Q. ลูกอายุ 1 ขวบ เริ่มใช้มือซ้ายให้เห็นบ่อยขึ้น เขาใช้มือขวาได้ค่ะ แต่เราจะคอยบอกและพยายามให้เขาใช้มือขวา ป้ากับน้าเคยถามว่าเราจะฝืนลูกไปเพื่ออะไร คนเราใช้เป็นทั้งสองมือไม่ดีหรือ เราก็เห็นว่าดี แต่ก็ยังรู้สึกแปลกๆ ค่ะ คุณหมอมีความคิดเห็นอย่างไรคะ
ลูกอายุ 1 ขวบ เรารอดูไปก่อนได้ครับ อายุเท่านี้เรายังไม่ทราบว่าเขาจะถนัดข้างไหนแน่ สุดท้ายเขาถนัดข้างไหนก็ควรปล่อยไปตามนั้น มิได้มีข้อพิสูจน์ว่าอะไรดีอะไรเสีย
ถ้าไม่ชอบใจอยากจะดัดเขาให้เป็นข้างขวาเหมือนคนส่วนใหญ่ ก็ควรดัดด้วยความละมุนละม่อม อย่าให้เขารู้สึกได้ว่าเรื่องนี้เป็นปัญหา อันที่จริงลองถามและตอบตัวเองดูดีๆว่าจะดัดให้เขาใช้ข้างขวาไปทำไม ผมเชื่อว่าคุณจะพบว่าไม่มีคำตอบที่เข้าท่าเลย
ผมเกิดมาถนัดซ้าย แต่ถูกดัดให้เป็นขวาจนสำเร็จ ออกจะเสียดายว่าถนัดซ้ายเท่ดี ลูกชายของผมถนัดซ้าย และผมไม่เคยวอแวกับเขาเรื่องนี้เลย
นอกจากถนัดซ้ายแล้วผมยังพูดไม่ชัด ไม่สามารถออกเสียง ส และ ซ ได้ สองเสียงนี้พูดเป็น ต ทั้งหมดจนถึงชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 นั่นคือประมาณสิบขวบ สมัยนั้นบริษัทน้ำมันเอสโซ่มีสโลแกนโฆษณาติดปากคนทั้งเมืองว่า “ตับเตื๋อใต่ตั๋งพลังตู๋ง”จนกระทั่งคืนวันหนึ่งเสียง ส และ ซ ก็หลุดออกจากปากเอง
นอกจากเรื่องนี้ คุณแม่เล่าว่าผมใช้เวลาหลายเดือนในช่วงอนุบาลวิ่งเล่นอยู่คนเดียวในสนามโรงเรียนก่อนที่จะยอมเข้าห้องเรียน มือถือไม้แล้วตะโกนว่า “อัศวินม้าขาวมาแล้ว” ซ้ำๆ อยู่เช่นนั้นทุกๆ วัน โชคดีที่โลกมนุษย์ยังไม่รู้จักคำว่า “สมาธิสั้น” ในเวลานั้น มิเช่นนั้นคงถูกจับส่งโรงพยาบาลแล้วได้รับการตีตราสมาธิสั้นพร้อมยารักษามากินเป็นแน่
พ้นจากเรื่องนี้ ผมจำความได้ว่าตนเองถูกตำหนิและดุด่าจากครูบางท่านผู้ใหญ่บางคนเป็นภาษาจีนซึ่งแปลไทยได้ว่า “เอ๋อ” “ซื่อบื้อ” เสมอๆ เหตุเพราะทำอะไรช้าไปเสียทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นการบ้านหรืองานบ้าน เช่นเดียวกันว่า โชคดีที่โลกมนุษย์ยังไม่มีคำว่า “แอลดี” (LD:Learning Disability) มิเช่นนั้นก็คงถูกตีตราเช่นกัน
ขออนุญาตเล่าเรื่องส่วนตัวประกอบกับงานค้นคว้าเกี่ยวกับสมองสมัยใหม่ เราพบว่าสมองของเด็กแต่ละคนมีการพัฒนาของแต่ละหย่อมเร็วช้าไม่เท่ากัน เด็กบางคนทำนั่นได้ก่อน ทำนี่ได้ทีหลัง เด็กบางคนทำนี่ได้ก่อนทำนั่นได้ทีหลัง หากเราใจเย็นพอปล่อยเด็กพัฒนาตนเองและค่อยๆเรียนรู้ โดยทั่วไปเด็กเกือบทั้งหมดจะพัฒนานั่นนี่ได้สำเร็จจนได้ นั่นคืออะไรนี่คืออะไร คุณพ่อคุณแม่เติมกันเองเถอะครับ
ปัญหาของบ้านเรา ทั้งที่บ้านและที่โรงเรียนคือกำหนดขั้นมาตรฐานที่เด็กคนหนึ่งต้องทำอะไรได้ก่อนอายุเท่าไรอย่างตายตัว เมื่อทำไม่ได้ถือว่าตกมาตรฐานแล้วนำส่งโรงพยาบาล การแพทย์สมัยใหม่ก็มีเกณฑ์วินิจฉัยสำหรับความล่าช้าทุกชนิดรออยู่แล้ว ดังนั้นเด็กก็ต้องถูกวินิจฉัยว่าเป็นโรคอะไรสักอย่างหนึ่งก่อนกลับบ้าน หลังจากวันนั้นพัฒนาการของเด็กจะไม่เป็นไปตามธรรมชาติอีกเลย
แน่นอนว่าในท้ายที่สุด ก็ยังคงมีเด็กสมาธิสั้นจริงๆ จำนวนหนึ่ง และเด็กแอลดีจริงๆ จำนวนหนึ่ง ที่ต้องการความช่วยเหลือแต่การที่เราเข้าไปรบกวนพัฒนาการเด็กเร็วเกินไป ดูเหมือนกำลังเป็นปัญหาร้ายแรงกว่า
ลิงไม่สามารถเอาปลายนิ้วมือทั้งสี่นิ้วมาแตะปลายนิ้วโป้งได้ สมองของลิงก็จะได้ประมาณนั้น มนุษย์ทำกริยาที่ว่าได้ เราพบว่ายิ่งเด็กใช้นิ้วมือและกล้ามเนื้อนิ้วมืออย่างสลับซับซ้อนมากเท่าไร สมองยิ่งพัฒนาเร็วและดีเพียงนั้น พูดง่ายๆ ว่าใช้มือให้เป็นก็จะกระตุ้นสมองดีมากๆ ใช้มือขวาก็จะไปกระตุ้นสมองซีกซ้าย ใช้มือซ้ายก็จะไปกระตุ้นสมองซีกขวา ใช้นิ้วชี้คลิกเมาส์และนิ้วโป้งกดสมาร์ทโฟนแค่นั้น สมองก็ได้แค่นั้น
เด็กถนัดซ้ายมักสะท้อนว่าเขามีการทำงานของสมองซีกขวาโดดเด่นกว่า และดังที่รู้กันว่าสมองซีกขวารับผิดชอบเรื่องการเชื่อมโยงสรรพสิ่ง สุนทรียภาพ และจินตนาการ เขาอยากใช้ของดีและพัฒนาสมองส่วนที่เจ๋งกว่า แต่เราไปสกัดไม่ให้เขาใช้ก็แปลกอยู่
ขอบคุณภาพประกอบ : http://www.thinkstockphotos.com/