วิธีลดน้ำหนักแบบ IF คืออะไร ?
IF คืออะไร ?
ในยุคสมัยนี้ ต้องยอมรับครับว่า ผู้คนหันมาให้ความสนใจสุขภาพ และรูปลักษณ์ภายนอกกันมากขึ้น ทั้งเรื่องของผิวพรรณ รูปหน้า รูปร่าง รวมไปถึงการแต่งหน้าแต่งตัว โดยจะเห็นได้ว่าทั้งผู้ชายและผู้หญิงเดินเข้าคลินิกเสริมความงามมากขึ้น อย่างที่ V Square Clinic ก็เริ่มมีผู้ชายเข้ามาใช้บริการมากขึ้นด้วยเช่นกัน
สำหรับใครที่เริ่มหันมาสนใจดูแลตัวเองทั้งภายนอกและภายใน โดยเฉพาะเรื่องของรูปร่าง ต้องเคยได้ยินวิธี การทํา if มาบ้าง เพราะเป็นหนึ่งในวิธีที่ได้รับความสนใจ และถูกพูดถึงมากขึ้น รวมถึงคนไข้ของหมอหลาย ๆ คนก็สอบถามเข้ามามากครับ ดังนั้นในบทความนี้หมอจึงได้นำข้อมูลเกี่ยวกับการทํา if มาแนะนำ if คืออะไร ? เหมาะกับใครบ้าง มีกี่แบบ ข้อดี-ข้อเสียเป็นอย่างไร ? ทำไมบางคนทำแล้วไม่เห็นผล หากอยากลดน้ำหนักดูแลรูปร่างควรเริ่มต้นอย่างไรดี
IF (Intermittent Fasting) คืออะไร ?
การทำIF คือ การอดอาหาร จำกัดช่วงเวลาการกิน และควบคุมการรับประทานอาหารแบบง่าย ๆ เพื่อลดน้ำหนัก เผาผลาญไขมันส่วนเกิน โดย if ย่อมาจาก คำว่า Intermittent Fasting ซึ่งหากแปลแบบตรงตัว Intermittent แปลว่าการทำอะไรเป็นช่วง ๆ ส่วน Fasting คือ การอดอาหาร เมื่อเอา 2 คำนี้ มารวมกัน Intermittent Fasting คือ การอดอาหารในช่วงเวลาแต่ละวัน เพื่อเป้าหมายหลักคือ ลดน้ำหนัก และให้ร่างกายใช้ไขมันที่สะสมในร่างกายได้มากขึ้น
โดยในแต่ละวันจะมีการแบ่งเป็นช่วงเวลาที่เรียกว่า Fasting การอด และช่วง Feeding คือ ช่วงกิน ในหนึ่งวันของแต่ละสูตร ซึ่งมีความแตกต่างกันในช่วงเวลาที่ไม่เท่ากันครับ
หลักการทำงานของการอดอาหาร if จะมีระบบช่วงเวลาที่ใช้ในการกิน ร่างกายก็จะได้รับพลังงานในรูปแบบที่สามารถคาดคะเนได้ง่ายขึ้น และร่างกายสามารถปรับตัวไม่ใช้คาร์โบไฮเดรตเป็นพลังงานหลัก แต่จะไปดึงไขมันมาใช้แทน
หมอขอยกตัวอย่างเพื่อให้เห็นภาพมากขึ้นคือ ถ้าเรารับประทานอาหารตลอดทั้งวัน ไม่ได้มีการกำกับเวลา ก็อาจจะได้รับสารอาหารที่มากเกินไป กลายเป็นการสะสมของไขมัน จนร่างกายไม่จำเป็นต้องดึงไขมันที่สะสมอยู่ออกมาใช้ หรือบางคนอดอาหาร if มากเกินไป กินน้อยไป ก็จะทำให้ผอมลงครับ แต่ไม่ดีต่อสุขภาพในระยะยาว เพราะเกิด Calories Deficit หรือกินน้อยกว่าที่ใช้ ทำให้เสียสุขภาพร่างกายนั่นเอง
IF มีกี่แบบ ?
หลัก ๆ จะมีตารางทำ if 6 รูปแบบครับ แต่ที่ได้รับความนิยมมากสุดคือ If 16/8 หรือการจำกัดเวลาทานอาหาร 8 ชั่วโมง และงดมื้ออาหาร 16 ชั่วโมง ซึ่งหมอจะอธิบายแต่ละรูปแบบเป็นข้อ ๆ ดังนี้
1. Intermittent Fasting แบบ Lean gains
การทำ if แบบ Lean Gains เป็นสูตรที่ได้รับความนิยมมากที่สุด คือเป็นการอดอาหาร 16 ชั่วโมง และกิน 8 ชั่วโมง หรือที่เรียกกันว่า if 16/8 ครับ

ทำ IF 16/8 (อด 16 ชม. กิน 8 ชม)
ช่วงงดอาหาร สามารถดื่มได้เพียงแต่น้ำเปล่า หรือชา กาแฟ แบบไม่มีน้ำตาล รวมถึงงดสารให้ความหวานแทนน้ำตาลด้วยครับ เพราะความหวานจะเป็นตัวกระตุ้นอินซูลินทำให้เกิดการหิวได้
ทํา if 18/6 เวลาไหนดี ? แต่ละคนสามารถออกแบบตาราง IF ของตัวเองได้ครับ เพียงแต่ต้องโฟกัสช่วงอด (fasting) ช่วงกิน (feeding) และอาหารที่รับประทาน การทํา if 16/8 กินยังไง ? หมอมีตัวอย่างตาราง if 16/8 สามารถนำไปปรับใช้กันได้ครับ
แจกตาราง if 16/8
| เวลา | ช่วงเวลา | สถานะ |
|---|---|---|
| 08.00 น. | feeding | เริ่มกินอาหารมื้อแรกของวัน |
| 12.00 น. | feeding | สามารถกินอาหารมื้อกลางวันได้ |
| 16.00 น. | feeding | หยุดกินอาหารหลัง 16.00 น. |
| 20.00 น. | fasting | เริ่มช่วงอดอาหาร 16 ชั่วโมง |
| 24.00 น. | fasting | ยังคงอดอาหาร |
| 04.00 น. | fasting | ยังคงอดอาหาร |
| 08.00 น. | feeding | สามารถเริ่มกินอาหารมื้อแรกของวันใหม่ได้ |
ตารางนี้เป็นตัวอย่างช่วงเวลากินอาหารคือ 08:00 น. ถึง 16:00 น. และช่วงเวลาอดอาหารคือ 16:00 น. ถึง 08:00 น. ของวันถัดไป การปฏิบัติตามตารางนี้จะช่วยให้ร่างกายเข้าสู่ภาวะ “อดอาหารช่วงสั้น” ซึ่งอาจมีประโยชน์ต่อสุขภาพและการควบคุมน้ำหนัก
โดยระยะเวลาเห็นผลของแต่ละคนจะขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น สภาพร่างกาย ความสม่ำเสมอ รวมถึงกิจวัตรประจำวันที่ทำ ทํา if 16/8 กี่วันเห็นผล ? ส่วนมากจะเห็นผลชัดเจน 1-2 เดือน เมื่อทำอย่างต่อเนื่อง
2. Intermittent Fasting แบบ Fast 5
การทํา if แบบ Fast 5 จะคล้าย ๆ กับ แบบ Lean Gains (If 16/8) แต่จะเป็น if 19/5 คือกินอาหารในช่วง 5 ชั่วโมง และจะอดอาหาร if 19 ชั่วโมงต่อเนื่อง วิธีนี้ค่อนข้างทำยากครับ จึงไม่ค่อยไม่รับความนิยมเพราะมีช่วงเวลางดอาหารยาวนาน เช่น ถ้าเป็นคนทำงานออฟฟิศ อาจจะกินมื้อแรกตอน 7.00 น. แล้วกินอีกทีตอน 02.00 น. ของอีกวันครับ ดังนั้นบางคนอาจขยับช่วงเวลา เป็น ทำ if 18/6 แทน
3. Intermittent Fasting แบบ Eat stop Eat
การทํา if แบบ Eat stop Eat คือ จะต้องอดอาหาร if 24 ชั่วโมง 1-2 ครั้งต่อสัปดาห์ ส่วนวันที่ไม่อดก็สามารถกินได้ตามปกติครับ แต่จะต้องกินอาหารอย่างเหมาะสม เน้นอาหารดี มีประโยชน์ และเพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย ข้อเสียของรูปแบบนี้คือ คนไข้จะรู้สึกอยากอาหารมากขึ้นในวันต่อไป และส่งผลต่ออารมณ์ด้วยครับ
4. Intermittent Fasting แบบ 5:2
การทํา if แบบ 5:2 คือ การกินอาหารตามปกติ 5 วัน และกินอาหารแบบ Fasting 2 วัน โดยจะแบบติดกัน 2 วันหรือห่างกันก็ได้ วิธีนี้จะไม่ใช่การอดอาหารทั้งวัน แต่จะเป็นการลดปริมาณอาหารให้น้อยลงแทน เช่น กิน 500-600 แคลอรี หรือประมาณ 1/4 ของแคลอรีที่ได้รับต่อวัน

ทำ IF 5 : 2
5. Intermittent Fasting แบบ The Warrior Diet
การทํา if แบบ The Warrior Diet คือการอดอาหารในช่วงกลางวัน โดยสามารถดื่มได้แค่น้ำเปล่า และกลับมารับประทานอาหารหนักในมื้อค่ำเพียงมื้อเดียวเท่านั้น เฉลี่ยคือใช้เวลาในการอดอาหาร ประมาณ 19-20 ชั่วโมงต่อวัน
6. Intermittent Fasting ADF (Alternate Day Fasting)
IF แบบ ADF คือการอดอาหารแบบวันเว้นวันครับ วิธีค่อนข้างยากสำหรับคนเริ่มทำ เพราะต้องอดอาหาร 1 วัน กินอาหาร 1 วัน แล้วกลับมาอดอีก 1 วัน
ใครบ้างที่ควรทำ IF และไม่ควรทำ IF
แม้การทำ IF จะเป็น 1 ในวิธีลดน้ำหนักที่ได้รับความนิยม แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนครับที่จะเหมาะกับการทำ IF ด้วยข้อจำกัดต่าง ๆ ก่อนทำจึงควรเช็กความพร้อมของตัวเองก่อนครับ
ผู้ที่เหมาะกับการทำ IF
- ผู้ที่ต้องการลดน้ำหนักแบบเร่งด่วน
- ผู้ที่ไม่ได้ใช้แรงงาน ในแต่ละวันมากนัก
- ผู้ที่มีตารางในการทำงานชัดเจน
- ผู้ที่สามารถควบคุมการรับประทานอาหารได้
- ผู้ที่คนรอบข้างให้การสนับสนุนการทำ IF
ผู้ที่ไม่เหมาะกับการทำ IF
- ผู้ที่ขาดสารอาหาร
- เด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี
- หญิงตั้งครรภ์และให้นมบุตร
- ผู้ที่อยู่โปรแกรมลดน้ำหนักอื่น ๆ
- ผู้ที่มีโรคประจำตัวต่าง ๆ
- ผู้ที่มีเวลาพักผ่อนน้อย
- ผู้ที่มียาที่ต้องรับประทานเป็นประจำ
การทำ IF ช่วยลดน้ำหนักได้จริงไหม ?
การลดน้ำหนักแบบ if นั้นสามารถลดได้จริงครับ แต่ผลลัพธ์ลดได้มากน้อยแค่ไหนจากการทํา if ขึ้นอยู่กับระบบการเผาผลาญของแต่ละบุคคลครับ รวมถึงในบางคนอาจมีผลกระทบอื่น ๆ ตามมา จากการอดอาหาร if เช่น ปวดศีรษะ ร่างกายอ่อนล้า ขาดพลังงานและขาดสมาธิ รวมถึงมีผลต่ออารมณ์ หงุดหงิดง่าย เป็นต้น
ข้อดี- ข้อเสียของการทำ IF
ข้อดี : การทํา if หลัก ๆ คือช่วยลดน้ำหนัก แต่ก็ยังมีข้อดีอื่น ๆ ที่ส่งผลดีต่อร่างกาย ดังนี้
- ช่วยปรับสมดุลอนุมูลอิสระในร่างกาย
- ช่วยลดการอักเสบซ่อนเร้นในร่างกายให้ลดลง
- ช่วยปรับการทำงานของเซลล์ ยีน และฮอร์โมนในร่างกาย
- ชะลอวัย ช่วยให้อ่อนเยาว์ขึ้น เนื่องจากอนุมูลอิสระ และการอักเสบในร่างกายลดลง
- กระตุ้นให้เกิดการซ่อมแซมเซลล์ที่สึกหรอ
- ร่างกายตอบสนองต่ออินซูลินได้ดีมากยิ่งขึ้น
- ช่วยส่งเสริมการทำงานของสมอง ทำให้ความจำดีขึ้น
- ลดความเสี่ยงในการเป็นโรคอ้วน โรคเบาหวาน และโรคหัวใจ
ข้อเสีย : การทํา if ไม่ได้มีเฉพาะข้อดีเสมอไปครับ ข้อเสียที่อาจเกิดขึ้นได้ในบางคน เช่น
- ทำให้ระดับน้ำตาลต่ำ อาจจะเวียนหัว และเป็นลมได้
- ในบางคนอาจเป็นการเพิ่มความเสี่ยงที่จะรับประทานอาหารมากเกินไปในช่วงที่เวลาที่กินอาหารได้
- ในผู้หญิงอาจทำให้เกิดปัญหาประจำเดือนมาผิดปกติ
- ทำให้เกิดอาการเพลีย ไม่มีแรง อ่อนล้า หงุดหงิดง่าย
การเริ่มต้นทำ IF ควรเริ่มแบบไหนดี ?
สำหรับมือใหม่หัดทำ if หมอแนะนำให้เริ่มต้นด้วยการเริ่มจากสูตร 16/8 โดยจะใช้เวลาอดอาหาร 16 ชั่วโมง แล้วกิน 8 ชั่วโมง สูตรนี้สามารถทำได้ง่าย ๆ เพื่อให้ร่างกายได้ปรับตัวเข้ากับระบบ และอาจปรับเวลามื้ออาหาร เช่น โดยปกติเริ่มมื้อเช้าตอน 8 โมงเช้า ให้ลองเริ่มกินมื้อแรกตอน 12.00 น. มื้อ 2 ประมาณ 16.00 น. และมื้อสุดท้ายเวลาไม่เกิน 20.00 น. ภายใน 8 ชั่วโมง เป็นการงดเช้า กินเที่ยงกับเย็น ก็จะสามารถทำ IF ได้อย่างสม่ำเสมอ
แต่ถ้าใครกลัวว่าจะยอมแพ้ไปเสียก่อน สามารถลดจำนวนชั่วโมงอดอาหารลงและเพิ่มชั่วโมงการกิน เป็น ทำ if 14/10 ก่อนในช่วงแรกและค่อย ๆ ขยับเวลาหากทำได้ดี

เริ่มต้นทำ IF แบบค่อยเป็นค่อยไป
ทำ IF กี่วันเห็นผล ?
การลดน้ำหนักแบบ if กี่วันเห็นผล ตรงนี้ขึ้นอยู่แล้วแต่ร่างกายของแต่ละบุคคลครับ โดยทั่วไปสามารถเห็นการเปลี่ยนแปลงประมาณ 1 สัปดาห์เนื่องจากเป็นการควบคุมวินัยพฤติกรรมการกิน อาจรู้สึกว่าพุงลดลง และรู้สึกสบายตัวมากขึ้น แต่ในเคสที่มีน้ำหนักเกินมาก อาจใช้เวลาเป็นเดือนครับ น้ำหนักจึงจะลดลง
ถ้าอยากเห็นผลลัพธ์ชัดเจน if ควรทํากี่วันต่อสัปดาห์ ? ในคนที่เริ่มต้นทำ if อาจจะเริ่ม 2-3 วันต่อสัปดาห์ก่อนได้ วันอื่น ๆ ที่ไม่ได้ทำ IF ก็กินอาหารตามปกติ แต่ต้องเลือกกินครับ ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับความพร้อมและเป้าหมายของแต่ละคนว่าอยากเห็นผลเร็ว-ช้า
ทำ IF กินอะไรได้บ้าง ?
ในช่วงเวลาที่เป็นช่วงกิน การทํา if สามารถกินอาหารได้ตามปกติครับ เพราะคาร์โบไฮเดรตเป็นแหล่งพลังงานที่ต้องใช้ตอนออกกำลังกาย โดยต้องใช้พลังงานของแป้งเข้าช่วย แนะนำกินให้พอดีอิ่ม ไม่เยอะเกินไป และเลือกรับประทานอาหารที่ถูกหลักโภชนาการ มีประโยชน์ เลี่ยงของทอด ของมัน ขนมหวาน เครื่องดื่มติดหวาน แอลกอฮอล์ และหันมารับประทานผักผลไม้เพิ่มมากขึ้น
แนะนำเมนูอาหาร IF
| มื้ออาหาร | ตัวอย่างเมนูอาหาร |
|---|---|
| มื้อเช้า | ไข่ต้ม 2 ฟอง + ขนมปังโฮลวีต 1 แผ่น + ผลไม้ 1 ชิ้น |
| ไข่ตุ๋น ไข่ลวก หรือไข่คน (ออมเล็ต) + กาแฟดำ | |
| โจ๊กข้าวกล้อง + อกไก่ + ผักต้ม | |
| สลัดผักรวม + อกไก่ + ไข่ต้ม | |
| มื้อกลางวัน | ข้าวกล้อง + ผัดผัก + อกไก่ย่าง |
| แกงส้มผักรวม + ปลานึ่ง | |
| ต้มยำกุ้ง + ข้าวกล้อง | |
| ต้มเลือดหมู + ข้าวกล้อง | |
| มื้อเย็น | ปลานึ่ง + ผักลวก |
| อกไก่ย่าง + ข้าวกล้อง | |
| สลัดผักรวม + ไข่ต้ม | |
| สุกี้น้ำ (น้ำจิ้มสูตรลดโซเดียม) |
ข้อควรระวังในการทำ IF
- ช่วงเวลาทำ if บางคนอาจรับประทานอาหารน้อยเกินไป จนเสี่ยงขาดสารอาหาร โดยบางคนเลือกตารางทำ if ที่อดมากเกินไป เช่น if 23/1 คือ อด 23 ชั่วโมง รับประทาน 1 ชั่วโมง หรือในช่วงเวลารับประทานอาหาร ทานมากจนเกินไป จนเกิดเป็นไขมันสะสม
- ช่วงเวลาทำ if แล้วรับประทานอาหารไม่มีประโยชน์ โดยเฉพาะของหวาน ของมันของทอด
- การลดน้ำหนักแบบ if แล้วนอนดึกมาก ๆ จะมีความเสี่ยงในความอ้วนง่าย เนื่องจากระบบฮอร์โมนที่ซ่อมแซมร่างกายไม่ได้ทำงาน
- การอดอาหารอาจเสี่ยงโรคที่เกี่ยวกับลำไส้ได้
วิธีลดน้ำหนักแบบต่าง ๆ นอกจาก IF
อย่างที่กล่าวมาตั้งแต่ต้น การลดน้ำหนักแบบ if อาจเป็นวิธีลดน้ำหนักที่ไม่เหมาะกับคนบางคน โดยเฉพาะคนที่มีโรคประจำตัว หรือตารางการทำงานแต่ละวันไม่คงที่ หากต้องการลดน้ำหนักอย่างสุขภาพดี ก็ยังมีอีกหลายวิธี ที่สามารถทำได้ครับ หมอขอยกตัวอย่าง วิธีลดน้ำหนักอื่น ๆ ดังนี้
- เปลี่ยนพฤติกรรมการกิน : หากต้องการลดน้ำหนัก ลดไขมันส่วนเกิน การเลิกรับประทานอาหารที่ไม่มีประโยชน์ โดยเฉพาะของมัน ของทอด ของหวาน รวมถึงขนมหวาน หรือขนมกรุบกรอบต่าง ๆ ก็สามารถช่วยได้ หากรู้สึกหิวแนะนำเปลี่ยนเป็นทานธัญพืช หรือผลไม้ได้ครับ
- ลดโซเดียม ลดเค็ม ลดน้ำตาล : การรับประทานอาหารที่มีโซเดียม และเกลือที่มากเกินไป จะส่งผลต่อการบวมน้ำ ส่วนน้ำตาล โดยเฉพาะน้ำตาลจากเครื่องดื่ม เช่น ชานม น้ำอัดลม สิ่งเหล่านี้ส่งผลต่อน้ำหนัก รวมถึงยังเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดการอยากอาหาร ดังนั้นเมื่อรับประทานอาหารควรลดการปรุง หรือเลือกทานอาหารที่มีโซเดียม และน้ำตาลน้อยจะดีที่สุด

กินธัญพืช ผักและผลไม้เมื่อรู้สึกหิว
- อาหารทุกมื้อต้องมีผัก : ผักผลไม้มีส่วนช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานได้ดีขึ้น การเพิ่มผักใบเขียวและผลไม้ที่น้ำตาล น้อยในทุกมื้ออาหารจะช่วยให้ระบบย่อยอาหารของเราดีขึ้น
- ดื่มน้ำมาก ๆ : ในช่วงลดน้ำหนัก ควรดื่มน้ำเปล่าจะดีที่สุด โดยเฉพาะในช่วงเช้า หลังจากตื่นนอนให้ดื่มน้ำทันทีทุกเช้า 1 แก้ว เพื่อช่วยให้ระบบทางเดินอาหาร และระบบขับถ่ายทำงานได้ดีขึ้น ในระหว่างวันควร ดื่มน้ำอย่างสม่ำเสมอ เพื่อช่วยให้ร่างกายดูดซึมวิตามินต่าง ๆ ได้อย่างเต็มที่ โดยควรดื่มน้ำ 1-2 ลิตรต่อวัน เพราะนอกจากช่วยเรื่องน้ำหนักแล้ว ยังช่วยในเรื่องผิวพรรณอีกด้วยครับ
- พักผ่อนให้เพียงพอ นอนให้ครบ 8 ชั่วโมงต่อวัน : หากนอนน้อย อดนอนบ่อย ๆ จะส่งผลให้ ฮอร์โมนในร่างกายเกิดการเปลี่ยนแปลง ทำให้เราอ้วนขึ้นได้ แนะนำให้นอนอย่างน้อยวันละ 8 ชั่วโมงครับ เพื่อช่วยควบคุมระดับน้ำตาลและควบคุมการสะสมไขมัน
- การออกกำลังกาย : การออกกำลังกายเป็นวิธีที่ลดน้ำหนักได้ดีสุด ๆ ควรทำอย่างน้อย 30 นาที ต่อวัน สำหรับคนที่เพิ่งเริ่มออกกำลังกาย อาจเลือกเป็นการกระโดดเชือก เพราะการกระโดดเชือกเพียง 15 นาที เทียบเท่ากับการวิ่งออกกำลังกาย 30 นาที แนะนำให้กระโดดครั้งละ 10 นาที วันละ 2 ครั้ง หรือจะเลือกออกกำลังกายแบบคาร์ดิโออื่น ๆ ที่ช่วยเผาผลาญได้ดี
CR :: https://www.vsquareclinic.com/tips/if-intermittent-fasting/

การลดน้ำหนักเทคนิค IF (Intermittent Fasting) คืออะไร? กินอย่างไรให้ถูกวิธี
ตอบลบIF (Intermittent Fasting) คืออะไร
IF (Intermittent Fasting) คือรูปแบบการลดน้ำหนักโดยการจำกัดเวลาการรับประทานอาหาร ซึ่งวิธี IF จะแบ่งการรับประทานอาหารเป็น 2 ช่วง คือ ช่วงอดอาหาร (Fasting) และช่วงรับประทานอาหาร (Feeding) ใน 1 วันคุณจะมีช่วงเวลาทานอาหารอย่างจำกัด และหลังจากเข้าสู่ช่วงอดอาหารจะต้องไม่รับประทานอาหารอะไรเลยนอกจากการดื่มน้ำเปล่าเท่านั้น
เมื่อเข้าสู่ช่วงอดอาหาร ร่างกายจะลดการหลั่งอินซูลิน และเพิ่มการหลั่งโกรทฮอร์โมน ซึ่งโกรทฮอร์โมนมีประโยชน์ต่อระบบเผาผลาญพลังงาน ทำให้ร่างกายดึงเอาพลังงานจากไขมันสะสมมาใช้มากขึ้น จึงทำให้ระดับไขมันลดลง น้ำหนักตัวและสัดส่วนจึงลดลงไปด้วย
“ปกติแล้วเมื่อร่างกายไม่ได้รับอาหารที่เพียงพอจนเริ่มเข้าสู่ภาวะขาดพลังงาน ร่างกายจะมีการดึงไขมันสะสมมาเผาผลาญเป็นพลังงานแทน ในขณะเดียวกันก็ยังเป็นการลดระดับการเผาผลาญพลังงานลงไปเพื่อรักษาพลังงานไว้ให้ได้มากที่สุด ดังนั้นการลดน้ำหนักที่ดีไม่ควรจะอดอาหารมากเกินไป เพราะจะยิ่งทำให้ระบบเผาผลาญทำงานลดลง เมื่อกลับมารับประทานอาหารอีกครั้งจะทำให้ร่างกายเผาผลาญพลังงานได้ไม่หมดและถูกเก็บสะสมในรูปแบบไขมันสะสมได้”
การทำ IF มีกี่แบบ?
ตอบลบพอจะทราบกันมาแล้วว่าการทำ IF คือการจำกัดเวลารับประทานอาหารในแต่ละวัน แต่วิธีนี้ยังสามารถแบ่งจากเวลาที่รับประทานอาหารต่อเวลาที่อดอาหารได้อีก 6 แบบหลัก ดังนี้
1. Intermittent Fasting แบบ Lean gains
IF แบบแรกที่ทำได้ง่ายและเป็นที่นิยมที่สุดคือการทำไอเอฟแบบ Lean gains หรือ IF 16/8 ใน 1 วัน (24 ชั่วโมง) จะสามารถรับประทานอาหารได้ 8 ชั่วโมงและอดอาหาร 16 ชั่วโมง ยกตัวอย่างเช่น รับประทานอาหารมื้อแรกตอน 8 โมงเช้า คุณจะสามารถรับประทานอาหารได้ครั้งสุดท้ายไม่เกิน 4 โมงเย็น และจะสามารถรับประทานอาหารมื้อต่อไปได้ในตอน 8 โมงเช้าของวันถัดไปนั่นเอง
ในช่วงอดอาหาร 16 ชั่วโมงผู้ที่ทำ IF แบบนี้จะต้องไม่รับประทานอาหารใด ๆ นอกจากดื่มน้ำเปล่า หรือน้ำที่ไม่มีน้ำตาล และไม่ดื่มน้ำที่ใส่สารให้ความหวานแทนน้ำตาลเพื่อไม่ให้ร่างกายกระตุ้นความหิวขณะอดอาหาร
ช่วงเวลารับประทานอาหารคุณสามารถเลือกช่วงที่สะดวกได้เลย เพราะวิธีนี้ไม่ได้จำกัดว่าจะต้องรับประทานตอนไหน จะจำกัดเพียงแค่ให้รับประทานได้เพียง 8 ชั่วโมงเท่านั้น แต่ทางที่ดีไม่ควรรับประทานดึกเกินไปเพราะจะมีผลเรื่องระบบการย่อยอาหารและการเผาผลาญพลังงานเข้ามาเป็นปัจจัยทำให้ประสิทธิภาพของการลดน้ำหนัก IF ลดลง
นอกจากนี้ ช่วงที่รับประทานอาหาร 8 ชั่วโมงนี้ แนะนำให้รับประทานปริมาณอาหารอย่างพอดี มีสารอาหารครบถ้วน เนื่องจากหากรับประทานปริมาณอาหารมากเกิน การทำ IF ก็อาจไม่ประสบผลสำเร็จในการลดน้ำหนักเช่นเดียวกัน
2. Intermittent Fasting แบบ Fast 5
เพิ่มระดับความยากมาจาก IF 16/8 คือการทำ IF แบบ Fast 5 ซึ่งหลักการรับประทานอาหารและการอดอาหารเหมือนกับ IF 16/8 เลย แต่จะต่างกันเพียงระยะเวลาที่สามารถรับประทานเท่านั้น โดย IF แบบ Fast 5 จะรับประทานอาหารได้เพียง 5 ชั่วโมงต่อวันเท่านั้น เวลาที่เหลือ 19 ชั่วโมงจะเป็นช่วงอดอาหารนั่นเอง
3. Intermittent Fasting แบบ Eat stop Eat
IF แบบที่ 3 คือการรับประทานแบบวันเว้นวันหรือ Eat stop Eat โดยวิธีนี้จะต้องอดอาหาร 24 ชั่วโมงติดต่อกัน ใน 1 อาทิตย์อาจเลือกทำ 1-2 ครั้ง เช่น 1 อาทิตย์มี 7 วัน สามารถรับประทานอาหารปกติ 5-6 วัน งดรับประทานอาหาร 1-2 วัน โดยวันที่อดจะไม่ทำติดกัน 2 วัน ควรเว้นระยะห่างด้วยเพื่อไม่ให้ร่างกายเป็นอันตรายจากการอดอาหาร
4. Intermittent Fasting แบบ 5:2
การลดน้ำหนัก IF แบบ 5:2 จะคล้ายกับ Eat stop Eat คือ ใน 1 สัปดาห์ จะรับประทานอาหารปกติ 5 วัน อีกสองวันที่เหลือให้รับประทานอาหารแคลอรีน้อยกว่าความต้องการของร่างกาย โดยปกติแล้วจะให้รับประทานอาหารประมาณ 1 ใน 4 จากความต้องการในแต่ละวันเท่านั้น ในช่วง 2 วันที่ต้องรับประทานอาหารแคลอรีน้อยนั้นจะเลือกรับประทาน 2 วันติดกันหรือเว้นระยะห่างก็ได้ทั้งนั้น
5. Intermittent Fasting แบบ The Warrior Diet
The Warrior Diet จะเน้นการรับประทานอาหารในเวลาช่วงหัวค่ำเท่านั้น สามารถรับประทานอาหารเพียง 4 ชั่วโมงและอดอาหาร 20 ชั่วโมง ในช่วงเวลาที่สามารถรับประทานอาหารได้จะเน้นการรับประทานอาหารประเภทโปรตีน วิตามิน และเกลือแร่เป็นหลัก ส่วนช่วงอดอาหารสามารถรับประทานน้ำเปล่าหรืออาหารลดน้ำหนักที่แคลอรีต่ำเพื่อบรรเทาความหิวได้
6. Intermittent Fasting ADF (Alternate Day Fasting)
Alternate Day Fasting เป็นวิธีสุดโหดของการลดน้ำหนักแบบ IF วิธีนี้จะสามารถรับประทานอาหารปกติ 1 วันและต้องอดอาหารในวันถัดไปแบบทั้งวัน ทำแบบนี้สลับกันไปเรื่อย ๆ ซึ่งเป็นวิธีที่เหมาะกับผู้ที่เริ่มคุ้นชินกันการอดอาหาร ไม่เหมาะอย่างยิ่งกับมือใหม่ โดยเฉพาะผู้ที่มีนิสัยกินจุบจิบ เนื่องจากหลังอดอาหารไป 24 ชั่วโมงจะมีอาการอยากอาหารอย่างมาก ทำให้รับประทานอาหารมากกว่าปกติในวันถัดไป
หลักเกณฑ์สำคัญของการรับประทานอาหารขณะทำ IF แบบ Alternate Day Fasting คือวันที่รับประทานอาหารได้จะต้องรับประทานอาหารให้ได้สารอาหารครบและเหมาะสม ไม่อดอาหารในวันที่ต้องรับประทานอาหารและต้องไม่รับประทานมากเกินความต้องการของร่างกาย เนื่องจากอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพได้
หรืออาจจะปรับระดับความโหดลงได้ โดยในวันที่ต้องอดอาหารสามารถเลือกการรับประทานอาหารแคลอรีต่ำมาก ๆ ประมาณ 1 ใน 4 ที่ต้องได้รับในแต่ละวันแทนได้เช่นกัน
อยากลดน้ำหนัก จะเริ่มทำ IF ควรเลือกแบบไหนดี?
ตอบลบจะเห็นว่าการทำ IF สามารถแบ่งออกได้เป็นหลายแบบ แต่ละแบบจะมีความยากที่ต่างกัน สำหรับมือใหม่เพิ่งตัดสินใจลดน้ำหนัก แนะนำให้เริ่มจากการทำ IF แบบ Lean gains หรือ IF 16/8 เนื่องจากวิธีนี้จะคล้ายกับการรับประทานอาหารมื้อปกติ เพียงแต่เน้นการรับประทานให้เป็นช่วงเวลาเท่านั้น แต่เมื่อชินกับการทำ IF แบบ 16/8 แล้วก็สามารถเพิ่มความยากไปวิธีอื่น ๆ ได้เลย
การลดน้ำหนักด้วยวิธี IF ได้ผลจริงไหม?
หากว่ากันตามทฤษฎีแล้ว การลดน้ำหนักด้วยวิธี IF นั้นสามารถช่วยลดน้ำหนักและไขมันสะสมได้จริง เพียงแต่มักจะมีปัจจัยอื่น ๆ เข้ามาร่วมหลายประการ ทำให้การลดน้ำหนักด้วยวิธี IF ไม่ประสบความสำเร็จตามที่คาดหวังไว้ ไม่ว่าจะระบบเผาผลาญเดิมของแต่ละคน ปัญหาทางสุขภาพ รวมถึงผลกระทบจากการอดอาหารที่ทำให้การทำ IF ล้มเหลว เช่น หงุดหงิดโมโหง่าย, ปวดศีรษะ, เป็นลม, สมาธิสั้น เป็นต้น
IF มีข้อดี ข้อจำกัดอะไรบ้าง
การทำ IF เป็นวิธีการลดน้ำหนักวิธีหนึ่งที่ใช้หลักการอดอาหารเป็นบางครั้ง เพื่อบังคับให้ร่างกายดึงเอาไขมันสะสมมาเผาผลาญเป็นพลังงานมากขึ้น โดยวิธีนี้มีทั้งข้อดีและข้อจำกัด ไปดูกันว่ามีอะไรบ้าง
ข้อดีของการทำ IF
- ช่วยลดน้ำหนัก
- ช่วยลดไขมันสะสมในร่างกาย
- ช่วยลดสัดส่วนภายนอกให้ดูเล็กลง
- ช่วยปรับสมดุลของระบบเผาผลาญให้กลับมาทำงานเป็นระบบ
- ช่วยส่งเสริมการซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอในร่างกาย
- ช่วยกระตุ้นการทำงานของโกรทฮอร์โมน
- ช่วยให้ร่างกายสามารถตอบสนองต่ออินซูลินได้ดีขึ้น
- ช่วยลดความเสี่ยงของโรคอันตรายที่เกิดจากความอ้วนและไขมันสะสม
ข้อจำกัดของการทำ IF
- ทำให้อ่อนเพลีย หงุดหงิดง่าย
- ทำให้ระดับน้ำตาลต่ำ รู้สึกเวียนศีรษะ หรือเป็นลมได้
- หากทำ IF อย่างไม่ถูกต้องจะยิ่งทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นเนื่องจากการรับประทานอาหารมากกว่าปกติจากการที่ต้องอดอาหาร
IF เหมาะกับคุณหรือไม่
ตอบลบการทำ IF อาจไม่ได้เหมาะกับทุกคน จะรู้ได้อย่างไรว่า IF เหมาะกับคุณหรือไม่ ไปดูกันว่า IF เหมาะกับใคร หรือไม่เหมาะกับใครบ้าง
ผู้ที่เหมาะกับการลดน้ำหนัก IF
- ผู้ที่ต้องการลดน้ำหนักโดยไม่จำเป็นต้องทุ่มเทให้กับออกกำลังกายมาก
- ผู้ที่ไม่ได้มีความจำเป็นต้องใช้พลังงานกายในแต่ละวันมากนัก
- ผู้ที่สามารถควบคุมการรับประทานอาหารของตนเองได้ดี
- ผู้ที่มีตารางเวลาการใช้ชีวิตประจำวันที่ชัดเจน
ผู้ที่ไม่เหมาะกับการลดน้ำหนัก IF
- ผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี
- ผู้ที่มีโรคประจำตัว
- ผู้ที่มีเวลาพักผ่อนน้อย
- ผู้ที่ต้องใช้แรงงานหนักในแต่ละวัน
- ผู้ที่ต้องรับประทานยาเป็นประจำ
- ผู้ที่มีภาวะขาดสารอาหาร
- หญิงตั้งครรภ์และให้นมบุตร
ทำไมหลายคนถึงทำ IF ไม่สำเร็จ?
ตอบลบวิธีลดน้ำหนักแบบ IF ที่ดูเหมือนจะไม่ยากนัก แต่กลับมีผู้ที่ลดน้ำหนักไม่สำเร็จจากวิธีนี้ไม่น้อย เพราะอาจทำ IF ไม่ถูกวิธีรวมถึงมีปัจจัยอื่นเข้ามาเกี่ยวข้อง ดังนี้
คุมอาหารไม่อยู่
ในช่วงอดอาหารจะเป็นช่วงที่หลายคนลำบากมากเพราะความหิว เมื่อถึงช่วงที่รับประทานอาหารได้จึงเผลอไปจัดเต็ม รับประทานอาหารจนแคลอรีเกินต่อความต้องการในแต่ละวัน จึงเป็นเหตุให้ในสุดท้ายร่างกายก็ได้รับพลังงานมากเกินจนต้องเก็บไปสะสมไว้ในรูปไขมัน น้ำหนักตัวจึงไม่ลดตามที่คาดหวังนั่นเอง
อดอาหารมากเกินไป
อย่างที่ได้กล่าวไปต้นบทความแล้วว่าการทำ IF จะเป็นการบังคับให้ร่างกายดึงพลังงานสะสมมาใช้ แต่ในขณะเดียวกันก็อาจทำให้ระบบเผาผลาญทำงานลดลง หากอดอาหารมากเกินไป ร่างกายจะมีระบบปรับตัวให้เผาผลาญพลังงานลดลง ดังนั้น ถึงแม้จะรับประทานน้อย แต่น้ำหนักก็ไม่ลดลงได้เช่นกัน
ดังนั้นการทำ IF จะต้องทำอย่างพอดีและรับประทานอาหารให้ได้สารอาหารครบถ้วนที่สุด เพื่อไม่ให้ร่างกายปรับตัวลดการเผาผลาญลง
ไม่ออกกำลังกาย
การทำ IF นั้นสามารถช่วยให้น้ำหนักลดได้ด้วยการจำกัดเวลารับประทานอาหาร ถึงแม้ว่าจะไม่ออกกำลังกายน้ำหนักของคุณก็สามารถลดได้ แต่อันที่จริงแล้วน้ำหนักที่ลดจากการอดอาหารนั้นมักเริ่มจากการสูญเสียมวลกล้ามเนื้อ รวมถึงส่งผลให้ระบบเผาผลาญทำงานน้อยลง เมื่อเลิกทำ IF ไปอาจทำให้น้ำหนักขึ้นได้เช่นเดิม
แต่การออกกำลังกายนั้นจะช่วยฟื้นฟูระบบเผาผลาญพลังงานให้ทำงานได้มากขึ้น เมื่อกลับไปรับประทานอาหารปกติคุณก็จะกลับมาน้ำหนักขึ้นยากกว่าเดิมเนื่องจากระบบเผาผลาญทำงานดีนั่นเอง
พักผ่อนน้อย นอนดึก
อีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้ทำ IF ไม่ได้ผล คือ การนอนดึก เนื่องจากการนอนดึกนั้นจะส่งผลต่อระบบฮอร์โมนทำงานผิดปกติ รวมถึงการส่งสัญญาณความอิ่มไปยังสมองทำงานผิดปกติ ทำให้เกิดความหิวขึ้น ยิ่งคุมตัวเองขณะหิวไม่ได้จนรับประทานอาหารในตอนกลางคืน ยิ่งทำให้การทำ IF ไม่ประสบความสำเร็จและกลับมาอ้วนอีกครั้ง
นอกจากวิธี IF ยังมีวิธีลดน้ำหนักแบบอื่น ๆ อีกไหม?
ตอบลบการทำ IF นั้นเป็นหนึ่งในวิธีลดน้ำหนักที่ใช้กันในขณะนี้เท่านั้น ยังมีวิธีลดน้ำหนักแบบอื่น ๆ เป็นทางเลือกอีกมากมาย ยกตัวอย่างเช่น
1. Coolsculpting
Coolsculpting เป็นวิธีลดไขมันแบบเฉพาะจุด โดยการสลายไขมันใต้ผิวหนังด้วยความเย็นด้วย ตัวเครื่อง Coolsculpting จะส่งคลื่นความเย็นเข้าไปใต้ผิวหนังสู่ชั้นไขมัน ทำให้เซลล์ไขมันถูกแช่แข็งและตายลง หลังจากนั้นจะต้องนวดเพื่อให้เซลล์ไขมันแตกตัวก่อนที่ร่างกายจะเข้าสู่กระบวนการกำจัดเซลล์ไขมันที่ตายไปแล้วออกจากร่างกายต่อไป
2. Thermage FLX
Thermage FLX เป็นวิธีลดไขมันที่ใช้คลื่นวิทยุความถี่สูงยิงลงไปใต้ผิวหนังสู่ชั้นไขมัน คลื่นวิทยุจะจำเพาะกับเซลล์ไขมันและแปรเปลี่ยนเป็นพลังงานความร้อน ทำให้เซลล์ไขมันยุบตัว อีกทั้งยังสามารถยกกระชับผิวไม่ให้หย่อนคล้อยอีกด้วย
3. ปากกาลดน้ำหนัก
ปากกาลดน้ำหนักเป็นวิธีลดน้ำหนักโดยการใช้ยารูปแบบฉีดเข้าสู่ใต้ผิวหนัง ในตัวยาจะประกอบด้วยลิรากลูไทด์ (Liraglutide) ที่ออกฤทธิ์ลดความรู้สึกอยากอาหารลง และยังไปลดการบีบตัวของกระเพาะอาหาร ทำให้อาหารอยู่ท้องนานขึ้น
“คุณสามารถทำ IF ร่วมกับวิธีลดความอ้วนอื่น ๆ เช่น Coolsculpting, Thermage FLX หรือ ปากกาลดน้ำหนัก เพื่อผลลัพธ์ที่เร็วขึ้นได้เช่นกัน”
- ตอนทำ IF กินอะไรได้บ้าง?
ตอบลบขณะทำ IF ช่วงอดอาหารไม่ควรรับประทานอาหารใด ๆ นอกจากน้ำเปล่า หรืออาจรับประทานอาหารที่แคลอรีต่ำมากสำหรับผู้ที่ทำ IF แบบ Eat Stop Eat, 5:2, The Warrior Diet และ Alternate Day Fasting
แต่ในช่วงรับประทานอาหารอาจแนะนำให้รับประทานอาหารลดน้ำหนักที่มีสารอาหารครบถ้วน เป็นไปได้ให้ลดอาหารจำพวกแป้ง น้ำตาล รวมถึงของทอดจะช่วยให้การทำ IF ได้ผลดียิ่งขึ้น
- ทำ IF ต้องคุมชนิดอาหารด้วยไหม?
ปกติแล้วการทำ IF จะจำกัดเพียงเวลารับประทานอาหาร ไม่ได้จำกัดชนิดอาหารที่รับประทานแต่อย่างใด แต่เพื่อให้การทำ IF ประสบผลสำเร็จเร็วยิ่งขึ้นสามารถคุมอาหารโดยเน้นการรับประทานโปรตีน ผัก และผลไม้จะดีกว่า
- ทำ IF ปลอดภัยจริงไหม
หากทำ IF โดยไม่หักโหมจนเกินไป และหากมีโรคประจำตัว ควรปรึกษาแพทย์ผู้ดูแลก่อนทำ IF การทำ IF ก็สามารถทำได้อย่างปลอดภัย
สรุป
การทำ IF เป็นอีกวิธีทางเลือกสำหรับการลดน้ำหนักที่นิยมใช้ในขณะนี้ สามารถทำตามได้ง่ายและมีค่าใช้จ่ายที่น้อย เพียงแต่ต้องอาศัยการมีวินัยอย่างสม่ำเสมอ และทำอย่างพอดีไม่ฝืนจนเกินไป ก็จะช่วยให้คุณลดน้ำหนักได้อย่างปลอดภัย แถมสุขภาพที่ดีขึ้นอีกด้วย