Learn with Prin เรียนรู้ไปพร้อมกับน้องปริญญ์

จำหน่ายผลิตภัณฑ์ Legacy /Reborn Set ลด Fat ตัวช่วยลดไขมัน ลดน้ำหนัก แบบถูกวิธี 🔥 ติดต่อสอบถาม/สั่งซื้อ 📍 โทร ☎️ :: 084-110-5021 🌸 Line ID :: pla-prapasara 🌸 รับโปรโมชั่นสุดพิเศษเฉพาะทาง Line นะคะ 📍

วันอังคารที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

วิธีเร่งการเจ็บท้องคลอด

วิธีเร่งการเจ็บท้องคลอด


 
 
มีคำแนะนำมากมายเกี่ยวกับวิธีการต่างๆ ที่สามารถช่วยเร่งให้คุณแม่เจ็บท้องคลอดได้เร็วขึ้นนะคะ ไม่ว่าจะเป็นการมีเพศสัมพันธ์ การออกกำลังกายเบาๆ หรือ การดื่มชาใบราสเบอร์รี่ ทั้งหมดนี้สามารถกระตุ้นร่างกายคุณทั้งในแง่กายภาพและในแง่ฮอร์โมน เพื่อช่วยเร่งการเจ็บท้องคลอดให้เกิดขึ้น แต่คุณแม่ต้องจำไว้ว่า คุณสามารถลองเทคนิคเหล่านี้ได้ก็ต่อเมื่อลูกในครรภ์เกินกำหนดคลอดแล้วเท่านั้น
วิธีเร่งคลอดโดยธรรมชาติ (ต้องทำด้วยความ ระมัดระวัง ) คุณแม่อาจเคยได้ยินมาบ้างเกี่ยวกับวิธีการต่างๆ ที่จะช่วยให้คุณแม่เจ็บท้องคลอดเร็วขึ้น อย่างไรก็ตาม ก่อนจะลองเทคนิคเหล่านี้ คุณแม่ควรพิจารณาอย่างรอบคอบและปรึกษาคุณหมอเสียก่อน




 
พยายามเคลื่อนไหวร่างกาย

 
 
เดินเล่นช้าๆ
 
 

  • การเดินเล่นจะช่วยให้คุณแม่เจ็บท้องคลอดเร็วขึ้น เพราะการเคลื่อนไหวร่างกายของคุณแม่จะเป็นการทำให้ตำแหน่งของทารกเคลื่อนต่ำลงมาอยู่ในตำแหน่งการคลอดโดยมีศีรษะเป็นส่วนนำ คุณแม่ควรเดินช้าๆ อย่างผ่อนคลาย และควรมีใครเดินเล่นเป็นเพื่อนหรือเดินเล่นบริเวณรอบๆ บ้านเผื่อในกรณีฉุกเฉิน





ลูกบอลขนาดใหญ่สำหรับผ่อนคลาย


  • คุณแม่อาจหาซื้อลูกบอลขนาดใหญ่ที่ใช้สำหรับผ่อนคลายเวลาเจ็บท้องคลอดเอาไว้ ลูกบอลนี้มีราคาไม่แพงและมีประโยชน์มากทั้งในช่วงตั้งครรภ์และในเวลาเจ็บท้องคลอด เพราะสามารถรองรับร่างกายคุณแม่ได้อย่างอ่อนโยน
  • ขอให้คุณแม่นั่งบนลูกบอลนี้และโยกตัวไปมา การทำเช่นนี้จะช่วยเร่งให้ทารกในครรภ์ที่เกินกำหนดมีการเคลื่อนไหว และการแกว่งร่างกายช่วงล่างอย่างเป็นธรรมชาติ ก็จะช่วยกระตุ้นให้ทารกเคลื่อนมาสู่ตำแหน่งการคลอดด้วย


 
 
 
 
กระตุ้นการหลั่งฮอร์โมน
 
มีสัมพันธ์รักอย่างอ่อนโยน

 
 
  • การมีเพศสัมพันธ์กับคนรัก เป็นเทคนิคเก่าแก่ที่บอกต่อกันว่าสามารถช่วยให้คุณแม่ตั้งครรภ์ที่ใกล้คลอด เจ็บท้องคลอดเร็วขึ้นได้ แต่อย่าลืมว่าถ้าคุณมีน้ำเดินแล้ว ห้ามมีเพศสัมพันธ์เป็นอันขาด เพราะเป็นการเพิ่มโอกาสเสี่ยงของการติดเชื้อได้
  • สาเหตุที่การมีสัมพันธ์รักกันสามารถช่วยกระตุ้นการเจ็บท้องคลอดให้เร็วขึ้น ก็เพราะเป็นการกระตุ้นการบีบรัดตัวของมดลูก
  • สำหรับท่วงท่าที่เหมาะสมในช่วงที่คุณแม่ท้องแก่ คือท่าตะแคง โดยทั้งคุณและคู่รักนอนตะแคงข้าง และคู่ของคุณกอดประชิดทางด้านหลัง หากคู่ของคุณถึงจุดสุดยอดด้วยก็จะเป็นเรื่องดี เพราะในน้ำอสุจินั้นมีฮอร์โมนพรอสตาแกลนดิน ที่ช่วยให้ปากมดลูกอ่อนนุ่มลงและขยายกว้างขึ้น





นวดเต้านมเบาๆ

 
 
 
  • การนวดเต้านมอย่างแผ่วเบา โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณหัวนมจะกระตุ้นการหดรัดตัวของมดลูก และกระตุ้นการหลั่งฮอร์โมนออกซีโตซิน
  • คุณแม่ควรใช้ฝ่ามือนวดบริเวณลานนมอย่างอ่อนโยนสัก 15-20 นาทีทุกๆ ชั่วโมง วันละหลายๆ ครั้งเพื่อให้มีการหลั่งฮอร์โมนออกซีโตซินซึ่งมีผลต่อการเร่งการเจ็บท้องคลอดของครรภ์ที่เกินกำหนด
 
 
 
อาหารและเครื่องดื่มที่ช่วยเร่งการเจ็บท้องคลอด

 
 
 
รับประทานอาหารรสจัด
 
 

  • ตามข้อเท็จจริงแล้วไม่มีหลักฐานที่บ่งบอกว่าการรับประทานอาหารรสจัด สามารถช่วยให้เจ็บท้องคลอดเร็วขึ้นได้ ที่มาของความเชื่อนี้ก็คือบริเวณคอมดลูกและระบบย่อยอาหารของคนเรามีการเชื่อมต่อกันอย่างใกล้ชิดผ่านระบบประสาท ดังนั้น การกระตุ้นระบบใดระบบหนึ่งอาจทำให้อีกระบบได้รับผลกระทบไปด้วย




หากคุณแม่ชอบทานอาหารรสจัดอยู่แล้ว จะลองใช้วิธีนี้ก็ไม่เสียหายอะไร เพียงแต่ควรระวังผลข้างเคียง เช่น อาการแสบร้อนยอดอก อาหารไม่ย่อย หรือท้องเสีย



 
ลองดื่มชาใบราสเบอร์รี่
 
 

  • ถึงแม้จะมีคำเล่าลือว่าการดื่มชาใบราสเบอรี่มีส่วนช่วยกระตุ้นให้คุณแม่เจ็บท้องคลอดเร็วขึ้น และชาชนิดนี้มีความปลอดภัยจนคุณแม่สามารถจิบชาได้ตลอดระยะเวลาที่ตั้งครรภ์ แต่ก็ขอแนะนำให้คุณแม่รอจนกว่าจะถึงเวลาที่เหมาะสมจะดีกว่า
  • คุณแม่ไม่ควรจิบชาใบราสเบอร์รี่จนกว่าจะถึงสัปดาห์ที่ 34 ของการตั้งครรภ์ หากต้องการจะทดลองชานี้ คุณแม่อาจหาซื้อใบชามาชงดื่ม หรือใบราสเบอร์รี่ที่สกัดในรูปเม็ด ซึ่งมีจำหน่ายตามร้านขายยาและอาหารเพื่อสุขภาพ แต่ควรปรึกษาสูติแพทย์ก่อนทดลอง
  • หากคุณแม่ได้รับคำแนะนำให้ผ่าตัดคลอด หรือเคยคลอดลูกก่อนกำหนด หรือถ้าคุณแม่ยังหวาดกลัวการผ่าตัดคลอดครั้งที่ผ่านมา คุณแม่ควรปรึกษากับคุณหมอก่อนดื่มหรือรับประทานชาราสเบอร์รี่
  • แม้ว่าคุณแม่อาจรู้สึกอึดอัดเมื่อตั้งครรภ์เกินกำหนด แต่ก็อย่าลืมว่าลูกน้อยจะใกล้ออกมาดูโลกในไม่ช้านี้แล้ว ขอให้คุณแม่ทำใจให้สบายและออมแรงเอาไว้ให้มากที่สุดสำหรับวันสำคัญที่ใกล้จะมาถึง เรื่องนี้ ไม่ควร ใจร้อนเร่งธรรมชาติมากเกินไปนัก













จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อต้องเร่งคลอด
 
 
 
 
ตามธรรมชาติแล้ว คุณแม่จะเริ่มเจ็บครรภ์เมื่อมีอายุครรภ์ระหว่าง37- 41สัปดาห์ค่ะ ดังนั้นคุณแม่จึงควรที่จะทำความเข้าใจเกี่ยวกับ“การเร่งให้คลอด”ในกรณีที่อายุครรภ์เกินกำหนด เพราะหากได้รับรู้รายละเอียดเกี่ยวกับทางเลือกในการชักนำให้เจ็บครรภ์คลอดทั้งหมดแล้ว คุณแม่จะรู้สึกสบายใจมากขึ้นกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นเมื่อเวลานั้นมาถึง และไม่ต้องวิตกกังวลนะคะ เพราะขั้นตอนในการชักนำให้เจ็บครรภ์คลอดนั้นไม่ทำให้รู้สึกเจ็บแต่อย่างใด แต่จะทำให้การเจ็บท้องคลอดดำเนินไปอย่างรวดเร็ว


สาเหตุที่ต้องเร่งคลอด


สาเหตุที่ทำให้ต้องร่องคลอดหรือชักนำให้เจ็บครรภ์คลอดมีอยู่ด้วยกันหลายอย่าง เช่น
  • ถุงน้ำคร่ำแตกแล้ว แต่คุณแม่ยังไม่เริ่มมีอาการหดรัดตัวของมดลูก
  • อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนในครรภ์ ของคุณแม่ และจำเป็นจะต้องทำคลอดลูกน้อยโดยเร็ว
  • เกินกำหนดคลอดมานานแล้วแต่ยังไม่คลอด



 
ขั้นตอนในการชักนำให้เจ็บครรภ์คลอด

สูติแพทย์และพยาบาลผดุงครรภ์สามารถชักนำให้เจ็บครรภ์คลอดได้หลายวิธี แต่ไม่ว่าจะใช้วิธีใดก็ตาม อย่างมากที่สุด คุณแม่จะรู้สึกเจ็บ เพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่การฝึกหายใจก็จะช่วยให้คุณแม่ผ่านพ้นขั้นตอนนี้ไปได้ด้วยดี โปรดจำไว้ว่าเมื่อชักนำให้เจ็บครรภ์คลอดแล้ว กระบวนการต่างๆ จะดำเนินไปอย่างรวดเร็ว ดังนั้น จึงควรเตรียมตัวให้พร้อม ในทางตรงข้าม บางครั้งก็อาจใช้เวลาถึง 2-3 วัน จึงจะเริ่ม มีอาการเจ็บครรภ์คลอด ดังนั้น จึงไม่ต้องตกใจหากไม่มีอะไรเกิดขึ้นโดยทันที


รายการด้านล่างนี้เป็นรายละเอียดเกี่ยวกับวิธีการต่างๆ ที่ใช้สำหรับเร่งคลอด




 
การกวาดปากมดลูก (Membrane sweep)
 
– วิธีนี้คล้ายกับการตรวจภายในมาก สูติแพทย์จะใช้นิ้วกวาดปากมดลูกเพื่อค่อยๆ ขยายปากมดลูกและกระตุ้นให้เริ่มมีการเจ็บครรภ์ ถ้าทำสำเร็จ มักจะเริ่มมีการเจ็บครรภ์ภายใน 24-48 ชั่วโมง ( วิธีนี้อาจใช้ไม่ได้ผลเสมอไป จึงไม่ต้องกังวลถ้าไม่ประสบความสำเร็จ )

 
 
การเจาะถุงน้ำคร่ำ
 
– แพทย์จะใช้เครื่องมือที่มีลักษณะเรียวยาวคล้ายเข็มถักโครเชเจาะถุงน้ำคร่ำให้แตกเพื่อกระตุ้นการหดรัดตัวของมดลูก แต่วิธีนี้ก็ไม่สามารถรับประกันว่าจะได้ผลร้อย เปอร์เซ็นต์อีกเช่นกัน

 



การใช้ฮอร์โมนพรอสตาแกลนดิน (Prostaglandin)
– เป็นฮอร์โมนที่กระตุ้นให้เกิดการเจ็บครรภ์ โดยอาจจะใช้ในรูปของเจลหรือยาเหน็บช่องคลอดโดยสอดเข้าไปที่บริเวณคอมดลูก




ยาเร่งคลอด (Syntocinon)


– สามารถให้ผ่านสายน้ำเกลือ ถ้าคุณแม่รับยาผ่านสายน้ำเกลือ ขอให้ใช้สายน้ำเกลือที่ค่อนข้างยาวเพื่อที่จะได้ขยับตัวไปมาระหว่างที่มีการเจ็บครรภ์ ยาเร่งคลอดอาจกระตุ้นให้มีการหดรัดตัวของมดลูกค่อนข้างแรง ดังนั้น คุณแม่จึงอาจต้องใช้การฉีดยาเข้าช่องเหนือช่องน้ำไขสันหลัง เพื่อระงับความเจ็บปวดด้วย วิธีนี้ มักจะใช้ร่วมกับการเจาะถุงน้ำคร่ำ
 
 
ที่มา :: http://www.dumex.co.th/
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
10 วิธีช่วยกระตุ้นการคลอด
 
 
ทราบหรือไม่ ? ว่ามีคุณแม่เพียงไม่กี่รายเท่านั้นที่ คลอดตรงตามเวลาที่คุณหมอกำหนดไว้ ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้วจะคลอดช้าหรือเร็วกว่ากำหนดประมาณ 1-2 สัปดาห์ไม่มากไม่น้อยไปกว่านี้ไปกว่านี้ แต่ถ้าหากใกล้กำหนดวันคลอดแล้ว คุณแม่ยังไม่มีวี่แววของสัญญาณอาการเจ็บท้องคลอด คุณหมออาจแนะนำให้กระตุ้นการคลอด ด้วยวิธี 10 ต่อไปนี้ค่ะ



1. กระตุ้นหัวนม: จะทำให้ร่างกายของคุณแม่ปล่อยฮอร์โมนออกซิโทซินออกมา ซึ่งมีผลให้มดลูกบีบรัดตัว แต่วิธีนี้มีข้อเสียตรงที่การบีบรัดตัวของมดลูกจะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและรุนแรง ดังนั้นก่อนที่จะเริ่มทำ คุณควรปรึกษาคุณหมอก่อน ซึ่งคุณอาจได้รับคำแนะนำให้เริ่มด้วยการคลึงหัวนมเบาๆ เป็นเวลา 15 นาทีแล้วสลับข้างติดต่อกันนาน 1 ชั่วโมง ให้ทำวันละ 3 ครั้ง เท่านี้ คุณก็จะคลอดตรงตามเวลาที่คุณหมอได้กำหนดไว้ แต่ถ้าหากไม่มีเวลา อาจใช้เวลาช่วงอาบน้ำให้ฉีดน้ำฝักบัวไปที่หัวนม โดยจะต้องทำอย่างสม่ำเสมอทุกวัน การกระตุ้นจึงจะเป็นผล



2. มีเซ็กส์ระหว่างตั้งครรภ์: เมื่อเกิดความรู้สึกทางเพศ ร่างกายของคุณจะปล่อยฮอร์โมนออกซิโทซินออกมา ซึ่งจะมีผลให้มดลูกของคุณบีบรัดตัว นอกจากนี้ ภายในน้ำเชื้ออสุจิจะมีโปรสเตแกลนดิน ซึ่งเป็นสารเคมีที่ถูกใช้ในการกระตุ้นให้มดลูกบีบรัดตัวเช่นกัน หลังมีเพศสัมพันธ์ให้คุณนอนนิ่งๆ สักพักเพื่อให้น้ำเชื้ออสุจิผ่านเข้าไปทางช่องคลอดได้สะดวกขึ้น ผลการกระตุ้นการคลอดจะได้ประสิทธิภาพมากขึ้น



3. กินสัปปะรดสด: วิธีนี้ยังไม่มีผลงานวิจัยออกมาสนับสนุนเป็นที่แน่นอน แต่ผู้หญิงอเมริกันส่วนใหญ่ใช้วิธีนี้ในการกระตุ้นการคลอดเป็นผลสำเร็จหลายราย ซึ่งในสัปประรดเองก็ไม่มีสารที่ที่เป็นผมเสียต่อการตั้งครรภ์ วิธีนี้จึงเป็นอีกวิธีที่น่าลองเช่นกัน



4.เดินเร็ว: การเดินเร็วจะทำให้เกิดแรงกดที่บริเวณช่องคลอด ซึ่งเป็นอีกวิธีหนึ่งที่จะทำให้มดลูกเกิดการบีบรัดตัว



5. ดื่มชาสมุนไพร: การดื่มชาใบคาโมไมล์ ราสเบอรี่ หรือชาคูมิน จะช่วยให้ช่องคลอดนุ่ม และหนาตัวขึ้น ซึ่งเป็นลักษณะที่พร้อมสำหรับการเบ่งท้องคลอด และช่วยให้เกิดการบีบรัดตัวเช่นกัน
6. ดื่มน้ำมากๆ: หรือกินอะไรก็ได้ ที่จะเป็นผลให้ปวดปัสสาวะเข้าห้องน้ำบ่อยๆ เช่น ผลไม้ เพราะการถ่ายปัสสาวะบ่อยๆ จะทำให้เกิดแรงบีบที่มดลูก



7. กินอีฟเว่นนิ่ง พิมโรส ออยล์: วันละ 2 แคปซูลจะช่วยให้ปากช่องคลอดนุ่ม หนา และกระตุ้นให้เกิดการคลอดขึ้นได้



8. กระตุ้นผ่านทางช่องคลอด: วิธีนี้ต้องให้คุณหมอเป็นผู้ทำให้โดยเฉพาะ โดยส่วนใหญ่แล้วเมื่อคุณหมอเห็นว่ามีความจำเป็นที่จะต้องทำการกระตุ้นให้เกิดการคลอดขึ้น คุณหมอจะสวมถุงมือและสอดนิ้วเข้าทางช่องคลอดของคุณเพื่อกระตุ้นให้มดลูกบีบรัดตัว



9. นวดกดจุด: บริเวณข้อเท้าและมือจะมีจุดที่มีเส้นประสาทเชื่อมโยงไปยังมดลูก (เพื่อความปลอดภัยควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญร่วมด้วย) คุณจึงสามารถนวดกดที่บริเวณนี้ เพื่อกระตุ้นให้เกิดการหดรัดตัวที่มดลูกได้เช่นกัน



10. นวดแบบอโรมาเธอราปี: ใช้น้ำมันนวดผสมน้ำมันหอมละเหยเล็กน้อย แล้วใช้นวดเบาๆ ที่บริเวณแผ่นหลัง และท้อง เทคนิคนี้จะช่วยเพิ่มระดับฮอร์โมนออกซิโทซิน และทำให้กระแสการไหลเวียนของเลือดบริเวณมดลูกดีขึ้น
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 

วันจันทร์ที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ทารกในครรภ์ก็หาวเป็นนะ

ทารกในครรภ์ก็หาวเป็นนะ
ตั้งครรภ์

 
 
ทารกในครรภ์ก็หาวเป็น (momypedia)


 
 
 
สัญญาณบอกพัฒนาการที่ดีของลูกน้อย
 
ก่อนหน้านี้เราทราบถึงความน่าทึ่งของทารกในครรภ์กันมาบ้างแล้วค่ะว่าเขาสามารถทำอะไรได้บ้างในท้องคุณแม่ ทั้งยืดตัว กลืน หรือสะอึก ซึ่งเป็นการบอกถึงพัฒนาการที่ดีของเขาค่ะ แต่วันนี้ภาพอัลตราซาวด์ 4 มิติเผยให้เห็นอีกอย่างหนึ่งทารกน้อยในครรภ์สามารถทำได้ นั่นคือ การหาว

สำหรับเราแล้วการหาวเป็นเรื่องปกติค่ะ เห็นคนอื่นหาวก็หาวตามที่เรียกว่าเป็นกลไกทางจิตอย่างหนึ่ง หรือถ้าง่วงนอนก็จะหาวออกมาเอง แต่สำหรับทารกแล้วการหาวอาจจะไม่ใช่เพราะเขากำลังง่วงนะคะ Nadja Reissland แห่งภาควิชาจิตวิทยา มหาวิทยาลัย Durham ทำการศึกษาเรื่องนี้ระบุว่าแม้จะยังไม่มีการศึกษาและสรุปได้ชัดเจนว่าการหาวของทารกในครรภ์มีประโยชน์อะไร แต่เชื่อว่าการหาวของทารกในครรภ์จะเชื่อมโยงไปถึงเรื่องพัฒนาการ และใช้เป็นข้อบ่งชี้ถึงสุขภาพของทารกในครรภ์

ในขณะเดียวกันก็มีนักวิชาการหลายคนออกมาบอกว่าการหาวของทารกในครรภ์เป็นเพียงปฏิกิริยาทั่วไปเท่านั้น และเป็นการบ่งบอกถึงการพัฒนากล้ามเนื้อและการทำงานของช่องปาก และไม่น่าจะเชื่อมโยงไปถึงพัฒนาการหรือการทำนายสุขภาพในอนาคตได้เหมือนปฏิกิริยาอย่างอื่น
สำหรับคุณแม่แล้วไม่ว่าลูกในครรภ์จะแสดงท่าทางอย่างไร เชื่อว่าคงต้องแอบกังวลใจบ้าง ตื่นเต้นบ้าง ดีใจบ้างเป็นธรรมดาค่ะ แต่เชื่อว่าสิ่งที่เขากำลังทำในท้องของคุณแม่จะต้องเป็นการบอกถึงพัฒนาการที่ดีอย่างแน่นอนค่ะ
 
 
 
 
 
ที่มา            ::            
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 

วันเสาร์ที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

8 วิธี สร้างบรรยากาศ ให้ลูกฉลาด

8 วิธี สร้างบรรยากาศ ให้ลูกฉลาด
แม่และเด็ก

8 วิธี สร้างบรรยากาศ ให้ลูกฉลาด (Mother&Care)


ความฉลาดของลูก นอกจากพันธุกรรมและเรื่องอาหารการกินแล้ว อีกเรื่องที่สำคัญมากคือ การที่ลูกได้เรียนรู้ตามวัย มีการส่งเสริมที่เหมาะสมจากที่บ้าน ฉะนั้นการสร้างบรรยากาศภายในบ้าน เพื่อให้เป็นแหล่งการเรียนรู้ที่ดีของลูก จึงเป็นสิ่งจำเป็นมากที่พ่อแม่ไม่ควรมองข้ามค่ะ
 
 
1.ให้ความรัก ลอยไปทั่วบ้าน

การสร้างบ้านให้มีบรรยากาศน่าอยู่ ไม่ใช่ความใหญ่โต หรือความสวยงามของบ้าน แต่เป็นเรื่องที่คนในบ้านต้องสร้าง การยิ้มแย้มแจ่มใส พูดคุยกันด้วยความรักความเข้าใจในธรรมชาติของลูก ความเข้าใจซึ่งกันและกันของสมาชิก ความมีน้ำใจ และอภัยให้กัน สิ่งเหล่านี้เป็นพื้นฐานให้บรรยากาศภายในบ้านเอื้อต่อการเรียนรู้ ลูกจะอยู่ด้วยความรู้สึกอบอุ่น มั่นคงในจิตใจ อย่างที่ทราบกันแล้ว พ่อแม่เป็นต้นแบบที่สำคัญที่สุดของลูก ลูกใช้เวลาภายในบ้านกับพ่อแม่มากที่สุด ดังนั้นการเลียนแบบต่าง ๆ จึงเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องภาษา การเคลื่อนไหว พฤติกรรม ดังนั้น เมื่อพ่อแม่แสดงความรักกับลูกทุกครั้งที่มีโอกาส ลูกก็จะรู้จักแสดงความรักออกไป และพร้อมที่จะเปิดใจยอมรับในสิ่งใหม่ ๆ ด้วยเช่นกัน
 
 
2.สร้างประชาธิปไตย
การอยู่ร่วมกัน สิ่งที่ละเลยไม่ได้คือ การเคารพในสิทธิของกันและกัน การรับฟังความคิดเห็น ซึ่งก็คือ การมีประชาธิปไตยภายในบ้าน ซึ่งก็ไม่ได้หมายถึง ความอิสระเสรี ที่จะทำอย่างไรก็ได้ตามใจชอบ เพราะเด็กเล็ก ๆ ต้องเรียนรู้ผ่านระเบียบวินัย และกฎเกณฑ์ การมีประชาธิปไตยภายในบ้าน พ่อแม่ต้องเตรียมกิจกรรมต่าง ๆ ให้ลูกได้เล่นตามวัย ในแต่ละกิจกรรมต้องให้ลูกเข้ามามีส่วนร่วมในการตัดสินใจ ฝึกให้ลูกรู้จักคิด รู้จักสิทธิ และความสามารถของตัวเอง แต่ก็ต้องอยู่ในกฎเกณฑ์และข้อตกลงร่วมกัน
 
 
3.คำชมสร้างกำลังใจ

วิธีการหนึ่งที่ช่วยให้ลูกฉลาดได้คือ การสนับสนุนในด้านกำลังใจ ชมเชยลูกในช่วงที่เหมาะสม ควรชมแต่พอเหมาะ ให้ลูกรู้สึกว่าคำชมนั้นมีคุณค่า ชมเมื่อลูกทำสิ่งที่ถูกต้อง เมื่อลูกได้รับคำชม ก็จะเกิดกำลังใจในการทำสิ่งนั้น ๆ เช่น เมื่อลูกเล่นเสร็จ รู้จักเก็บของให้เป็นที่ก็ชมเชยว่าลูกทำให้บ้านสะอาด ของเล่นลูกก็ไม่เสียหาย ครั้งต่อไปเมื่อเล่นเสร็จ ลูกก็จะอยากเก็บของเล่นอีก

เมื่อมีคำชม ก็ต้องมีการว่ากล่าวตักเตือนในสิ่งที่ลูกทำผิดด้วยเช่นกัน แต่ต้องเป็นการตักเตือนด้วยเหตุผล ไม่ใช้อารมณ์ ถ้าลูกยังเล็ก การห้ามในสิ่งที่เป็นอันตราย ก็ต้องห้ามแบบเด็ดขาด จริงจัง เพื่อให้ลูกรู้ว่าสิ่งนี้ไม่ควรเล่น เช่น ปลั๊กไฟ เตาแก๊ส เป็นต้น แต่ถ้าลูกโตแล้ว พ่อแม่ต้องใช้เหตุผลในการอธิบายประกอบมากขึ้น การห้ามโดยไม่บอกเหตุผล จะเป็นแรงเสริมทำให้ลูกอยากรู้อยากลองมากขึ้นก็ได้ ทั้งคำชมเชย และคำว่ากล่าวตักเตือน เป็นเสมือนเกราะคุ้มภัย และแรงเสริมให้ลูกเรียนรู้ได้ดีต่อไป
 
 
4.คำว่า "ไม่รัก" ไม่มีอยู่ในบ้าน

คำขู่เด็ก ๆ ที่เราคุ้นเคยมีหลากหลาย เริ่มตั้งแต่ "ถ้าไม่นอน เดี๋ยวตุ๊กแกมากินตับ" "ดื้อเหรอ เดี๋ยวยักษ์มาจับตัวนะ" ตอนเด็ก ๆ คำขู่พวกนี้อาจจะได้ผล เด็กคนไหนที่ขวัญอ่อน ก็จะกลัว และอาจกลัวจนฝังใจ เด็กคนไหนที่กล้าหน่อยก็ไม่กลัว และกลายเป็นไม่เชื่อในสิ่งที่ผู้ใหญ่พูด

ส่วนคำขู่ยอดฮิตอีกคำ ที่ผู้ใหญ่มักเผลอหลุดปากออกมา คือ คำว่า "ทำแบบนี้ แม่/พ่อ ไม่รักนะ" หรือบางครั้ง อาจจะหยอกล้อ เช่น "ไม่รักลูกแล้ว ไปรักคนอื่นดีกว่า" (แล้วก็แกล้งกอดคนอื่นแทน) การพูดยั่ว ขู่ หรือลงโทษ โดยใช้คำว่า "ไม่รัก" เพราะคิดว่าเป็นการลงโทษให้ลูกรู้สึกกลัว และไม่กล้าทำอีก หรือจะเป็นการล้อเล่นสนุก ๆ ก็แล้วแต่ เท่ากับเป็นการตัดกำลังใจ และตัดโอกาสในการเรียนรู้ของเด็ก คุณลองคิดดูว่า ลูกที่อายุเพียงไม่กี่ขวบ ยังไม่เข้าใจความหมายซับซ้อน หรือเข้าใจอารมณ์ที่ลึกซึ้งได้ แต่จะเข้าใจในสิ่งที่ได้ฟัง ได้เห็นเฉพาะหน้า เมื่อเขารู้สึกว่าผู้ใหญ่ไม่รัก ก็อาจจะมีพฤติกรรมที่แปรปรวน ยิ่งถ้าผู้ใหญ่ในบ้านเจ้าอารมณ์ เด็กก็จะมีนิสัยเจ้าอารมณ์ตามมาเช่นกัน
 
 
5.คำห้าม มีให้น้อยที่สุด
ช่วงวัย 2-6 ปี เป็นช่วงหนึ่งที่พ่อแม่เหนื่อยหน่อยกับพละกำลัง ความอยากรู้อยากเห็นอันมหาศาลของลูก แล้วยังเป็นวัยที่ช่างจินตนาการอีกด้วย สิ่งไหนที่อยากรู้ เด็กก็มักจะอยากลองทำ อยากรู้ผลที่ตามคืออะไร ถ้าพ่อแม่ไม่เข้าใจจุดนี้ ก็อาจจะห้ามลูกในการทำสิ่งต่าง ๆ เพราะกลัวว่าอาจจะเกิดอันตรายกับลูกหรือแม้กระทั่งลูกอาจจะทำบ้านเลอะเทอะ

คุณทราบหรือไม่ว่า ทุกคนต้องเคยทำผิดพลาด ถ้าพ่อแม่รู้จักสอนความผิดพลาดนี้ให้เป็นประสบการณ์ของลูก ลูกจะได้เรียนรู้สิ่งต่าง ๆ อีกมากมาย เช่น ลูกเทน้ำหกเลอะเทอะ ถ้าคุณแม่เอาแต่ดุลูกอย่างเดียว ลูกก็ไม่เกิดการเรียนรู้ แต่กลับรู้สึกใจเสีย จนไม่อยากเทน้ำเองอีกก็เป็นได้ คุณแม่ต้องใช้ความผิดพลาดครั้งนี้สอนลูกว่า เทน้ำอย่างไรไม่ให้หกออกมา และเมื่อหกแล้วควรเช็ดอย่างไร จึงจะไม่เกิดอุบัติเหตุ ครั้งต่อไปลูกก็จะสามารถทำได้เองในที่สุด (ถ้าได้รับการฝึกฝนบ่อย ๆ )

มีนักวิชาการกล่าวว่า เด็กสามารถพัฒนาการเรียนรู้ของตนเองได้ โดยการมีประสบการณ์ใหม่ ๆ มีการเก็บข้อมูล จนมีความเข้าใจ เกิดความชำนาญ และเชื่อมโยงนำมาใช้ได้ ฉะนั้น การห้ามลูกทำนู่นทำนี่ทุกเรื่องก็เท่ากับเป็นการตัดโอกาสการเรียนรู้ที่ดีที่สุดของลูก นอกจากนี้แล้ว การให้เด็กได้ทำอะไรด้วยตัวเอง เป็นการส่งเสริมให้เขารู้จักพึ่งพาตัวเองให้มากที่สุด เด็กที่ช่วยเหลือตัวเองในเรื่องต่าง ๆ ได้เร็ว ก็จะมีความสนใจในเรื่องต่อไปมากขึ้นเช่นกัน คำพูดของพ่อแม่จึงมีผลต่อการพัฒนาสติปัญญาของลูกได้อย่างไม่น่าเชื่อ
 
 
6.เปิดโทรทัศน์ให้น้อย

อย่างที่เราทราบกันดีอยู่แล้วว่า รายการโทรทัศน์ หรือการดูโทรทัศน์ ก่อให้เกิดผลเสีย กับเด็กมากกว่าผลดี และส่งผลต่อการเรียนรู้โดยตรง รวมถึงพฤติกรรมต่าง ๆ ด้วย ดังนั้นถ้าอยากให้ลูกฉลาดต้องปิดทีวี เป็นเรื่องไม่ยากที่จะทำ เพียงแต่พ่อแม่และสมาชิกในบ้านต้องให้ความร่วมมือเท่านั้นเองค่ะ

ถ้าบ้านไหนดูโทรทัศน์เป็นเวลา เช่น ดูช่วงข่าว หรือสารคดี ไม่ได้เปิดแช่ไว้ทั้งวัน มีกิจกรรมอื่น ๆ ให้ลูกได้ทำ รับรองว่าลูกก็ไม่ร้องขอที่จะดูโทรทัศน์เช่นกันค่ะ แต่ถ้าบางรายการที่เหมาะกับลูก น่าสนใจก็ขอให้มีผู้ใหญ่นั่งดูกับลูกด้วย และคอยอธิบายให้ลูกฟัง จะได้ประโยชน์กว่าให้ลูกนั่งดูเองแบบเข้าใจบ้าง ไม่เข้าใจบ้าง
 
 
7.บ้านมีระเบียบ

การจัดบ้านให้มีระเบียบ เก็บของเป็นที่เป็นทาง และรักษาความสะอาดบ้านอยู่เสมอ ทำให้ลูกเคยชิน จนกลายเป็นนิสัยที่ติดตัว เวลาลูกจะทำอะไรก็กลายเป็นเด็กที่มีระเบียบไปในตัว เช่น มีที่เก็บของเล่นเป็นสัดส่วน รู้จักการแยกหมวดหมู่ (บางคนทั้งของเล่น เครื่องเขียน หนังสือ รวมอยู่ในลังเดียวกันหมด)

หลายท่านอาจเกิดคำถามว่า แล้วเกี่ยวข้องอะไรกับความฉลาด เพราะความมีระเบียบเป็นในสิ่งที่มองเห็นเป็นรูปธรรมแบบนี้ ก็จะเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยให้เด็กมีระเบียบในวิธีคิด วิธีการเรียนรู้ และทำให้การเรียนรู้เป็นไปอย่างราบรื่น เช่น เมื่อลูกต้องการระบายสี ก็สามารถเดินไปหยิบอุปกรณ์ที่ต้องใช้ได้ทันที เมื่อเล่นเสร็จแล้ว ก็สอนวิธีการเก็บรักษา ครั้งต่อไปอยากเล่น ก็เล่นได้เลย แต่ถ้าไม่มีการเก็บที่เป็นระเบียบ ก่อนเล่นก็ต้องหา หาเจอบ้างไม่เจอบ้าง อาจจะอารมณ์เสีย และก็เลยอดเล่น อดเรียนรู้กันไปนั่นเอง
 
 
8.สร้างโอกาสให้ลูกเสมอ

มีวิธีการมากมายที่พ่อแม่เป็นผู้ช่วยในการส่งเสริมความฉลาดให้ลูก โดยเฉพาะการสร้างโอกาสในเรื่องต่อไปนี้

เปิดโอกาสให้ลูกตั้งคำถาม และชวนกันหาคำตอบ พร้อมทั้งชวนให้ลูกคิด หรือตั้งคำถามกลับเพื่อให้ลูกคิดหาคำตอบให้หลากหลายรูปแบบ

ให้ลูกได้แสดงความคิดเห็น และความรู้สึกของตัวเองออกมาให้มากที่สุด จะทำให้พ่อแม่รู้จักลูกมากขึ้นอีกด้วย
ช่วยแนะนำส่งเสริมในเรื่องที่ลูกอยากรู้ เช่น ลูกสงสัยเรื่องดวงดาว ก็หาหนังสือ สารคดีเกี่ยวกับเรื่องนี้มาศึกษา เมื่อมีโอกาสก็พาลูกไป ท้องฟ้าจำลอง หรือพาไปเข้าค่ายดูดาว จะช่วยต่อยอดการเรียนรู้ได้มากมาย อย่าปล่อยโอกาสเมื่อเห็นว่าลูกกำลังสนใจเรื่องใด ต้องรีบส่งเสริมทันที เพราะช่วงความสนใจของเด็กไม่ได้ยาวนานมากนัก นี่อาจทำให้ลูกได้ค้นพบความชอบของตนเองได้

พยายามสร้างบรรยากาศให้รู้สึกว่า การเรียนรู้เรื่องใหม่ ๆ เป็นเรื่องน่าสนุก โดยเริ่มจากตัวพ่อแม่ ที่มีความกระตือรือร้นในเรื่องนั้น ลูกก็จะมีความสุขที่เรียนรู้พร้อมกับพ่อแม่

ไม่จำเป็นต้องบังคับให้ลูกเรียนรู้อะไรก่อนวัยอันควร หรือยัดเยียดในสิ่งที่ลูกไม่สนใจ เพราะนั่นเป็นการฝืนใจ ซึ่งไม่มีผลดีต่อการเรียนรู้ระยะยาว

เปิดโอกาสให้ลูกได้พบปะผู้คน หรือสิ่งใหม่ ๆ สถานที่ใหม่ ๆ ทุกครั้งที่มีโอกาส
 
 
 
 
 
 
 
ที่มา     ::             
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 

วันศุกร์ที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ผักแบบไหนถูกใจเบบี๋

ผักแบบไหนถูกใจเบบี๋
ผัก

 
 
ผักแบบไหนถูกใจเบบี๋ (Mother&Care)
  

          
เมื่อถึงช่วงที่ลูกน้อยกลอยใจจะได้หม่ำ ๆ อาหารเสริมนอกเหนือจากการดื่มนมเป็นมื้อหลักแล้ว เชื่อได้ว่าคุณพ่อคุณแม่หลายท่านคงกำลังคิดค้นเมนูต่าง ๆ เพื่อให้เจ้าหนูวัยเบบี๋ได้รับสารอาหารที่มีประโยชน์และหลากหลาย ดังนั้นหนึ่งในส่วนผสมที่จำเป็นและควรมีอยู่ในทุกเมนูของเด็ก ๆ ก็คือ "ผัก" ชนิดต่าง ๆ ซึ่งล้วนแต่อุดมไปด้วยวิตามิน แร่ธาตุที่สำคัญต่อร่างกาย รวมทั้งเส้นใยอาหารที่ช่วยในเรื่องการขับถ่ายได้ดีอีกด้วย

แม้ว่าผักแต่ละชนิดจะมีสารอาหารที่ดีและมีประโยชน์แตกต่างกันไป แต่คุณพ่อคุณแม่ก็ควรเลือกประเภทของผักให้เหมาะกับเด็ก ๆ ในช่วงวัยเบบี๋ด้วยเช่นกัน

 
 

ผักแบบไหนถูกใจหนูบ้างนะ...
        
 
1.หลากหลายสีสันหนูชอบ ๆ หากพูดถึงผักสีสันที่นึกถึงอันดับแรกก็คือ ผักใบเขียวประเภทต่าง ๆ ทั้งที่จริงแล้วผักที่สามารถนำมาปรุงแต่งเป็นอาหารแสนอร่อยให้เด็ก ๆ ได้ลองลิ้มชิมรสนั้นมีอยู่มากมายหลากสี และผักแต่ละสีต่างก็มีประโยชน์ที่แตกต่างกันออกไป ดังนี้

        
 
ผักสีเขียว เป็นแหล่งรวมของวิตามินมากมายหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็นคลอโรฟีลล์ ลูทีน เบต้าแคโรทีน ธาตุเหล็ก ฟอสฟอรัส และวิตามินชนิดต่าง ๆ ซึ่งล้วนแต่ช่วยบำรุงทั้งสายตาและร่างกายให้แข็งแรง ตัวอย่างผักสีเขียวที่แนะนำให้เด็ก ๆ ได้เริ่มหม่ำก็คือ ตำลึง ผักขม บร็อคโคลี่ ถั่วลันเตา อะโวคาโด กวางตุ้ง บวบ เป็นต้น

        
ผักสีเหลือง-สีส้ม อุดมไปด้วยสารเบต้าแคโรทีน ฟลาโวนอย และวิตามินแร่ธาตุต่าง ๆ เช่น วิตามินเอ ซี อี เค บี ฟอสฟอรัส โปรตีน แคลเซียม เป็นต้น ซึ่งสารต่าง ๆ เหล่านี้ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายให้แข็งแรง บำรุงสายตา บำรุงกระดูก ตัวอย่างผักสีเหลือง-สีส้ม ได้แก่ ฟักทอง แครอท ฯลฯ

        
ผักสีแดง สารอาหารที่สำคัญคือไลโคพีน เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยบำรุงผิวพรรณ นอกจากนี้ ผักสีแดงยังมากด้วยวิตามินและแร่ธาตุที่สำคัญต่าง ๆ อีกมาก ทั้งวิตามิน เอ ซี และบี เป็นต้น มีประโยชน์ต่อร่างกายทั้งในด้านบำรุงสายตา เซลล์สมอง และเซลล์ต่าง ๆ ในร่างกาย ผักที่มีสีแดง เช่น มะเขือเทศ บีทรูท เป็นต้น

        
 
ผักสีม่วง สาระสำคัญที่มีอยู่ในผักประเภทนี้คือ แอนโธไซยานิน ที่ช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์ และดวงตา นอกจากนี้ในผักสีม่วงยังมากไปด้วยสารอาหารสำคัญตัวอื่น ๆ เช่น โปรตีน คาร์โบไฮเดรต น้ำตาล วิตามินและแร่ธาตุต่าง ๆ ตัวอย่างผักสีม่วง เช่น มะเขือม่วง เผือก มันเทศ กะหล่ำปลีม่วง เป็นต้น

        
2.ขม ฉุน เผ็ดร้อน ควรเลี่ยงให้ไกล แทนที่จะเจริญอาหารจนกลัวกลายเป็นไม่อยากกินแน่ ๆ หากผักที่เลือกมาปรุงมีทั้งความขม (มะระ คะน้า ฯลฯ) ความฉุน (ต้นหอม ขึ้นฉ่าย กุยช่าย กระเทียม ฯลฯ) และรสชาติเผ็ดร้อน (ขิง พริกไทย ฯลฯ)

        
3.นิ่ม ๆ ของโปรด ผักที่เลือกให้เด็กกินต้องนิ่มพอที่จะบดให้เด็กในวัยเริ่มกินกลืนได้สะดวก และไม่แข็งจนเกินไปสำหรับเบบี๋ที่พอจะเคี้ยวได้บ้างแล้ว

        
4.ต้องสุกไว้ก่อน อย่าลืมว่าทุกครั้งที่เลือกผักมาให้ลูกหม่ำ ๆ ควรทำให้สุกซะก่อน แม้ว่าจะหั่นผักสดเป็นชิ้นเล็ก ๆ แต่หากไม่ได้ผ่านการทำให้สุกก็ถือว่า ยังแข็งเกินไปสำหรับเด็กวัยเบบี๋ ซึ่งอาจทำให้ติดคอได้ อีกทั้งการกินผักสดอาจทำให้มีอาการท้องอืด เนื่องจากระบบย่อยยังทำงานได้ไม่สมบูรณ์

มื้อต่อไป อย่าลืมเติมผักลงไปให้ลูกน้อยหม่ำด้วยนะคะ
 
 
 
 
 
 
 
ที่มา :: Vol.8 No.91 กรกฎาคม 2555
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 

สอนพี่เลี้ยงสระผม ให้ลูกเบบี๋

สอนพี่เลี้ยงสระผม ให้ลูกเบบี๋
 
วิธีสระผมเด็ก

 
 
สอนพี่เลี้ยงสระผม ให้ลูกเบบี๋ (Mother&Care)
 

        
หนึ่งเรื่องจำเป็นสำหรับคุณแม่เวิร์กกิ้งมัม ที่มีพี่เลี้ยงเป็นผู้ช่วยเรื่องลูก ก็คือ การสอนพี่เลี้ยงคนเก่งให้เรียนรู้ถึงขั้นตอนวิธีการทำความสะอาดผมลูกน้อยนั่นเองค่ะ
 
 
เตรียมตัวก่อนสระ

       
เพื่อสะดวกต่อการดูแลกิจวัตรของลูก ควรให้พี่เลี้ยงจัดเตรียมอุปกรณ์ให้พร้อมในการอาบน้ำของลูกก่อนค่ะ เช่น อ่างอาบน้ำ ฟองน้ำ ผ้าขนหนู ผ้า
 
 
รองกันลื่น เก้าอี้นั่งสระผม หรือน้ำยาสระผม เป็นต้น

       
เตรียมน้ำสำหรับสระผม และให้พี่เลี้ยงทดสอบอุณหภูมิของน้ำ (ไม่ให้ร้อนหรือเย็นเกินไป) โดยใช้ฝ่ามือจุ่มลงในอ่างน้ำก่อนที่จะสระผมให้ลูกน้อย
 
 
ขั้นตอนการสระผม

       
หลังจากถอดเสื้อผ้าออกแล้ว ให้พี่เลี้ยงห่อตัวด้วยผ้าเช็ดตัว เพื่อทำให้ลูกรู้สึกอบอุ่นและปลอดภัย ป้องกันการดิ้นไปมา ขณะที่พี่เลี้ยงสระผมของลูกน้อย

ให้พี่เลี้ยงประคองตัวลูกเอาไว้ในวงแขน อุ้มลูกให้แนบกระชับกับแขน ประคองศีรษะให้ต่ำกว่าลำตัว น้ำจะได้ไม่ไหลย้อนเข้าตาลูก

ใช้นิ้วกลางและนิ้วโป้ง ปิดใบหูทั้งสองข้างเพื่อป้องกันน้ำเข้าหู

เพื่อเป็นการส่งสัญญาณให้ลูกรู้ว่าถึงเวลาสระผม ให้พี่เลี้ยงค่อย ๆ วักน้ำลูบศีรษะเบา ๆ ก่อนลงมือสระผม

จากนั้นใช้มือวักน้ำหรือฟองน้ำชุบน้ำบิดชโลมให้เปียกทั่วศีรษะ พร้อมกับสระผมด้วยน้ำยาสระผมเพียงเล็กน้อย

ให้พี่เลี้ยงค่อย ๆ นวดศีรษะเบา ๆ โดยเริ่มจากทางด้านหน้า แล้วไล่มาด้านหลังให้ทั่วศีรษะ และกำชับพี่เลี้ยงว่าไม่ควรเกา เพราะอาจทำให้เกิดบาดแผลที่หนังศีรษะ

ขั้นตอนท้ายสุด ล้างออกด้วยน้ำสะอาด โดยใช้มือหรือฟองน้ำค่อย ๆ ล้างออกให้หมด เมื่อเสร็จแล้วใช้ผ้าขนหนูซับให้แห้งทันที

ช่วงนี้คุณแม่อาจกังวลกับเรื่องสภาวะอากาศ การสระผมช่วงหน้าหนาว แนะนำว่า ลูกน้อยสามารถสระผมได้ตามปกติค่ะ โดยใช้น้ำอุ่นสระผมสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง และควรเช็ดผมให้แห้งหลังการสระผมทันที
 
 
 
 
 
 
ที่มา ::
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 

4 กลยุทธ์ เลือกซื้อของใช้ลูก ยุคของแพง

4 กลยุทธ์ เลือกซื้อของใช้ลูก ยุคของแพง
ของใช้เด็ก

 
 
4 กลยุทธ์ เลือกซื้อของใช้ลูก ยุคของแพง (Mother&Care)
 

          
เราจะเรียกช่วงนี้ว่ายุคข้าวยาก หมากแพง ก็คงไม่ผิด เพราะไม่ว่าจะเป็นอาหารการกิน ข้าวของเครื่องใช้มีแต่แข่งกันขึ้นราคา ซึ่งอาจจะสวนทางกับรายรับในครอบครัว ฉะนั้น การจับจ่ายใช้เงินในแต่ละเรื่อง ต้องจัดระเบียบกันพอตัว ตัดรายจ่ายที่ไม่จําเป็นออก แล้วยิ่งเป็นครอบครัวที่มีลูกด้วยแล้ว ต้องรู้จักการใช้ การออม เพื่ออนาคตลูก กลยุทธ์ต่อไปนี้ เป็นตัวช่วยให้คุณรับมือกับเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ ในส่วนที่เป็นค่าใช้จ่ายของเจ้าหนูตัวน้อยกันค่ะ


 
 
 
กลยุทธ์ที่ 1 วางแผนการซื้อ
 
จดรายการสิ่งของที่จําเป็นต้องซื้อ ว่ามีอะไรบ้าง จะช่วยให้คุณบริหารเรื่องการเงินและเวลาได้ดี ไม่ต้องเสียเงินและเวลาไปกับการเลือกซื้อของอื่น ๆ ที่อาจไม่จําเป็น อยู่นอกรายการ เพราะคุณมีจุดหมายที่ชัดเจนสําหรับการซื้อนั่นเอง
สูตรประหยัด ใช้เงินให้เป็นอยู่ที่การเช็กของใช้ต่าง ๆ ของลูกให้ดีก่อน ว่ายังมีใช้หรือยังไม่ได้ใช้บ้างหรือเปล่า เพื่อไม่ให้ซ้ำซ้อนหรือซื้อมาแล้วไม่ได้ใช้สักที กลายเป็นของหมดอายุ เสียเงินเปล่าค่ะ

 
 

กลยุทธ์ที่ 2 ดูก่อนซื้อ


สํารวจราคาสินค้าก่อนซื้อไว้บ้างก็ดีค่ะ เพราะสินค้าชนิดเดียวกัน แต่ราคาขายในห้างสรรพสินค้าแต่ละแห่งก็ต่างกัน จํานวนเงินส่วนต่างนี่แหละ ถึงจะเล็กน้อย แต่ถ้าซื้อของในจํานวนมากชิ้น ลดหลายรายการตามที่ต้องการ คุณก็ได้ส่วนลดมากขึ้น แต่ก็ต้องอย่าลืมนึกถึงค่าเดินทางที่ต้องไปซื้อ เพราะได้ของถูก แต่ค่ารถแพง รวมกันแล้วอาจจะไม่คุ้มค่าเหนื่อย
 
 

กลยุทธ์ที่ 3 วิธีการซื้อ
 
 
 
ซื้อแบบโหล

 
ของที่จําเป็นต้องใช้เยอะ ใช้บ่อย ก็จําเป็นต้องซื้อแบบโหลจะได้ถูกกว่ามาก เช่น ผ้าอ้อม นม ถุงมือ ถุงเท้า ผ้ากันเปื้อน แต่ถ้าสิ่งไหนไม่จําเป็น และคิดว่านํามาเก็บไว้ก่อน ก็ต้องคิดว่าคุณแม่จะได้ใช้สิ่งนั้นไหม ถ้าซื้อมาเยอะ ๆ แล้วเก็บไว้ เผื่อได้ใช้ ก็อาจจะไม่ใช่ทางเลือกที่ดีในการซื้อเป็นโหล
 
 
 
ซื้อแบบปลีก

 
ของที่ไม่ต้องซื้อเก็บ หรือมีวันหมดอายุเร็ว เช่น เสื้อผ้าของลูก ที่ใช้ได้ไม่กี่ครั้ง เพราะเด็กเล็กโตเร็วมาก แต่ก็สามารถเผื่อขนาดได้ และเน้นที่คุณภาพของเนื้อผ้า เพื่อลูกน้อยใส่ได้นาน

 
 

กลยุทธ์ที่ 4 ช่องทางการซื้อ
 
 

 
 
 
สินค้าตลาดนัด
 
เดี๋ยวนี้ร้านค้า ตลาดนัดสําหรับคุณแม่มีมากขึ้น หากคุณสะดวก พอมีเวลาอยู่บ้าง ก็มีข้อดีที่ว่า สามารถหยิบจับ ดูสินค้าได้เลย แต่อย่ารีบใจอ่อนกับคําหวานของแม่ค้า จนลืมต่อรอง ขอส่วนลดเรื่องราคากับคนขาย เพื่อเซฟเงินของคุณ


 
 
 
TIPS
 
การรู้แหล่งร้านค้าหรือตลาดนัด ที่มีสินค้าราคาถูก จะช่วยให้ได้ของราคาถูกง่ายขึ้นค่ะ เช่น ตลาดนัดวังหลัง สินค้าเรื่องนมจะถูกเป็นพิเศษ ตลาดนัดซอยละลายทรัพย์ จะเด่นเรื่องเสื้อผ้าเด็ก

หากอยู่ไกลจากแหล่งของถูก ก็ไม่ต้องกังวลหรอกค่ะ เพราะคาดว่า แต่ละที่ก็น่าจะมีแหล่งร้านค้า ราคาถูกใจคุณแม่อยู่บ้าง

นอกจากรู้แหล่งสินค้าราคาถูกแล้ว ก่อนที่คิดจะซื้อ ควรเปรียบเทียบเรื่องราคาต่อชิ้น และค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ประกอบ เช่น ค่ารถในการเดินทางไป เป็นต้น
 
 
 
สินค้าออนไลน์
 
คุณแม่หลายคน หันมาใช้บริการซื้อสินค้าทางอินเทอร์เน็ตกันพอควร เพราะไม่ต้องเสียเวลาเดินทาง (คลิกเลือกได้) สินค้าก็มีหลากหลาย และยังแลกเปลี่ยนข้อมูลเรื่องลูกกันได้ (ตลอด 24 ชั่วโมง) แต่มีความเสี่ยง ในเรื่องความน่าเชื่อถือ การถูกหลอกขายของ จึงต้องระมัดระวัง ตัดสินใจให้ดีก่อนค่ะ

 
 
สินค้าจากเพื่อนหรือคนรู้จัก
 
น่าจะเป็นช่องการหาสินค้าที่คุณมั่นใจในคุณภาพและมิตรภาพค่ะ เพราะของบางอย่างของลูก ก็ใช้เพียงแค่ช่วงระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น เช่น อ่างน้ำ รองเท้า ฯลฯ การซื้อของต่อจากเพื่อน คนรู้จัก ที่คุณภาพยังดี ราคาถูก อาจไม่ต้องมองหาของมือหนึ่งก็ได้
 
 
 
 
 
 
ที่มา    ::