https://youtu.be/1Nh6jQ-y8PU
ครั้งนั้นสรวงสวรรค์นั้นมีเหล่านางฟ้าที่งดงามอยู่เกินกว่าจะคณานับได้ แต่นางฟ้าที่ได้ชื่อว่างามที่สุดมีนามว่าอุรวศีรองลงมาคือนางเมนะกา วันหนึ่งนางเมนะกานำพวงมาลัยไปถวายให้แก่มหาฤาษีทุรวาส (दुर्वास – DURVASA) ซึ่งเป็นอวตารภาคหนึ่งของพระศิวะ ในขณะที่พระอินทร์ผู้เป็นจอมราชันแห่งสรวงสวรรค์ได้เสด็จออกประพาสมาพักผ่อนบนโลกมนุษย์หลังจากจัดการสะสางภารกิจเสร็จ (ก่อนหน้านี้พระอินทร์ได้ทำสงครามกับเหล่าอสูรและแทตย์ โดยได้ทำการสังหารวฤตาสูรซึ่งเป็นอสูรวรรณะพราหมณ์ แล้วเกิดมีบาปติดตัวจนหาทางกลับสวรรค์ไม่เจอมาเป็นเวลานาน ในที่สุดก็ได้รับพระเมตตาจากพระศิวะจนสามารถกลับมาปกครองสวรรค์ได้ดังเดิม) ช่วงเวลาเดียวกันนั้นเองฝ่ายมหาฤๅษีทุรวาส ก็ได้ออกท่องเที่ยวอยู่ในบริเวณนั้นด้วย โดยเมื่อมหาฤๅษีทุรวาสได้รับถวายพวงมาลัยมาจากนางเมนะกาแล้วนำพวงมาลัยมาสวมที่คอแล้ว มหาฤๅษีทุรวาสก็เกิดอาการประหลาด เปลี่ยนจากฤๅษีที่มีโทสะร้ายอยู่ตลอดเวลา กลายเป็นฤๅษีที่อารมณ์ดี ร่าเริง กระโดดเต้นแร้งเต้นกาไปทั่ว แล้วฤๅษีทุรวาสมาเจอกับพระอินทร์ที่กำลังทรงช้างเอราวัณอยู่ ก็เกิดมีสติกลับคืนมา แล้วคิดว่าพวงมาลัยนี้ไม่เหมาะกับตนซึ่งอยู่ในเพศพราหมณ์ จึงได้นำพวงมาลัยนั้นถวายให้แด่พระอินทร์ซึ่งเป็นเทพเจ้าวรรณะกษัตริย์
ฝ่ายพระอินทร์เมื่อมหาฤๅษีทุรวาสถวายพวงมาลัยให้ครั้นจะไม่รับก็กระไรอยู่ ด้วยเป็นที่ทราบกันดีทั้งสามโลกว่ามหาฤๅษีตนนี้เป็นมหาฤๅษีที่ดุร้าย ถ้าผู้ใดทำอะไรให้ไม่เป็นที่พึงพอใจ เขาผู้นั้นก็มักจะถูกฤๅษีตนนี้สาปเอาได้ง่าย ๆ จึงทรงยอมรับการถวายพวงมาลัยไว้ แล้วนำไปวางไว้บนตะพองช้าง พลันช้างทรงนั้นก็เกิดอาการประหลาดคลุ้มคลั่งขึ้น เอางวงยกขึ้นจับพวงมาลัยนั้นทิ้งลงพื้นแล้วกระทืบจนพวงมาลัยนั้นแหลกเละไปตอหน้าต่อตา ฤๅษีทุรวาสเห็นเช่นนั้นก็เกิดเดือดดาลโทสะขึ้น หาว่าพระอินทร์นั้นทรงดูหมิ่นไม่ให้เกียรติตน จึงถึงกับเอ่ยปากสาปพระอินทร์ว่า ให้พระอินทร์และเหล่าเทวดาผู้เป็นบริวารนั้นเสื่อมฤทธิ์ลง แม้ต้องรณรงค์กับอสูรครั้งใดก็ขอให้พ่ายแพ้ตลอด เมื่อข่าวเรื่องพระอินทร์ถูกมหาฤๅษีทุรวาสสาปล่วงรู้ไปถึงฝ่ายพวกแทตย์และอสูร พวกเหล่านี้ก็ไม่รอช้ารีบรวบรวมทัพบุกขึ้นโจมตียึดสวรรค์มาครอบครองในทันที โดยมีอสุรินทร์ราหูเป็นแม่ทัพหัวหอกสำคัญ รบกันได้ไม่นานด้วยพวกเทวดาต่างต้องคำสาปจึงพ่ายแพ้แก่เหล่าอสูรโดยง่าย บ้างก็ต้องเผ่นหนีแปลงร่างเป็นสัตว์ไปหลบซ่อน บ้างก็ถูกจับเป็นเชลยมาใช้งาน บ้างก็ถูกสังหาร
พระอินทร์และเหล่าเทวดาที่หนีรอดมาได้จึงรีบตรงไปยังไวกูณฐ์โลกเพื่อขอความช่วยเหลือจากพระนารายณ์ ด้วยเมตตาพระนารายณ์จึงออกอุบายว่าจะช่วยล้างคำสาปของมหาฤๅษีทุรวาสให้ โดยจะทำพิธีกวนน้ำอมฤตเพื่อเพิ่มพลังของเหล่าเทวดาให้กลับคืนมา อีกทั้งยังจะทำให้เหล่าเทวดานั้นเมื่อดื่มกินน้ำอมฤตแล้วจะมีความเป็นอมตะอีกด้วย แต่ต้องให้เหล่าเทวดานั้นแสร้งทำเป็นอ่อนน้อมถ่อมตนยอมรับว่าต้อยต่ำกว่าพวกเหล่าอสูรก่อน แล้วให้ชักชวนพวกอสูรให้มาร่วมกวนน้ำอมฤตกันเพื่อความเป็นอมตะของทั้ง 2 ฝ่าย โดยให้พักเรื่องสงครามกันไว้ชั่วคราวก่อน ให้หันมาปรองดองชั่วขณะแล้วช่วยกันรีบออกจัดหาสมุนไพรโอสถมาเพื่อใช้ในการทำน้ำอมฤตกันโดยเร็ว เหล่าพวกอสูรก็หลงกลด้วยอยากมีความเป็นอมตะเช่นกัน และมองว่าตนนั้นก็เป็นต่อเหล่าเทวดาอยู่ แม้กวนน้ำอมฤตเสร็จพวกตนนั้นก็จะต้องได้ดื่มกินน้ำอมฤตในจำนวนมากก่อน เศษที่เหลือเพียงน้อยนิดค่อยแบ่งให้เหล่าเทวดาได้ดื่มกินทีหลัง เมื่อมองเห็นดังนั้นจึงยินยอมตกลงที่จะร่วมกวนน้ำอมฤตกับเหล่าเทวดา แล้วต่างฝ่ายต่างออกระดมเก็บสมุนไพรโอสถที่จะนำมาใช้กวนน้ำอมฤตกันในทันที ครั้นได้ฤกษ์กวนน้ำอมฤต ณ กลางเกษียรสมุทร มหาเทพทั้ง 3 อันได้แก่ พระพรหม พระนารายณ์และพระศิวะ ได้มาปรากฏองค์เป็นประธานในพิธี ฝ่ายเหล่าเทวดาและอสูรต่างก็ทยอยขนเอาสมุนไพรโอสถที่จัดหามาทั้งหมดเทลงในเกษียรสมุทรในทันที อันเกษียรสมุทรนี้ตั้งอยู่ในทิศตะวันออกของจักรวาล มีน้ำสีขาว คือเกษียรแปลว่าน้ำนม ไหลเต็มอยู่ตลอดปี
จากนั้นพระนารายณ์จึงมีเทวบัญชาให้เหล่า เทวดาและอสูรไปถอนเอาภูเขา “มันทระ” (मन्दरा - MANDARA) ซึ่งมีความสูงพ้นพื้นดิน 11,000 โยชน์ และหยั่งฐานรากอยู่ใต้ดินอีก 11,000 โยชน์ มาปักกลางเกษียรสมุทรเพื่อใช้เป็นไม้กวน แล้วทรงมีเทวบัญชาให้ “พญานาควาสุกรี” (ผู้เป็นพี่ของพญาเศษะ (พญาอนันตนาคราชหรือพญานาคพันเศียรที่เป็นแท่นบรรทมของพระนารายณ์เวลาประทับอยู่เหนือเกษียรสมุทรหรือนารายณ์บรรทมสินธุ์) มาพันวนรอบภูเขานี้เพื่อใช้เป็นดั่งเชือกปั่นให้แกนภูเขาหมุนกวนตัวยาสมุนไพรและน้ำในเกษียรสมุทรให้เข้ากัน แล้วออกอุบายว่า ให้เทวดาฉุดด้านหางและอสูรฉุดด้านหัว เพราะด้านหัวพญานาคต้องใช้กำลังมากจึงต้องอาศัยผู้มีฤทธิ์เดช เวลานั้นพวกอสูรก็ทะนงตัวว่ามีอานุภาพเกรงไกรฝ่ายเทวดาเองก็ทำตามอุบายของพระนารายณ์ที่โอนอ่อนตามพวกอสูรจึงหลงกลพากันไปฉุดทางหัวซึ่งลำบากกว่าเพราะการกวนใช้เวลานานมากพญานาคต้องเหนื่อยและล้าเพราะถูกฉุดอยู่ตลอดเวลาเมื่อทนไม่ไว้ก็จะคายพิษออกมาที่หนึ่งไปถูกอสูรตายไปเป็นจำนวนมาก บ้างก็ปวดแสบปวดร้อน จึงเป็นเหตุให้เหล่าอสูรมีหน้าตาผิวพรรณตะปุ่มตะป่ำนับแต่นั้นเป็นต้นมา
เวลานั้นเองเขามันทระที่เป็นไม้กวนถูกใช้กดลงไปแรงเกินไปซึ่งอาจทำให้พื้นทะลุลงไปยังโลกมนุษย์พระนารายณ์จึงแบ่งภาคอวตารมาเป็นเต่า ใช้กระดองของตนรองรับแรงกระแทกของเขามัทระมิให้พื้นทะลุและทำให้โลกแตกได้ ปางนี้มีชื่อว่า กูรมาวตาร (कूर्म अवतार - KURMA AVATAR)
ในระหว่างการกวนน้ำอมฤตมีอสูรปลาตนหนึ่งคิดร้ายหวังจะทำลายโลกจึงมาคอยตอดทำลายเขาให้พังลงมา พระนารายณ์ในร่างเต่าจึงเข้าสังหารอสูรปลามิให้มาขวางการกวนน้ำอมฤต ในระหว่างการกวนน้ำอมฤตซึ่งใช้เวลานานมากได้เกิดของวิเศษ 14 อย่างผุดขึ้นมาคือ
1. พิษ “หะลาหละ” (हलाहल Halahal) ลอยออกมาเป็นลำดับแรก อันหะลาหละนั้นเป็นพิษร้ายแรง หากตกลงยังมนุษยโลกก็จะบังเกิดเป็นเพลิงกรดเผาโลกให้เป็นจุลไปได้ พระศิวะมหาเทพทรงทราบด้วยทิพยญาณว่าพิษร้ายนี้ไม่มีใครจะกำจัดลงได้เว้นแต่พระองค์เอง เมื่อดำริดังนั้นแล้วจึงทรงดื่มพิษหาลาหละนั้น ฝ่ายพระแม่ปรวาตีเห็นพระสวามีกลืนพิษร้ายจึงได้กดพระศอพระศิวะไว้เพื่อไม่ได้พิษไหลลงสู่พระอุทรได้ ด้วยความร้ายกาจแห่งพิษนั้นยังผลให้พระศอพระศิวะเป็นสีดำพระองค์จึงมีอีกพระนามหนึ่งว่า นิลกัณฐ์ (Neelakanta) หรือผู้มีคอสีนิลนับแต่นั้นเป็นต้นมา และสีดำได้กลายเป็นสีของความรักอันบริสุทธิ์ของชาวฮินดู
2. พระจันทร์ (चन्द्र Chandra) ซึ่งพระศิวะได้ฉวยเอามาทำเป็นปิ่นประดับพระเกศา โดยทั้งฝ่ายเทวดาและอสูรต่างพร้อมใจกันถวายให้พระองค์ เพื่อตอบแทนที่พระองค์นั้นทรงเสียสละดื่มกินพิษของพญาวาสุกรีให้จนหมด
3. เพชรเกาสุภตะ (कौस्तुभ Kaustubh) ซึ่งเป็นเพชรล้ำค่าที่สุดในสามโลก ต่อมาพระนารายณ์นำไปประดับพระอุระ
4. ดอกบัวที่ภายในมีพระศรีลักษมี (लक्ष्मी Lakshmi) ประทับอยู่ เมื่อเสด็จออกมาจากดอกบัวก็ตรงไปเข้าเฝ้าถวายตัวเป็นพระมเหสีของพระนารายณ์ในทันที
5. วารุณี (Varuni) เทพีแห่งสุรา ต่อมาได้เป็นชายาของพระพิรุณ
6. ช้างไอราวัต (Airavata) หรือช้างเอราวัณซึ่งเป็นช้างเผือกสามเศียรอันเป็นเทพพาหนะของพระอินทร์
7. ม้าอุจฉัยศรพ (उच्चैःश्रवस् Uchchaihshravas) ม้าเจ็ดเศียร พระอาทิตย์รับไปเป็นม้าทรงราชรถ และเป็นต้นเหตุของการพนันระหว่างนางวินตาและนางกัทรุในตำนานการเกิดของครุฑ
8. ต้นปาริชาติ (Parijat) เป็นต้นไม้ทิพย์สามารถอำนวยความสำเร็จให้แก่ผู้ขอพรได้
9. กามเธนุ (कामधेनु Kamadhenu) แปลว่าแม่โคอันพึงปรารถนา รู้จักกันในอีกนามหนึ่งว่า “โคสุรภี” (सुरभि Surabhī) ซึ่งต่อมาให้กำเนิดวัวอุศุภราชหรือนันทิเกศวร (नन्दी Nandi) อันเป็นเทพพาหนะทรงของพระอิศวร โดยมีเทวดานามเวตาลเป็นพ่อ (บางตำนานว่ากัศยปมุนีปรารถนาจะนำโคกามเธนุไปเป็นพาหนะแต่ติดว่าเป็นโคเพศ เมียจึงเนรมิตตนเป็นพ่อโคเข้าผสมด้วยโคกามเธนุจนเกิดลูกโคสีขาวบริสุทธิ์ ตั้งชื่อให้ว่า อุศุภราช มีลักษณะงดงามตามตำราจึงได้นำไปถวายพระอิศวรเพื่อเป็นเทพพาหนะ บางตำรากล่าวว่านนทิเกศวรแท้จริงแล้วคือเทพบุตรนามว่า นนทิ เป็นผู้เฝ้าสัตว์ในเขาไกรลาสและหัวหน้าแห่งปวงศิวะสาวก เมื่อพระศิวะปรารถนาจะไปยังที่ใด นนทิก็จะแปลงกายให้เป็นโคเผือกเพื่อเป็นเทพพาหนะ) อันแม่วัวกามเธนุนั้นเป็นโควิเศษสามารถเนรมิตสิ่งต่าง ๆ ตามที่เจ้าของปรารถนาได้
10. หริธนู
11. สังข์ (शंख Shankha)
12. ปวงเทพีอัปสรสวรรค์ เหล่านางอัปสร (अप्सरा Apsara) หลายล้านตน แต่ไม่มีใครยอมรับเอาไปครอบครอง จึงตกเป็นสมบัติส่วนกลาง มีหน้าที่คอยบำรุงบำเรอความสุขให้แก่เหล่าเทวดาและอสูรในเวลาต่อมา
13. ธันวันตรี (धन्वन्तरि Dhanvantari) แพทย์สวรรค์อวตารปางหนึ่งของพระนารายณ์ ทูนเอาของชิ้นที่ 14 ขึ้นมาคือ
14. หม้อน้ำทิพย์อมฤต (अमृत Amrita)
พอหม้อมน้ำอมฤตทูนออกมา พวกอสูรและเทวดาก็แย่งกันแต่เทวดาสู้ไม่ได้ พระนารายณ์จึงแปลงกายเป็นนางอัปสรชื่อ “โมหิณี” (मोहिनी Mohini) ไปล่อลวงอสูรให้หลงใหลในความงามของนาง พระอินทร์ได้โอกาสก็แอบขโมยน้ำอมฤตกลับมาแบ่งในหมู่เทวดา มีเพียงอสูรตนหนึ่งซึ่งมีปัญญาเฉลียวฉลาดกว่าอสูรตนอื่นนามว่า “ราหู” (राहुः Rahu) ที่ไม่หลงกล ได้แปลงกายเป็นเทวดามาดื่มด้วย แต่พระอาทิตย์กับพระจันทร์รู้เข้าจึงไปฟ้องพระนารายณ์ พระนารายณ์จึงขว้างจักรสุทรรศน์ไปตัดอสูรราหูขาดออกเป็นสองท่อน ท่อนบนคืออสูรราหูที่รับรู้ในปัจจุบัน ส่วนท่อนล่างเป็นงูต่อมาเรียกกันว่า “พระเกตุ” (केतु Ketu) แม้จะถูกจักรพระวิษณุตัดแต่ราหูไม่ตายเพราะได้ดื่มน้ำอมฤตแล้ว ทั้งราหูก็โกรธแค้นพระอาทิตย์และพระจันทร์มาก กาลต่อมาราหูจึงเป็นศัตรูกับพระอาทิตย์และพระจันทร์เมื่อพบเจอที่ใดจะจับกินทุกครั้ง แต่ก็จะกลืนพระอาทิตย์และพระจันทร์ไว้ได้เพียงชั่วขณะหนึ่งพระอาทิตย์พระจันทร์ก็จะหลุดออกมา เพราะตัวของราหูมีเพียงท่อนบน เป็นที่มาของปรากฏการณ์สุริยุปราคาและจันทรุปราคานั่นเอง
ฝ่ายอสูรกว่าจะรู้ตัวว่าโดนหลอก เหล่าเทวดาก็ดื่มน้ำอมฤตกันหมดแล้วจะยกพลขับไล่พวกอสูรออกไป พระนารายณ์ได้ประทานหม้อน้ำอมฤตให้พระอินทร์เก็บรักษา เป็นของห้วงห้ามของสวรรค์ ฝ่ายพวกนาค พวกงูที่หวังจะมีส่วนรวมบ้างก็พลอดอดไปด้วยแต่ก็มาเลียนกินหญ้าคา ซึ่งรองรับหม้อน้ำซึ่งพอมีน้ำหลงเหลืออยู่บ้าง หญ้าคาบาดลิ้นทำให้ลิ้นแตกเป็นสองแฉกนับแต่นั้นมา
เหล่าอสูรเมื่อได้พบบทเรียนเช่นนี้แล้วจึงปวารณาตนไม่ดื่มเครื่องดองของเมา อีกจึงเป็นที่มาของคำว่า “อสูร” (อ+สุระ) หมายถึง ผู้ไม่ดื่มสุรา ต่างกับเหล่าเทวะที่ยังดื่มสุราดังเช่นคำเรียกที่อยู่ของเทวดาที่ว่า “ฟากฟ้าสุราลัย” (สุระคือเหล้า สนธิกับคำว่าอาลัยแปลว่า ที่อยู่) หมายถึงที่อยู่ของผู้ดื่มสุราคือสวรรค์นั้นเอง
Behind the Scene of The Churning of the Milk Ocean at Suvarnabhumi Air Port, Thailand