16 ประโยชน์ของมัทฉะ
มัทฉะคืออะไร?
มัทฉะ (Matcha) เป็นชาเขียวผงชนิดพิเศษที่ปลูกและผลิตในประเทศญี่ปุ่น เป็นส่วนสำคัญของพิธีชงชาแบบดั้งเดิมของญี่ปุ่นที่มีมานานหลายศตวรรษ และได้รับความนิยมอย่างมากทั่วโลกจากรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์และด้านประโยชน์ต่อสุขภาพ คำว่า "มัทฉะ" นั้นแปลว่า "ชาผง"
ประโยชน์ของมัทฉะ
โดยปกติแล้วผง "มัทฉะ" ธรรมดามีแคลอรีที่ต่ำมากและสามารถเป็นส่วนหนึ่งของการไดเอทและสุขภาพที่ดีได้ การดื่มมัทฉะทุกวันนั้นมีประโยชน์มากมาย ทั้งในด้านของสุขภาพกาย และสุขภาพจิต
1.อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidants)
"มัทฉะ"เต็มไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ โดยเฉพาะ "คาเทชิน (catechins)" ซึ่งเป็นสารประกอบตามธรรมชาติที่ช่วยป้องกันความเสียหายของเซลล์และให้ประโยชน์ต่อสุขภาพอื่นๆ สารต้านอนุมูลอิสระที่มีความเข้มข้นสูงในมัทฉะช่วยให้ร่างกายป้องกันความเสียหายจากอนุมูลอิสระที่เป็นอันตราย ลดความเสี่ยงต่อโรคเรื้อรัง เช่น โรคหัวใจและมะเร็งได้
2.ช่วยให้จิตใจความสงบ ผ่อนคลาย
"มัทฉะ"มีกรดอะมิโน แอล-ธีอะนีน (amino acid L-Theanine) ซึ่งจะช่วยเพิ่มคลื่นอัลฟ่าในสมองทำให้รู้สึกผ่อนคลายโดยไม่รู้สึกง่วงนอน สิ่งนี้สามารถช่วยลดความเครียดและความวิตกกังวลได้ แอล-ธีอะนีน ยังช่วยเพิ่มสมาธิและความจำ ทำให้มัทฉะเป็นเครื่องดื่มที่มีประโยชน์ในการเริ่มต้นวันใหม่ที่สดใส
3.บำรุงหัวใจ
การบริโภค"มัทฉะ"เป็นประจำสามารถช่วยบำรุงหัวใจได้เนื่องจากมีผลในการลดคอเลสเตอรอล สารต้านอนุมูลอิสระใน"มัทฉะ"สามารถช่วยป้องกันการเกิดออกซิเดชันของคอเลสเตอรอล LDL (คอเลสเตอรอลที่ "ไม่ดี") ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงของโรคหัวใจได้
4.ให้พลังงานที่เสถียร
"มัทฉะ"ให้พลังงานที่เสถียรอ่อนโยน เนื่องจากการผสมผสานที่เป็นเอกลักษณ์ของคาเฟอีนจากธรรมชาติและ แอล-ธีอะนีน ทำให้รู้สึกกระฉับกระเฉงแบบอ่อนโยน ซึ่งแตกต่างจากกาแฟซึ่งสามารถทำให้หัวใจเต้นเร็วเกินได้ คาเฟอีนในมัทฉะจะถูกปล่อยออกมาอย่างช้าๆ ทำให้ระดับพลังงานคงที่
5.ช่วยในการควบคุมน้ำหนัก
การศึกษาชี้ให้เห็นว่าคาเทชินใน"มัทฉะ"สามารถเพิ่มอัตราการเผาผลาญไขมันได้ ซึ่งสามารถช่วยให้บรรลุเป้าหมายการลดน้ำหนักได้ง่ายและเร็วขึ้น มัทฉะสามารถเป็นตัวช่วยเสริมที่ดีสำหรับการไดเอทและการใช้ชีวิตในประจำวัน
6.ล้างสารพิษในร่างกาย
คลอโรฟิลล์ที่มีอยู่ใน "มัทฉะ"(ซึ่งทำให้มีสีเขียวสดใส) การดื่มชานี้เป็นประจำสามารถช่วยล้างพิษในร่างกายตามธรรมชาติ ขจัดสารพิษที่เป็นอันตรายออกจากระบบร่างกาย และช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของตับอีกด้วย
7.ช่วยเพิ่มระบบภูมิคุ้มกัน
การรวมกันของสารต้านอนุมูลอิสระ แอล-ธีอะนีน, EGCG (Epigallocatechin Gallate) และวิตามินต่างๆ ที่มีอยู่ใน"มัทฉะ"ทำงานร่วมกันเพื่อเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน ช่วยให้ห่างไกลจากโรคภัยไข้เจ็บและฟื้นตัวได้เร็วขึ้น
8. ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน
มัทฉะมีสารโพลีฟีนอล แอล-ธีอะนีน และคาเทชิน ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ มีส่วนช่วยป้องกันการเกิดโรคมะเร็ง ลดริ้วรอย ป้องกันผมร่วง และเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกาย
9. ช่วยบำรุงร่างกาย ปรับสมดุลการทำงานของระบบต่าง ๆ
มัทฉะอุดมไปด้วยวิตามินบี ซี และอี ซึ่งมีส่วนช่วยในการปรับสมดุลการทำงานของร่างกาย บำรุงสายตา เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ลดอาการภูมิแพ้ทางเดินหายใจ เสริมสร้างกระดูกและฟันให้แข็งแรง มีส่วนช่วยในการขยายหลอดลม เป็นต้น
10. ช่วยให้ร่างกายตื่นตัว
มัทฉะมีคาเฟอีนซึ่งจะช่วยให้ร่างกายตื่นตัว ช่วยให้สมองทำงานได้ดีขึ้น ลดอาการปวดภายในร่างกาย ในขณะเดียวกันก็มีแอล-ธีอะนีน ซึ่งช่วยให้ร่างกายรู้สึกผ่อนคลาย ควบคุมความเครียด บรรเทาอาการอ่อนเพลียที่อาจเกิดจากคาเฟอีนได้อีกด้วย
11. ช่วยให้ผ่อนคลาย บำรุงหัวใจและหลอดเลือด
มัทฉะจะมีสารธีโอฟิลลีน และธีโอโบรมีน ซึ่งมีฤทธิ์ในการขับปัสสาวะ ช่วยในการขยายหลอดลม เพิ่มอัตราการเต้นของหัวใจ ลดภาวะหลอดเลือดแดงแข็งและอาการปวดเค้นหัวใจ นอกจากนี้ยังช่วยให้ตื่นตัว ลดความตึงเครียด และรู้สึกผ่อนคลายอีกด้วย
12. ช่วยบำรุงผิวให้สุขภาพดี ดูอ่อนกว่าวัย
มัทฉะมีคลอโรฟิลล์ และสารต้านอนุมูลอิสระอีกหลายชนิดที่มีส่วนช่วยในให้ผิวมีสุขภาพดี ขับสารพิษ ทำให้รูขุมขนดูเล็กลง ลดเลือนริ้วรอย และช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นแก่ผิว
13. ช่วยลดกลิ่นปาก
มัทฉะมีฟลูออไรด์ซึ่งจะช่วยในการยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย และกำจัดจุลินทรีย์ที่เป็นสาเหตุของโรคต่าง ๆ ภายในช่องปากได้ เช่น การป้องกันฟันผุ รวมทั้งช่วยบำรุงสุขภาพเหงือกและฟัน และป้องกันการเกิดคราบจุลินทรีย์ (คราบพลัค) ซึ่งเป็นสาเหตุของกลิ่นปากได้อีกด้วย
ตับเป็นอวัยวะสำคัญต่อสุขภาพ ทำหน้าที่ขับล้างสารพิษ เผาผลาญยา และประมวลผลสารอาหาร งานวิจัยบางชิ้นพบว่ามัทฉะอาจช่วยส่งเสริมสุขภาพตับ
- บทวิจารณ์งานวิจัย 15 ชิ้นในปี 2015 ระบุว่า การดื่มชาเขียวเกี่ยวข้องกับความเสี่ยงต่อโรคตับที่ลดลง
อย่างไรก็ตาม ในปี 2020 ผู้เชี่ยวชาญบางท่านตั้งข้อสังเกตว่า แม้มัทฉะอาจช่วยลดเอนไซม์ตับในผู้ป่วยโรคไขมันพอกตับไม่ติดเชื้อ (NAFLD) แต่ในผู้ที่ไม่มีโรค NAFLD อาจจะกลับเพิ่มเอนไซม์ตับได้ จำเป็นต้องมีการวิจัยเพิ่มเติมเพื่อศึกษาผลกระทบของมัทฉะต่อประชากรทั่วไป เนื่องจากงานวิจัยส่วนใหญ่ยังจำกัดอยู่แค่การทดลองผลกระทบของสารสกัดชาเขียวในสัตว์
15. เสริมสร้างสมอง
สารประกอบหลายชนิดในมัทฉะอาจช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของสมอง การศึกษาหนึ่งกับผู้เข้าร่วม 23 คน วัดผลการทำงานสมองผ่านชุดทักษะต่างๆ ผลปรากฏว่า กลุ่มที่ทานมัทฉะมีสมาธิ เวลาตอบสนอง และความจำที่ดีกว่ากลุ่มควบคุม อีกการศึกษาขนาดเล็กชี้ว่า การทานผงชาเขียว 2 กรัมทุกวันเป็นเวลา 2 เดือน ส่งผลดีต่อการทำงานสมองของผู้สูงอายุ
มัทฉะมีคาเฟอีนมากกว่าชาเขียว โดยทั่วไป ชาเขียวจะมีคาเฟอีนประมาณ 11–25 มิลลิกรัมต่อกรัม (mg/g) ขึ้นอยู่กับชนิด ยี่ห้อ และการผลิต ส่วนมัทฉะจะมี 19–44 mg/g นอกจากนี้ มัทฉะยังมีสารประกอบที่เรียกว่า L-theanine ซึ่งช่วยปรับเปลี่ยนผลกระทบของคาเฟอีน ทำให้รู้สึกตื่นตัว แต่ป้องกันอาการตื่นเต้นเกินไปและพลังงานตกเฉียบพลันหลังจากได้รับคาเฟอีน
16. มัทฉะกับมะเร็ง อาจช่วยป้องกันได้
แม้ยังต้องการการวิจัยเพิ่มเติม แต่อาหารยอดนิยมอย่างมัทฉะก็อาจมีส่วนช่วยป้องกันมะเร็งได้ สรรพคุณนี้เกี่ยวข้องกับสารประกอบบางชนิดในมัทฉะ โดยเฉพาะ เอพิคาเทชิน-3-กัลเลท (EGCG) คาเทชินชนิดหนึ่งที่มีคุณสมบัติต้านมะเร็งอย่างเห็นผล การดื่มมัทฉะก็ยังส่งผลดีต่อสุขภาพในด้านอื่นๆ มากมาย เช่น สารต้านอนุมูลอิสระ การทำงานของสมอง และสุขภาพหัวใจ ดังนั้น จึงถือเป็นเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพที่น่าสนใจ และสามารถเพลิดเพลินได้อย่างปลอดภัย
มัทฉะคืออะไร?
มัทฉะ (Matcha) เป็นชาเขียวผงชนิดพิเศษที่ปลูกและผลิตในประเทศญี่ปุ่น เป็นส่วนสำคัญของพิธีชงชาแบบดั้งเดิมของญี่ปุ่นที่มีมานานหลายศตวรรษ และได้รับความนิยมอย่างมากทั่วโลกจากรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์และด้านประโยชน์ต่อสุขภาพ คำว่า "มัทฉะ" นั้นแปลว่า "ชาผง"
"抹" อ่านว่า "มะ" และแปลว่า "ถู" หรือ "บด"
"茶" อ่านว่า "ชา" แปลว่า "ชา"
ดังนั้น เมื่อรวมกันแล้ว "抹茶" หมายถึง "ชาบด"หรือ"ชาผง" ซึ่งก็คือมัทฉะนั่นเอง - ผงบดละเอียดของใบชาเขียวที่ปลูกเป็นพิเศษและแปรรูป
ต้นกำเนิด
ต้นกำเนิดของมัทฉะต้องย้อนกลับไปที่ประเทศจีนในช่วงราชวงศ์ถัง (ค.ศ. 618-907) ชาวจีนในยุคนั้นจะนำใบชามานึ่งแล้วปั้นเป็นก้อนอิฐเพื่อความสะดวกในการขนส่งและค้าขาย จากนั้นนำก้อนชาเหล่านี้มาบดเป็นผงแล้วผสมกับน้ำร้อน การบริโภคชารูปแบบนี้ได้แพร่ไปยังประเทศญี่ปุ่นโดยพระสงฆ์ชื่อ Eisai ในช่วงปลายศตวรรษที่ 12 ซึ่งชาชนิดนี้ถูกใช้ในพิธีกรรมทางศาสนาในอารามทางพุทธศาสนา
อย่างไรก็ตาม ในญี่ปุ่นนั้นการเพาะปลูกและการบริโภคชาผงนั้นเฟื่องฟูอย่างแท้จริง ในที่สุดก็พัฒนาเป็นรูปแบบพิเศษที่เรียกว่ามัทฉะ ชาวญี่ปุ่นเริ่มปลูกต้นชาในที่ร่มเพื่อเพิ่มปริมาณคลอโรฟิลล์ในใบ ซึ่งทำให้ผงชาที่ได้มีสีเขียวสดใสและมีรสชาติเฉพาะตัว วิธีการปลูกนี้ยังช่วยเพิ่มระดับของสารอาหารบางชนิดในชา รวมทั้งแอล-ธีอะนีนและคาเฟอีน
ในศตวรรษที่ 16 ปรมาจารย์ด้านชาชื่อ Sen no Rikyu ได้กำหนดวิธีการทำและเสิร์ฟมัทฉะตามแบบพิธีการ ซึ่งสืบทอดกันมาจากรุ่นสู่รุ่นและยังคงปฏิบัติตามมาจนถึงทุกวันนี้ นอกจากนี้เขายังมีบทบาทสำคัญในการทำให้มัทฉะเป็นที่นิยมในหมู่ชนชั้นซามูไรของญี่ปุ่นอีกดวย
เมื่อเวลาผ่านไป มัทฉะกลายเป็นส่วนสำคัญของวัฒนธรรมและประเพณีของญี่ปุ่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งผ่านพิธีชงชาที่เรียกว่า "ชาโนยุ (Chanoyu)" หรือวิถีแห่งชา พิธีนี้เป็นสัญลักษณ์ของความสามัคคี ความเคารพ ความบริสุทธิ์ และความเงียบสงบ
แม้ว่ามัทฉะจะเลิกได้รับความนิยมในจีนและนิยมนำไปชงเป็นชาใบหลวมแทน แต่ก็ยังคงเป็นส่วนสำคัญของวัฒนธรรมญี่ปุ่นและเริ่มได้รับความนิยมอย่างมากทั่วโลกในศตวรรษที่ 21 ปัจจุบันมัทฉะได้รับความนิยมไม่เพียงแค่รสชาติที่เป็นเอกลักษณ์และประโยชน์ต่อสุขภาพเท่านั้น แต่ยังมีความสำคัญทางวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์อย่างลึกซึ้งอีกด้วย
กระบวนการผลิต
การผลิตมัทฉะเป็นกระบวนการที่ต้องใช้ความละเอียดอ่อน สองสามสัปดาห์ก่อนการเก็บเกี่ยว ต้นชาที่ใช้สำหรับมัทฉะจะได้รับร่มเงาเพื่อป้องกันแสงแดดโดยตรง กระบวนการนี้จะเพิ่มปริมาณคลอโรฟิลล์ ทำให้ใบมีสีเขียวสดใส และเพิ่มปริมาณกรดอะมิโน โดยเฉพาะ แอล-ธีอะนีน ซึ่งเชื่อว่ามีผลทำให้สงบ ผ่อนคลาย
หลังจากเก็บใบแล้ว ก็นำไปนึ่ง จากนั้นผึ่งลมให้แห้ง ใบชาแห้งที่เรียกว่า “เทนฉะ” จะถูกบดเป็นผงละเอียดโดยใช้เครื่องโม่หิน ผงละเอียดนี้เป็นผงมัทฉะที่ใช้ในพิธีชงชาและปรุงอาหาร
รสชาติ
มัทฉะโดดเด่นในรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว อุดมไปด้วยผักและรสหวานเล็กน้อย หรืออาจจะมีรสขมได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเป็นมัทฉะคุณภาพต่ำหรือชงด้วยน้ำที่ร้อนเกินไป
ขั้นตอนการชงมัทฉะที่ดีที่สุด
การชงมัทฉะเป็นวิธีการที่สงบ ใจเย็น ใช้เวลาและได้เพลิดเพลินไปกับมัน ผลลัพธ์ที่ได้คือเครื่องดื่มสีเขียวที่สวยงาม มีชีวิตชีวา และดีต่อสุขภาพ
- อุ่นชาม
ขั้นแรก เทน้ำร้อนลงในชามมัทฉะเพื่อให้ชามอุ่น หลังจากนั้นสักครู่ ให้เทน้ำทิ้งและใช้ผ้าเช็ดชามให้แห้ง - ตวงผงมัทฉะ
ใช้ chashaku (ช้อนไม้ไผ่) ตวงผงมัทฉะ 1-2 สกู้ป (เทียบเท่า 1-2 ช้อนชา) แล้วใส่ลงในชามที่อุ่นไว้ หากต้องการรสชาติที่เข้มข้นขึ้น ก็สามารถเติมมัทฉะเพิ่มได้ - เติมน้ำ
เทน้ำร้อนประมาณ 2 ออนซ์ (60 มิลลิลิตร) ลงในชาม น้ำควรร้อนแต่ต้องไม่เดือด อุณหภูมิที่เหมาะสมคือประมาณ 80°C (175°F) น้ำเดือดอาจทำให้มัทฉะไหม้และทำให้มีรสขมได้ - ตีมัทฉะ
ใช้ Chasen (ตะกร้อไม้ไผ่) ผสมผงมัทฉะกับน้ำเข้าด้วยกัน ปัดในลักษณะซิกแซกหรือตัวอักษร "W" จนกว่าผงทั้งหมดจะละลายและชาเกิดฟอง ควรใช้เวลาประมาณ 15-30 วินาที - พร้อมดื่ม
ตอนนี้ชามัทฉะก็พร้อมดื่มแล้ว! ให้ดื่มด่ำรสชาติและกลิ่นหอมในขณะที่ยังอุ่นและเป็นฟองอยู่
มัทฉะ , Matcha , ชาเขียว , Green Tea , ประโยชน์ของมัทฉะ , ประโยชน์ของ Matcha , Benefits of Matcha Tea , Benefits of Matcha , Health Benefits of Matcha , Matcha Tea , Matcha Benefits , Matcha Tea Benefits
ที่มา :: https://board.postjung.com/1545767 , https://www.bluekoff.com/ , https://www.sanook.com/women/246637/ , https://chillchilljapan.com/dictionary/matcha/