้ยินคู่นกอินทรีพูดถึงเรื่องที่ท้าวกบิลพรหมประลองปัญญาโดยมีชีวิตของเขาเป็นเดิมพัน เนื่องจากเขาสามารถฟังภาษานกได้ จึงได้ยินนกคู่นั้นตอบคำถาม ดังนี้
- ตอนเช้าราศีของมนุษย์อยู่ที่หน้า คนจึงต้องล้างหน้าทุกๆ เช้า
- ตอนเที่ยงราศีคนอยู่ที่อก มนุษย์จึงต้องใช้เครื่องหอมประพรมที่อก
- ตอนค่ำราศีคนอยู่ที่เท้า มนุษย์จึงต้องล้างเท้าก่อนเข้านอน
เมื่อได้ยินแล้ว ธรรมบาลกุมาร จึงกลับไปตอบคำถามแก่ท้าวกบิลพรหมจนเป็นฝ่ายชนะ ทำให้ท้าวกบิลพรหมต้องตัดศีรษะ ซึ่งหากศีรษะนี้ต้องถึงพื้นโลก จะเกิดเพลิงไหม้ขนาดใหญ่ พระองค์จึงสั่งให้ 7 บาทบาจาริกาของพระอินทร์ทำหน้าที่สลับกันอัญเชิญศีรษะของตน เพื่อแห่รอบเขาพระสุเมรุ หนึ่งคนทำหน้าที่ 1 ปี สลับกันไปเรื่อยๆ ทำให้เกิดตำนานนางสงกรานต์ทั้ง 7 ซึ่งมีชื่อ ดังนี้
1. นางทุงษะเทวี
2. นางรากษเทวี
3. นางโคราคเทวี
4. นางกิริณีเทวี
5. นางมณฑาเทวี
6. นางกิมิทาเทวี
7. นางมโหธรเทวี
ตำนานและประวัติวันสงกรานต์ที่กล่าวมานี้ มีความเชื่อมโยงกับการเคลื่อนที่ของดวงอาทิตย์เข้าสู่ราศีเมษในช่วงวันสงกรานต์ตามคติทางโหราศาสตร์ จึงเป็นที่มาว่าทำไมแต่ละปีจึงมี "นางสงกรานต์" ที่มีชื่อแตกต่างกันนั่นเอง ซึ่งสงกรานต์ 2568 ตรงกับปีที่มีนางสงกรานต์นามว่า "นางมโหธรเทวี"
นอกจากประเพณีเล่นสาดน้ำในช่วงวันมหาสงกรานต์แล้ว ยังมีธรรมเนียมในการทำบุญตักบาตร สรงน้ำพระ รดน้ำดำหัวผู้ใหญ่ที่เราเคารพนับถือ รวมไปถึงกิจกรรมการละเล่นและการประกวดนางสงกรานต์และหนูน้อยสงกรานต์ ซึ่งถือเป็นอีกสีสันที่น่าสนใจในวันสงกรานต์ไทยของทุกๆ ปี
กิจกรรมวันสงกรานต์
แม้ เราจะถือเอาวันที่ 1 มกราคม เป็นวันขึ้นปีมใหม่ตามหลักสากล แต่ธรรมเนียมไทยยังให้ความสำคัญกับวันสงกรานต์อยู่ โดยถือเอาเป็นวันขึ้นปีใหม่ตามแบบไทย ดังนั้นเมื่อใกล้ถึงวันสงกรานต์การตระเตรียมทำความสะอาดอาคารบ้านเรือน และเตรียมข้าวของที่จะทำบุญตักบาตร
การทำบุญตักบาตรและการสร้างกุศลด้วยการปล่อยนกปล่อยปลา
สมัยโบราณ เมื่อถึงวันสงกรานต์ประชาชนจะพากันตื่นแต่เช้ามืด เตรียมหุงข้าวต้มแกง เพื่อนำไปทำบุญที่วัด ทุกคนจะแต่งกายด้วยเสื้อผ้าชุดใหม่สีสันสดใส โดยเฉพาะหนุ่มสาวเพราะจะได้มีโอกาสพบปะพูดคุยกันได้อย่างสะดวก แต่ก็ต้องอยู่ในสายตาของผู้ใหญ่
เมื่อทำบุญตักบาตรหรือเลี้ยงพระเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จะมีการบังสุกุลอัฐิของบรรพบุรุษผู้ล่วงลับ เพื่ออุทิศส่วนกุศลไปให้ นอกจากนั้นยังมีกิจกรรมอื่น ๆ เช่น ก่อพระเจดีย์ทราย ซึ่งเป็นการขนทรายเข้าวัดสำหรับไว้ใช้ในงานก่อสร้างโบสถ์วิหาร มีการปล่อยนกปล่อยปลาซึ่งเท่ากับเป็นการแพร่ขยายพันธ์สัตว์ให้คงอยู่ไปชั่ว ลูกชั่วหลาน และที่จะขาดเสียไม่ได้ก็คือการสรงน้ำพระการรดน้ำดำหัวขอพรจากผู้ใหญ่ รวมไปจนถึงการเล่นสาดน้ำกันเองในหมู่หนุ่มสาว
การสรงน้ำพระพุทธรูป, การสรงน้ำพระสงฆ์
ชาวบ้านจะนำดอกไม้ธูปเทียนไปบูชา แล้วเอาน้ำอบไปประพรมที่องค์พระ เพื่อความเป็นสิริมงคล บางแห่งมีการอัญเชิญพระพุทธรูปแห่แหนไปรอบๆหมู่บ้าน เพื่อให้ประชาชนมีโอกาสได้สรงน้ำกันอย่างทั่วถึงหรือจะอัญเชิญพระพุทธรูปจาก หิ้งบูชาในบ้านมาทำพิธีสรงน้ำกันในหมู่ญาติพี่น้องก็ได้
ชาวบ้านจะได้ไปชุมนุมกันที่วัด นิมนต์พระในวัดมายังสถานที่ประกอบพิธี การรดน้ำควรรดที่มิอของท่าน ไม่ควรตักราดเหมือนกับเป็นการอาบน้ำจริง ๆ เพราะพระสงฆ์ถือเป็นเพชที่สูงกว่าคนธรรมดาทั่วไป น้ำที่ใช้ต้องเป็นน้ำฝนหรือน้ำสะอาดผสมน้ำอบไทย เมื่อสรงน้ำแล้วพระท่านก็จะให้ศีลให้พรเพื่อความเป็นสิริมงคล
การรดน้ำดำหัวขอพรญาติผู้ใหญ่และผู้ที่เคารพนับถือ
การรดน้ำผู้ใหญ่ หากระทำกันเองในบ้าน ลูกหลานจะเชิญพ่อแม่ ปู่ย่าตายาย ญาติผู้ใหญ่ มานั่งในที่จัดไว้ แล้วนำน้ำอบน้ำหอมผสมน้ำมารดให้ท่าน อาจรดที่มือหรือรดทั้งตัวไปเลยก็มีในระหว่างที่รดน้ำท่านก็ให้พรแก่ลูกหลาน เสร็จพิธีแล้วจึงผลัดนุ่งผ้าใหม่ที่ลูกหลานจัดเตรียมไว้ให้ เป็นการสร้างความสัมพันธ์อันดีภายในครอบครัว การรดน้ำดำหัวผู้ใหญ่ซึ่งเป็นที่เคารพนับถือ ส่วนใหญ่จะมีผ้าใหว้เช่นเสื้อผ้าและผ้าขาวม้าไปมอบให้ด้วย การรดน้ำส่วนใหญ่จะรดที่มือ ขอศีลขอพร เป็นการแสดงความเคารพผู้มีอาวุโสและผู้มีพระคุณตามธรรมเนียมอันดีของไทย บางหมู่บ้านอาจเชิญคนแก่คนเฒ่ามารวมกัน แล้วให้ลูก ๆ หลาน ๆ ทำพิธีรดน้ำขอพร ซึ่งเป็นประเพณีอันดีงามที่ควรช่วยกันส่งเสริมและอนุรักษ์ไว้
การเล่นสาดน้ำสำหรับหนุ่มสาว
หลังจากทำพิธีสรงน้ำพระพุทธรูป สรงน้ำพระสงฆ์ และรดน้ำขอพรจากญาติผู้ใหญ่แล้ว พวกหนุ่ม ๆสาวๆ ก็จะเล่นสาดน้ำกันอย่างสนุกสนาน ซึ่งน้ำที่ใช้นำมาสาดกันนั้นต้องเป็นน้ำสะอาดผสมน้ำอบมีกลิ่นหอม เด็กบางคนไม่เข้าใจถึงวัฒนธรรมถึงจุดประสงค์ของการเล่นสาดน้ำในวันสงกรานต์ เอาน้ำผสมสีหรือผสมเมล็ดแมงลัก แล้วนำไปสาดผู้อื่น ซึ่งเป็นการปฏิบัติที่ไม่ถูกต้อง สถานที่เล่นสาดน้ำสวนใหญ่เป็นลานวัด หรือลานกว้างของหมู่บ้าน พอเหนื่อยก็จะมีขนมและอาหารเลี้ยง ซึ่งชาวบ้านจะช่วยกันเรี่ยไรออกเงินและช่วยกันทำไว้ จนถึงตอนเย็นจึงแยกย้ายกันกลับไปบ้านเพื่ออาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ แล้วมาชุมนุมกันที่ลาดวัดอีกครั้ง เพื่อร่วมการละเล่นพื้นเมือง
การละเล่นพื้นบ้านในวันสงกรานต์
การละเล่นพื้นบ้านหรือจะเรียกว่ากีฬาพื้นเมืองก็ได้ เป็นเกมที่สร้างความสนุกสนานสามัคคี และความใกล้ชิดผูกพันพวกหนุ่ม ๆสาว ๆ จะแบ่งกันเป็นสองฝ่าย จัดทีมเพื่อเล่นแข่งขันกับฝ่ายตรงข้าม มีผู้ใหญ่เป็นกรรมการหรือผู้ควบคุม ส่วนคนเฒ่าคนแก่ก็คอยส่งเสียงเชียร์ให้กำลังใจอยู่วงนอก
การละเล่นที่นิยมนำมาเล่นกันในงานสงกรานต์ มีหลายอย่าง เช่น ชักเย่อ ไม้หึ่ง งูกินหาง ช่วงชัย วิ่งเปี้ยว เขย่งแตะ หลับตาตีหม้อ มอญซ่อนผ้า สะบ้า ขี่ม้าส่งเมือง ลิงชิงหลัก ฯลฯ นอกจากนั้นมีการเล่นเพลงยาว ลำตัด รำวง ฯลฯ การประกวดนางสงกรานต์ซึ่งแต่ละกิจกรรมร่วมสร้างความสนุกสนานเป็นกันเอง หนุ่มสาวได้มีโอกาสใกล้ชิดกัน ได้ศึกษาดูนิสัยใจคอ ได้มีโอกาสพูดจาโอภาปราศรัยกัน
ประเพณีการทำบุญและการละเล่นในวันสงกรานต์แต่ละท้องถิ่นอาจ มีผิดแตกต่างกันไปบ้างตามความและยุคสมัยในชนบทอาจกำหนดวันทำบุญและวันสรงน้ำ พระไม่ตรงกันในแต่ละหมู่บ้าน ด้วยเหตุนี้ พวกหนุ่ม ๆจึงมีโอกาสไปเล่นสงกรานต์ได้หลายแห่งในแต่ละปี วันสงกรานต์จึงถือเป็นประเพณีหนึ่งในหลาย ๆ ประเพณีของไทยแต่โบราณ ที่เปิดโอกาสให้หนุ่มสาวได้เลือกคู่หรือดูอุปนิสัยใจคอกันโดยเปิดเผยโดยไม่ ต้องหลบ ๆ ซ่อน ๆ ต่อสายตาผู้ใหญ่
ความสำคัญของวันสงกรานต์
- เป็นวันหยุดพักผ่อนประจำปีตามประเพณีไทย และถือเป็นวันหยุดประกอบการงานหรือธุรกิจทั่วไป
- เป็นวันทำบุญตักบาตรจัดจตุปัจจัยไทยธรรมถวายพระบังสกุลกระดูกพรรพบุรุษ กรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลให้แก่ญาติผู้ล่วงลับ
- เป็น วันแสดงความกตัญญูกตเวทีต่อบรรพบุรุษ ในวันนี้จะมีการไปรดน้ำดำหัวขอพรจาก พ่อแม่ ผู้เฒ่าผู้แก่ที่เคารพนับถือ วันสงกรานต์ถือเป็น วันสูงอายุแห่งชาติ
- เป็นวันรวมญาติมิตรที่จากไปอยู่แดนไกลเพื่อประกอบภาระ หน้าที่งานอาชีพของตน เมื่อถึงวันสงกรานต์ทุกคนจะกลับมาร่วมทำบุญสร้างกุศล จึงถือเอาวันที่ 15 เมษายน ซึ่งอยู่ในช่วงสงกรานต์เป็นวันรวมญาติหรือวันครอบครัว
- เป็นวันอนุรักษ์วัฒนธรรมไทย และส่งเสริมการละเล่นตามประเพณีไทย เช่น มีการทำบุญตักบาตร เล่นสาดน้ำ ชักเย่อ มอญซ่อนผ้า เล่นสะบ้า ฯลฯ
- เป็นวันประกอบพิธีทางศาสนา เช่น มีการทำบุญตักบาตรจัดจตุปัจจัยไทยธรรมถวายพระ บังสุกุลกระดูกบรรพบุรุษ กรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลให้แก่ญาติผู้ล่วงลับ การสรงน้ำพระพุทธรูป สรงน้ำพระสงฆ์ ขนทรายเข้าวัด (ก่อพระเจดีย์ทราย ) รับศีล ปฏิบัติธรรมฯลฯ
“13” เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับ “สงกรานต์”
จะเห็นได้ว่า “ประเพณีสงกรานต์” เป็นประเพณีที่สืบทอดปฏิบัติต่อกันมาเป็นเวลาช้านาน มีประวัติความเป็นมาที่น่าสนใจอยู่หลายอย่างว่าทำไมถึงเกิดเป็น “เทศกาลสงกรานต์” อย่างที่มีอยู่ในปัจจุบันได้ แต่รู้หรือไม่ ? ในสิ่งที่เรารู้ ย่อมต้องมีสิ่งที่เราไม่รู้แฝงอยู่ด้วย วันนี้เราจะพามาดูภาพรวมกันว่า 13 เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับสงกรานต์นั้นมีอะไรกันบ้าง
โดยปกติแล้วในวันสงกรานต์สิ่งที่คนไทยมักจะทำกันเป็นกิจวัตรประจำทุกปี ได้แก่ การทำบุญทำทาน สรงน้ำพระ รดน้ำดำหัวผู้หลักผู้ใหญ่ การทำความสะอาดบ้านเรือน และการเล่นสงกรานต์สาดน้ำกันเพื่อนสร้างความชุ่มเย็นให้กับร่างกาย ดังจะเห็นได้จากตามพื้นที่ ตามจังหวัดต่างๆ แต่สงกรานต์ไม่ได้มีเพียงเท่านั้น ยังมีเรื่องราวที่น่าสนใจเพิ่มเติมอีกดังนี้ิ
1. สมัยก่อน “วันปีใหม่ไทย” ไม่ได้ตรงกับวันสงกรานต์ ในสมัยโบราณ เราได้ถือเอาวันขึ้น 1 ค่ำ เป็น “วันปีใหม่ไทย” ก่อนที่เราจะเปลี่ยนมาถือเอาวันสงกรานต์นั้นเป็นวันปีใหม่ไทยแทน
2. ไม่ใช่แค่ชาวไทยที่มีประเพณีสงกรานต์เท่านั้น แต่ชนชาติอื่นๆ ก็ยังมีเหมือนกัน นอกจากชาวไทยที่มีประเพณีสงกรานต์แล้ว ชนชาติอื่นอย่าง พม่า มอญ ลาว หรือแม้แต่ชนชาติไทยเชื้อสายต่างๆ ที่เป็นส่วนน้อยในจีน อินเดีย ล้วนแต่ก็มีประเพณีสงกรานต์ที่ปฏิบัติสืบต่อกันมายาวนานเช่นเดียวกัน และถือว่าวันสงกรานต์เป็นวันเริ่มต้นปีใหม่ของพวกเขาด้วยเช่นกัน
3. ภาคกลางเรียกวันที่ 13 เมษายน ว่าเป็น “วันมหาสงกรานต์” ซึ่งในวันที่ 13 เมษายนของทุกปี ได้ประกาศให้เป็น “วันผู้สูงอายุแห่งชาติ” ในวันที่ 14 เมษายน เรียกว่า “วันเนา” จากนั้นในสมัยรัฐบาลของพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ ได้ประกาศให้ในวันนี้เป็น “วันครอบครัว” อีกด้วย ส่วนในวันที่ 15 เมษายน คือ “วันเถลิงศก” เป็นวันเริ่มต้นจุลศักราชใหม่
4. ภาคเหนือ หรือทางล้านนาเรียกวันที่ 13 เมษายน ว่าเป็น “วันสังขารล่อง” “วันสังขารล่อง” ผู้หลักผู้ใหญ่ทางภาคเหนือ หรือทางล้านนาได้ให้ความหมายของวันนี้ว่าเป็นวันสิ้นอายุไปอีกปี ในวันที่ 14 เมษายน เรียกว่า “วันเน่า” เป็นวันที่ชาวล้านนาเชื่อกันว่าห้ามพูดจาหยาบคาย มิเช่นนั้นปากจะเน่าและชีวิตจะไม่เจริญรุ่งเรืองไปตลอดทั้งปี ส่วนในวันที่ 15 เมษายน เรียกว่า “วันพญาวัน” เป็นวันเปลี่ยนศกใหม่
5. ภาคใต้เรียกวันที่ 13 เมษายน ว่าเป็น “วันเจ้าเมืองเก่า” หรือ “วันส่งเจ้าเมืองเก่า” โดยในวันที่ 13 นี้ ชาวภาคใต้เชื่อกันว่าจะเป็นวันที่เทวดาที่คอยปกปักรักษาบ้านเมืองจะเดินทางกลับไปชุมนุมที่สวรรค์ ในวันที่ 14 เมษายน เรียกว่า “วันว่าง” คือวันที่ไร้ซึ่งเทวดารักษาบ้านเมือง เพราะฉะนั้นในวันนี้ชาวบ้านจะงดงานอาชีพต่างๆ เพื่อเดินทางไปทำบุญที่วัด ส่วนในวันที่ 15 เมษายน เรียกว่า “วันรับเจ้าเมืองใหม่” เป็นการต้อนรับเทวดาองค์ที่ลงมาปกปักรักษาบ้านเมืองแทนเทวดาองค์เดิมที่ได้ย้ายไปประจำยังเมืองอื่นแล้ว
6. ตำนานสงกรานต์ที่ถูกจารึก ตำนานสงกรานต์ ก็คือเรื่องเล่าเกี่ยวกับประเพณีวันสงกรานต์ รวมถึงนางสงกรานต์ทั้ง 7 โดยรัชกาลที่ 3 ทรงโปรดเกล้าฯ ให้จารึกลงในแผ่นศิลา 7 แผ่น แปะประดับไว้ที่ศาลารอบมณฑบทิศเหนือในวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม หรือวัดโพธิ์
7. นางสงกรานต์ คือ นางฟ้าที่กำเนิดในชั้นจตุมหาราชิกา นางสงกรานต์ทั้ง 7 องค์ เป็นพี่น้องกัน กำเนิดอยู่ในสวรรค์ชั้นจตุมหาราชิกาซึ่งเป็นชั้นต่ำที่สุด โดยทั้ง 7 ล้วนแต่บาทบริจาริกาของ “พระอินทร์” หรือถ้าในเทียบในปัจจุบันก็มีลักษณะคล้ายกับนางบำเรอของจอมเทวราช อีกทั้งทั้ง 7 ยังเป็นธิดาของท้าวกบิลพรหมตามตำนานอีกด้วย
8. นางสงกรานต์นามตามวันในแต่ละสัปดาห์
- นาง ทุงษะเทวี ประจำ วันอาทิตย์
- นาง โคราคเทวี ประจำ วันจันทร์
- นาง รากษสเทวี ประจำ วันอังคาร
- นาง มณฑา ประจำ วันพุธ
- นาง กิริณี ประจำ วันพฤหัสบดี
- นาง กิมิทา ประจำ วันศุกร์
- นาง มโทร ประจำ วันเสาร์
9. นางสงกรานต์แต่ละองค์มีพาหนะคู่กายที่ไม่เหมือนกัน พาหนะคู่กายของนางสงกรานต์จะต่างกันไปตามลำดับวันในสัปดาห์ ได้แก่ นาง ทุงษะ ขี่ครุฑ, นาง โคราค ขี่เสือ, นาง รากษสขี่หมู, นาง มณฑา ขี่ลา, นาง กิริณี ขี่ช้าง, นาง กิมิทา ขี่ควาย, นาง มโหทร ขี่นกยูง ซึ่งสัตว์ประจำนางสงกรานต์จะไม่ได้เป็นไปตามปีนักษัตรนั้นๆ อย่างที่หลายคนเข้าใจ
10. นางสงกรานต์ประจำแต่ละปี
11. รู้หรือเปล่า ? คำว่า “ดำหัว” แปลว่า “สระผม” ถ้าให้แปลตรงตามตัว คำว่า “ดำหัว” นั้น หมายถึง การสระผม แต่ในความหมายของทางล้านนาแล้ว การ “ดำหัว” อาจหมายถึง การเดินทางไปขออโหสิกรรมในสิ่งที่เรากระทำผิด สิ่งที่ได้ล่วงเกินในช่วงเวลาที่มา มีการขอพรเพื่อให้เกิดความเป็นสิริมงคลต่อชีวิต จากญาติผู้ใหญ่ ผู้อาวุโส หรือครูบาอาจารย์
12. ในวันสงกรานต์จะมีสัตว์ชนิดหนึ่งกำเนิดขึ้น ข้อนี้น่าจะเป็นเรื่องใหม่ แต่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นมานานมากแล้ว เกี่ยวข้องกับสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งที่มักเกิดขึ้นในช่วงสงกรานต์ตามแม่น้ำลำคลอง ซึ่งคนสมัยก่อนเรียกว่า “ตัวสงกรานต์” เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีลักษณะคล้ายไส้เดือน เล็กเท่าเส้นด้ายประมาณ 2 นิ้ว มีสีสะท้อนเมื่อต้องกับแสง มีความสามารถเปลี่ยนสีไปได้เรื่อยๆ มักอยู่รวมกันเป็นฝูง จะท้อนเป็นแสงสีสวยงาม เมื่อจับขึ้นพ้นน้ำ สีเหล่านั้นจะหายไป ตัวจะขาดเป็นท่อนเล็กๆ และเหลวละลาย ปัจจุบันเชื่อว่าสิ่งมีชีวิตชนิดนี้ได้สูญพันธุ์ไปแล้ว
13. ที่มาของการก่อเจดีย์ทราย การก่อเจดีย์ทรายมีเรื่องเล่าต่อๆ กันมาว่า ในมัยก่อน “พระเจ้าปเสนทิโกศล” ได้เสด็จไปยังเมืองสาวัตถีพร้อมด้วยบริวาร พระองค์ได้ทอดพระเนตรเห็นหาดทรายขาวบริสุทธิ์ จึงเกิดจิตศรัทธาก่อทรายขึ้นเป็นเจดีย์ทั้งสิ้น 8 หมื่น 4 พันองค์เพื่ออุทิศเป็นพุทธบูชา ซึ่งเมื่อพระเจ้าปเสนทิโกศลได้ทรงเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าจึงได้ทรงทูลถามอานิสงส์ของการสร้งเจดีย์ทรายดังกล่าว พระพุทธเจ้าตรัสรับว่า การที่มีจิตใจเลื่อมใสศรัทธาก่อสร้างเจดีย์ทราย 8 หมื่น 4 พันองค์ หรือแม้แต่องค์เดียวก็จะได้รับอานิสงส์มาก จะไม่ตกนรกหลายร้อยขุม หากเกิดเป็นมนุษย์ก็จะเพียบพร้อมไปด้วยยศถาบรรดาศักดิ์ เงิน ทอง เมื่อตายก็จะได้ขึ้นสวรรค์ จึงเป็นที่มา
#ประวัติวันสงกรานต์ 2568 , #วันสงกรานต์ , #Songkran Festival
ที่มา :: https://www.thairath.co.th/lifestyle/culture/2770222 , https://prinkotakoon.blogspot.com/2025/04/songkran-festival.html
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น