8 การออกกำลังกายที่ดีที่สุด สำหรับลดไขมัน
8 การออกกำลังกายที่ดีที่สุด สำหรับลดไขมัน
ตัวเลขเผยออกมาแล้วครับว่า ทุกปี (โดยเฉพาะในเดือนมกราคม) คนไทยกว่าครึ่งประเทศพยายามจะลดน้ำหนักหรือลดไขมัน
ในการลดไขมันแน่นอนว่าเรื่องการควบคุมอาหารเป็นสิ่งจำเป็น แต่การออกกำลังกายก็สำคัญไม่แพ้กัน เพราะการออกกำลังกายจะช่วยให้ร่างกายเราเผาผลาญไขมันมากขึ้น ควบคุมความหิวได้ดีขึ้น และช่วยให้สุขภาพแข็งแรง ซึ่งจะส่งผลดีต่อสุขภาพโดยรวมในระยะยาว
โดยเฉพาะผู้หญิงการออกกำลังกายยิ่งสำคัญมาก เพราะการออกกำลังกายจะเข้าไปช่วยปรับระดับฮอร์โมน ลดการสูญเสียของมวลกระดูก ลดความเสี่ยงโรคกระดูกพรุน และโรคเรื้อรังอื่นๆ เช่น มะเร็งเต้านมและมะเร็งรังไข่ เป็นต้น
เมื่อร่างกายเรามีไขมันน้อยลง ความมั่นใจก็จะมากขึ้น ได้ใส่เสื้อผ้าสวยๆ โชว์สัดส่วนที่เป็นผู้หญิง และไม่ป่วยง่ายด้วย
วันนี้ จะมาแนะนำ การออกกำลังกาย 8 วิธี ที่ดีที่สุดสำหรับเผาผลาญไขมัน
1. เดิน (Walking)
การเดิน คือ หนึ่งในการออกกำลังกายที่ดีที่สุดสำหรับลดน้ำหนักและเบิร์นไขมัน เพราะว่าการเดินทำได้ง่าย ไม่จำเป็นต้องมีอุปกรณ์อะไรมากมาย สะดวก เหมาะกับทุกวัยและระดับความฟิต
อีกทั้งยังเป็นการออกกำลังกายแบบ Low-impact ที่ไม่เพิ่มความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บของเข่าและข้อต่อต่างๆ
งานวิจัยจากมหาวิทยาลัย Harvard พบว่า ผู้เข่าร่วมทดลองที่น้ำหนัก 70 กิโลกรัม สามารถเผาผลาญพลังงานได้มากถึง 167 แคลอรี่ ในการเดินแค่ 30 นาที ในระยะทาง 6.4 กิโลเมตร/ชั่วโมง (1)
อีกหนึ่งงานวิจัยพบว่า ในระยะเวลา 12 อาทิตย์ ผู้หญิง 20 คนที่เข้าร่วมการทดลอง โดยเฉลี่ยสามารถลดขนาดรอบเอว (Waist Circumference) ได้มากถึง 15% หรือระมาณ 1.1 นิ้ว โดยออกกำลังกายด้วยการเดิน 50-70 นาที 3 ครั้ง/อาทิตย์ (2)
โดยส่วนตัวผมมองว่าการเดินเป็นการออกกำลังกายที่เราทำได้เลยทันที จะเดินให้มากขึ้นก่อนไปทำงาน ระหว่างพักกลางวัน หลังเลิกงานก็ได้ หรือใช้บันไดมากขึ้น แทนที่จะขึ้นลิฟต์ก็ได้
2. ปั่นจักรยาน (Cycling)
การปั่นจักรยาน ถือว่าเป็นการออกกำลังกายที่เผาผลาญพลังงานได้ดี ถนอมข้อต่อต่างๆ และได้ชมวิวทิวทัศน์ไปในตัวด้วย
แต่ก่อนถ้าอยากจะปั่นจักรยานาเราก็ต้องออกไปปั่นข้างนอก ตอนนี้ที่ฟิตเนสก็เริ่มมีจักรยานนั่งปั่นเกือบทุกที่ เหมาะสำหรับคนที่ไม่ค่อยมีเวลา หรือไม่อยากลุยแดดลุยฝน
มหาวิทยาลัย Harvard ได้สรุปมาว่า คนน้ำหนัก 70 กิโลกรัม จะเผาผลาญพลังงานได้ 260 แคลอรี่ ด้วยการปั่นจักรยาน (นั่งปั่น) เป็นเวลา 30 นาที และปริมาณแคลอรี่จะเพิ่มมากขึ้นเป็น 298 แคลอรี่ ถ้าปั่นโดยใช้ความเร็ว 19-22.4 กิโลเมตร/ชั่วโมง
งานวิจัยหลายชิ้นก็ชี้ให้เห็นชัดเจนเลยครับว่า การปั่นจักรยานมีประโยชน์อื่นๆด้วยนอกจากช่วยเผาผลาญไขมัน เช่น
- ช่วยให้ร่างกายตอบสนองต่ออินซูลินได้ดีขึ้น (Improve Insulin Sensitivity)
- ลดความเสี่ยงโรคเรื้อรัง เช่น โรคหัวใจ โรคมะเร็ง
- ช่วยถนอมสุขภาพของข้อต่อต่างๆ
3. วิ่ง หรือ จ็อกกิ้ง (Run or Jogging)
การวิ่งเหยาะๆหรือวิ่งช้าๆอย่างการวิ่งจ็อกกิ้ง (Jogging) และการวิ่งที่มีการรับระดับการเต้นของหัวใจให้อยู่ในโซนเผาผลาญไขมัน เป็นอีกหนึ่งวิธีออกกำลังกายที่นิยมมาก
ถามว่าแล้วจ็อกกิ้งกับวิ่งต่างกันยังไง? ความแตกต่างมันอยู่ที่ความเร็ว
การวิ่งจ็อกกิ้งจะใช้ความเร็วระมาณ 6.4-9.7 กิโลเมตร/ชั่วโมง แต่การวิ่งจะเร็วกว่านั้น เช่น มากกว่า 9.7 กิโลเมตร/ชั่วโมง
แล้ววิ่งจ็อกกิ้ง หรือ การวิ่ง เผาผลาญพลังงานได้เท่าไหร่?
มหาวิทยาลัย Havard ก็ได้คำนวณออกมาว่า คนน้ำหนัก 70 กิโลกรัม จะเผาผลาญพลังงานได้ประมาณ 298 แคลอรี่ ถ้า
- วิ่งจ็อกกิ้ง 30 นาที ในระดับความเร็ว 8 กิโลเมตร/ชั่วโมง
- วิ่ง 30 นาที ในระดับความเร็ว 9.7 กิโลเมตร/ชั่วโมง
มีงานวิจัยชิ้นนี้ที่น่าสนใจมากครับ เพราะเขาพบว่า การวิ่งและจ็อกกิ้งมีส่วนช่วยลดไขมันในช่องท้อง หรือ “Visceral Fat” ซึ่งเป็นไขมันชนิดที่อันตรายและจะอยู่ในช่องท้องตามอวัยวะภายใน (3)
สำหรับใครที่เพิ่งเริ่ม ผมแนะนำให้ค่อยๆเพิ่มเวลาในการจ็อกกิ้งและวิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ อาจจะเริ่มด้วยการวิ่งวันละ 20-30 นาที 3-4 ครั้ง/อาทิตย์ เป็นต้น
ส่วนใครที่ไม่ค่อยชอบออกไปวิ่งข้างนอก หรือมีปัญหาเกี่ยวกับข้อต่อ ผมแนะนำให้วิ่งบนสนามหญ้าหรือวิ่งในน้ำ เพื่อลดแรงกระแทก และทุกวันนี้ฟิตเนสหลายที่เริ่มมีลู่วิ่งที่เพิ่มความนุ่มเพื่อลดแรงกระแทกแล้ว อาจจะสอบถามเพื่อที่จะถนอมข้อต่อของเรา
4. เวทเทรนนิ่ง (Weight Training)
เวทเทรนนิ่ง คือ การออกกำลังกายแบบออกแรงดัน โดยใช้แผ่นเหล็กเพื่อเพิ่มน้ำหนัก หรือใช้แค่น้ำหนักตัว
เวทเทรนนิ่ง ถือเป็นการออกกำลังกายที่ดีมากๆ เพราะยิ่งเรามีมวลกล้ามเนื้อมากเท่าไหร่ ร่างกายยิ่งจะเผาผลาญไขมันมากขึ้นเท่านั้น เพราะมวลกล้ามเนื้อมีผลต่อปริมาณพลังงานที่ร่างกายเราเผาผลาญระหว่างที่เราพักผ่อน (Resting Metabolic Rate/RMR)
ถ้าคนน้ำหนัก 70 เล่นเวทเทรนนิ่งต่อเนื่องเป็นเวลา 30 นาที จะสามารถเบิร์นแคลอรี่ได้ 112 แคลอรี่
นอกจากพลังงานแคลอรี่ที่เบิร์นระหว่างเล่นเวทเทรนนิ่งแล้ว หลังจากออกกำลังกายร่างกายเราก็ยังจะเผาผลาญพลังงานต่อ เพราะร่างกายต้องนำสารอาหารไปบำรุงกล้ามเนื้อส่วนที่ใช้งาน (4) ถือว่าเหมือนได้โบนัส 2 ต่อ เลย
นอกจากจะช่วยเผาผลาญพลังงานแคลอรี่ออกมากขึ้นแล้ว เวทเทรนนิ่งจะช่วยเพิ่มความแข็งแรงให้กับกระดูกด้วย
เวทเทรนนิ่งเป็นเหมือนการฝากเงินแล้วได้ดอกเบี้ยครับ ยกตัวอย่างเช่น งานวิจัยได้พบว่า ผู้หญิงที่เข้าร่วมทดลองที่ออกกำลังกายด้วยเวทเทรนนิ่งเป็นเวลา 6 เดือน จะสามารถเพิ่มอัตรา RMR ได้ถึง 4%
นั่นเท่ากับว่าร่างกายเราเผาผลาญพลังงานมากขึ้น 50 แคลอรี่ต่อวัน โดยที่เราไม่ต้องกระดิกนิ้วหรือออกกำลังกายเลย (5)
5. การออกกำลังกายแบบหนักสลับเบา (Interval Training)
การออกกำลังกายแบบหนักสลับเบา (Interval Training) คือ การออกกำลังกายที่เพิ่มความทนทานหรือความอึด (Endurance) ให้กับร่างกาย ซึ่งจะสลับกับการพักในช่วงระยะเวลาสั้นๆ เช่น วิดพื้น 45 วินาที พัก 15 วินาที และทำต่อเนื่อง 5 รอง เป็นต้น
Interval Training ที่เราน่าจะคุ้นเคยก็คือ HIIT (High Intensity Interval Training) ที่หลายคนอาจจะเคยเจอในฟิตเนสดังๆที่มีคลาสเหล่านี้ เช่น Jetts 24 Hour Fitness, Fitness First และ F45 เป็นต้น
Interval Training หรือ HIIT จะใช้เวลาทั้งหมดประมาณ 10-30 นาทีเท่านั้น ใช้เวลาสั้นมากแต่สามารถเผาผลาญพลังงานได้เยอะเหมือนการออกกำลังกายต่อเนื่องนานๆ
งานวิจัยพบว่า การออกกำลังกายแบบ HIIT สามารถช่วยเผาผลาญพลังงานได้มากกว่าการออกกำลังกายแบบอื่น เช่น เวทเทรนนิ่ง การปั่นจักรยาน และการวิ่ง ถึง 25-30% (6)
HIIT จึงเหมาะมากกับใครที่ต้องการฟิตหุ่นและเผาผลาญไขมันส่วนเกิน โดยเฉพาะไขมันในส่วนที่ลดยากๆ เช่น ไขมันที่ต้นแขน ต้นขา สะโพก และพุง แต่ไม่ค่อยมีเวลามาออกกำลังกายนานๆ
ถ้าสนใจโปรแกรมการออกกำลังกายแบบ HIIT หรือ Interval Training คลิกเข้าไปอ่านบทความนี้ “7 เหตุผลที่นิยมเบิร์นไขมันด้วย HIIT” ในนั้นผมมีโปรแกรมให้ลองทำตามด้วย
ท้ายสุด ถ้าใครชอบวิ่งหรือปั่นจักรยานเป็นประจำ ผมแนะนำให้ออกแบบ Interval นั่นคือ วิ่งหรือปั่นจักรยานโดยใช้ความเร็วสูงสุด 30 วินาที ตามด้วยการเดินเร็วหรือปั่นช้าๆ 60-90 วินาที ทำวนไปแบบนี้เรื่อยๆประมาณ 10-30 นาที รับรองว่ามีการหอบ เหงื่อสะพรัก และเบิร์นไขมันมากขึ้นแน่นอน
6. ว่ายน้ำ (Swimming)
การว่ายน้ำ เป็นการออกกำลังกายที่ถือว่าได้บริหารกล้ามเนื้อทุกส่วนไปพร้อมกัน และ Low-impact มากๆ ไม่ทำให้ร่างกายเครียด โดยเฉพาะข้อต่อต่างๆ
การว่ายน้ำจำเป็นจะต้องใช้ร่างกายทุกส่วน แต่พลังงานแคลอรี่ก็ขึ้นอยู่กับว่าเราว่ายน้ำท่าอะไร
ยกตัวอย่างเช่น คนที่น้ำหนัก 70 กิโลกรัม ถ้าว่ายน้ำ 30 นาที จะสามารถเบิร์นแคลอรี่ได้ดังนี้
- ท่า Backstroke: 298 แคลอรี่
- ท่า Breaststroke: 372 แคลอรี่
- ท่า Butterfly: 409 แคลอรี่
- ท่า ลอยตัวในน้ำ (Treading Water): 372 แคลอรี่
7. โยคะ (Yoga)
การเล่นโยคะ เป็นการออกกำลังกายที่ช่วยผ่อนคลายสมอง กล้ามเนื้อ และยังเผาผลาญไขมันได้ด้วย
คนน้ำหนัก 70 กิโลกรัม จะสามารถเผาผลาญพลังงานได้ 149 แคลอรี่ ต่อการเล่นโยคะ 30 นาที
แน่นอนว่าการเล่นโยคะคงไม่ช่วยให้เราเผาผลาญไขมันได้มากกว่าการออกกำลังกายที่เกริ่นไปทั้งหมดก่อนหน้านี้ แต่โยคะก็มีประโยชน์ต่อสุขภาพโดยรวมอื่นๆ
โดยเฉพาะการรู้ถึงหรือความสามารถในการควบคุมจิตใจและร่างกายเรา (Mindfulness) ซึ่งจะมีผลต่อการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินอาหาร โดยเฉพาะการเลิกกินอาหารที่มีแคลอรี่สูงๆ เช่น ชานมไข่มุก เค้กช็อกโกแลต และโรคกินมากเกิน (Binge Eating)
ทุกวันนี้ฟิตเนสเกือบทุกที่จะมีการสอนโยคะด้วย แต่จริงๆแล้วเราสามารถฝึกได้เองเลยที่บ้าน แค่ค้นหาท่าเล่นโยคะง่ายๆใน YouTube แค่นี้เราก็เริ่มได้แล้ว
8. พิลาติส (Pilates)
พิลาติส เป็นการออกกำลังกายที่เหมาะกับผู้เริ่มต้น ที่ต้องการเริ่มออกกำลังกายอย่างจริงจัง
American Council on Exercise (ACE) พบว่า คนที่น้ำหนัก 64 กิโลกรัม จะสามารถเบิร์นแคลอรี่ได้ 108 แคลอรี่ ต่อการเล่นพิลาติส 30 นาที แต่ถ้าเริ่มเล่นท่า Advance ได้ ปริมาณแคลอรี่ก็จะเพิ่มขึ้นได้มากถึง 168 แคลอรี่ ในเวลาเท่ากัน
อย่างที่เห็นครับว่า การเล่นพิลาติสจะเบิร์นแคลอรี่น้อยกว่าการออกกำลังกายอื่นๆ มันจึงเหมาะกับผู้เริ่มต้นและเราก็ต้องมีเวลากับการออกกำลังกายแบบนี้ด้วย
งานวิจัยพบว่า คนที่เล่นพิลาติส 90 นาที 3 ครั้งต่อสัปดาห์ ต่อเนื่องกันเป็นเวลา 2 เดือน ก็สามารถลดไขมันรอบเอว ต้นแขน และต้นขาได้เหมือนกันกับการออกกำลังกายแบบอื่น
ท้ายสุด ถ้าใครมีอาการปวดเข่า ปวดหลัง ต้องการฟื้นฟูร่างกายหลังจากอาการบาดเจ็บหรือผ่าตัด การเล่นพิลาติสก็ถือว่าเหมาะมากครับ เพราะเราจะได้บริหารกล้ามเนื้อแกนกลาง เพิ่มความยืดหยุ่น ความทนทาน และช่วยเพิ่มความฟิตเรื่อยๆจนสามารถออกกำลังกายแบบอื่นได้
ถ้าเราเคลื่อนไหวร่างกายได้คล่องแคล่วและอยากจะฟิตในช่วงเวลาสั้นๆ ควรเพิ่มการออกกำลังกายแบบเวทเทรนนิ่ง และ Interval Training ไปพร้อมกับการเล่นพิลาติสด้วยครับ
คำแนะนำจากโค้ชเค (My Two Cents)
มีคำถามหนึ่งที่ถามกันเข้ามาตลอด คือ
“ถ้าออกกำลังกายแบบ…แล้วจะลดน้ำหนักได้เท่าไหร่ค่ะ”
“อยากลดน้ำหนักต้องออกกำลังกายแบบไหน และน่าจะลดได้กี่กิโล”
“ออกกำลังกายลดน้ำหนัก ใช้เวลานานแค่ไหนค่ะ?”
เอาเป็นว่าวันนี้ผมขอตอบแบบเคลียร์ๆไปพร้อมกันเลย เพราะปริมาณน้ำหนักที่ลดลงมันมีหลายปัจจัยมากครับ ซึ่งผมอยากให้ตั้งใจอ่าน เพราะมันสำคัญมากๆ
เริ่มต้นด้วยการถามตัวเองด้วยคำถามเหล่านี้ครับ
ตอนนี้เราน้ำหนักเท่าไหร่?
ประเด็น คือ คนที่มีน้ำหนักเยอะๆ จะลดน้ำหนักได้เร็วกว่าคนที่มีน้ำหนักน้อยกว่า นั่นคือ เพื่อนเราที่อ้วนๆ อาจจะลดน้ำหนักได้อาทิตย์ละ 2 กิโลกรัม แต่เราอาจจะลดได้แค่ 1 กิโลกรัม (ถ้าเราผอมกว่า) เป็นต้น
ถึงแม้ว่าตัวเลขบนตราชั่งจะต่างกัน แต่เปอร์เซ็นต์โดยรวมจะเท่ากันครับ ไม่ต้องตกใจหรือรู้สึกว่าธรรมชาติเอาเปรียบ
ตอนนี้เราอายุเท่าไหร่?
สิ่งที่อันตรายเมื่อเราอายุมากขึ้น คือ ตัวเลขที่มากขึ้นจะมาพร้อมกับไขมันที่มากขึ้น แต่มวลกล้ามเนื้อและมวลกระดูกจะน้อยลงเรื่อยๆ และอัตราการเผาผลาญ (RMR) ก็จะลดลงเรื่อยๆเช่นกัน
สิ่งที่เราได้ คือ ออกกำลังกายด้วยเวทเทรนนิ่ง เพื่อที่เราจะได้สร้างมวลกล้ามเนื้อไม่ให้น้อยลงไปเรื่อยๆ และเร่งอัตราการเผาผลาญด้วยการออกกำลังกายแบบ HIIT เป็นต้น
ผู้ชายกับผู้หญิง…เราต่างกันนะ
จำไว้เลยครับว่า ผู้หญิงจะมีอัตราส่วนไขมันต่อมวลกล้ามเนื้อมากกว่าผู้ชาย (มีไขมันมากกว่า) ซึ่งจะมีผลต่ออัตรา RMR
ดังนั้น ผู้ชายจะเผาผลาญพลังงานมากกว่า การลดไขมันและลดน้ำหนักผู้ชายจึงได้ง่ายและเร็วกว่า ถึงแม้ว่าจะกินอาหารในปริมาณเท่ากันก็ตาม
แต่อย่าเอาจุดนี้มาเป็นข้อแก้ตัวนะครับ ผู้หญิงถ้าตั้งใจออกกำลังกายจริงจัง ก็ไปถึงเป้าหมายได้เหมือนกัน เผลอๆผู้ชายอย่างผมอาจจะอายไปเลยก็ได้
เรากินอาหารน้อยกว่าที่ร่างกายเผาผลาญหรือเปล่า?
หลักการลดน้ำหนักเบื้องต้น คือ เราต้องรู้ก่อนว่าใน 1 วัน ร่างกายเราเผาผลาญพลังงานกี่แคลอรี่ (คลิกเพื่อคำนวณ) แล้วเราก็ต้องกินให้น้อยกว่านั้นประมาณ 300-500 แคลอรี่ต่อวัน
ถ้าไม่เริ่มทำ เราก็จะไม่มีวันลดน้ำหนักหรือลไขมันได้
เราพักผ่อนเพียงพอหรือเปล่า?
งานวิจัยหลายชิ้นยืนยันมาแล้วครับว่า ถ้าเราพักผ่อนไม่เพียงพอ ร่างกายเราก็จะลดไขมันได้น้อยลง แถมเรายังจะเครียดจนตะบะแตกและไปกินแต่อาหารขยะ
เรามีอาการป่วยหรือเปล่า?
ถ้าตัวเราหรือคนอื่นที่น้ำหนักเกิน ปัญหาอาจจะเกิดจากความผิดปกติของร่างกาย เช่น ฮอร์โมนไทรอยด์อาจจะต่ำเกินไป กำลังเป็นโรคซึมเศร้าหรือเครียดกับชีวิต ปัจจัยเหล่านี้มีผลโดยตรงต่อการลดน้ำหนักครับ
อย่างที่เห็นว่า ปัจจัยที่มีผลต่อปริมาณกิโลกรัมที่เราสามารถลดได้นั้นมีเยอะพอสมควร
แต่ผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่ก็เห็นตรงกันครับว่า อัตราการลดน้ำหนักที่ดีและปลอดภัย จะอยู่ที่ประมาณ 0.5-1.36 กิโลกรัมต่ออาทิตย์ หรือ ประมาณ 1% ของน้ำหนักตัว
เพราะการลดน้ำหนักแบบเร่งด่วนนั้นมีผลเสียต่อสุขภาพ เช่น เราจะสูญเสียมวลกล้ามเนื้อมากขึ้น เสี่ยงต่อการที่ร่างกายขาดน้ำ เหนื่อยง่าย นอนไม่หลับ หงุดหงิด ร่างกายขาดสารอาหาร ท้องผูก ผมร่วง เป็นโรคผิวหนังต่างๆ และประจำเดือนมาไม่ปรกติ เป็นต้น
ที่ร้ายแรงไปกว่านั้น คือ คนที่ลดน้ำหนักแบบเร่งด่วนหรือผิดวิธี กว่า 90% จะกลับมาอ้วนมากกว่าเดิม หรือที่เรียกว่า “Yoyo Effect”
อยากฝากไว้ด้วยครับว่า น้ำหนักในแต่ละวัน แต่ละอาทิตย์ และแต่ละเดือน อาจจะลดลงไม่เท่ากัน เพราะในช่วงแรกๆเราจะสามารถลดน้ำหนักได้เร็วมาก พอเวลาผ่านไปน้ำหนักอาจจะไม่ลดลงเท่าเดิม
ผู้หญิงที่เล่นเวทเทรนนิ่ง น้ำหนักอาจจะไม่ขยับลงแต่ขยับขึ้นด้วยซ้ำ นั่นเป็นเพราะว่ามวลกล้ามเนื้อมีน้ำหนักมากกว่าไขมัน การที่ผู้หญิงมีมวลกล้ามเนื้อมากขึ้น ไม่ได้แปลว่าจะตัวใหญ่ แต่หุ่นจะสมส่วนและดูลีนมากกว่า
อย่าลืมว่า การออกกำลังกายที่ดีที่สุด คือ การออกกำลังกายที่เราชอบที่สุดและทำได้บ่อยๆ ลองย้อนกลับไปดูว่าเราชอบแบบไหนและแบบไหนเหมาะกับเราที่สุด แล้วเริ่มลงมือทำได้เลย
ที่มา :: https://www.fitterminal.com/8-%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%81%E0%B8%B3%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A2-%E0%B8%A5%E0%B8%94%E0%B9%84%E0%B8%82%E0%B8%A1%E0%B8%B1%E0%B8%99/