ถ้าชาติหน้ามีจริง ผมจะไม่ขอเกิดเป็นลูกของแม่อีก
✨✨✨✨✨✨✨✨✨✨✨✨✨✨✨
เขาเกิดมาพร้อมกับ โรคกล้ามเนื้อลีบจากไขประสาทเสื่อม แต่เขามีสติปัญญาดีกว่าคนรุ่นเดียวกัน เขาเป็นลูกคุณแม่เลี้ยงเดี่ยว คุณแม่ของเขาคือ คุณเหอเหม่ยจิน เลี้ยงดูเขาเพียงลำพังตั้งแต่เล็กจนโต เพราะเขาเป็น โรคกล้ามเนื้อลีบ ฯ จึงทำให้การเคลื่อนไหวร่างกายไม่สะดวก
คุณแม่ของเขาลาออกจากการเป็นผู้จัดการบริษัทประกันภัย ออกมาเปิดบริษัทของตัวเองเพื่อเลี้ยงดูลูก ต่อมาบริษัทของคุณเหอก็ปิดตัวลง แม่ลูกจึงเก็บผักที่แม่ค้าไม่เอาแล้วในตลาดและเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ที่ใกล้หมดอายุในซุปเปอร์มาร์เก็ตมาประทังชีวิต
ทุกครั้งที่เขาเห็นสกู๊ปชีวิตในทีวี เขาจึงมักจะเอ่ยอยู่เสมอว่า อันนี้มันน่าสงสารแล้วเหรอ!”
แม่ครับ
วันนี้เป็นวันเกิดของผม วันนี้เมื่อ 23 ปีที่แล้วจนถึงตอนนี้ แม่เหนื่อยและลำบากเพราะผมมาก เป็นเรื่องที่ใครๆก็ไม่อยากให้เกิดขึ้น ลูกชายคนนี้ของแม่เกิดมาพร้อมกับ โรคกล้ามเนื้อลีบ ฯ แม่ทนกับคำ ถากถาง ของญาติพี่น้องในทุกๆวันได้อย่างไร?
แม่ทิ้งเงินเดือนในตำแหน่งผู้จัดการอันสูงลิ่ว ชีวิตครอบครัวจบลงด้วยการ หย่าร้าง แม่เข้มแข็งเด็ดเดี่ยวเลี้ยงดูผมมาลำพังจนเติบใหญ่ ที่จริงแม่ทิ้งผมไว้ที่บ้านเด็ก กำพร้า ก็ได้ แต่แม่ก็ไม่ทำ เพราะอะไร ?
คุณหมอบอกว่า
“เด็กคนนี้น่าจะอยู่ได้สัก 6 ปี หรือ 12 ปี แต่ไม่เกิน 18 ปี ”
ผมไม่รู้ว่าเมื่อแม่ได้ยิน ข่าวร้าย อย่างนี้ ทำไมยังพูดคุยหัวเราะบอกกับผมว่า “คุณลุงหมอบอกแม่ว่า ลูกจะหายตอนอายุ 6 ขวบ และจะหายเป็นปกติตอนอายุ 12 ขวบ”
ตอนที่ผมอายุได้ 18 ปี อาการป่วย ของผมกำเริบหนัก ทำให้ผมอยากจบสิ้นมันให้มันแล้วๆไป ผมไม่รู้ว่าคนตกงานอย่างแม่ทำได้ยังไง ที่ไม่ให้สิ่งเหล่านี้มากดทับ ซ้ำเติมคนอ่อนแอ อย่างผม
วันนี้ ผมอายุ 23 ปี แล้ว
ที่ผมอยู่ได้มากขึ้นในแต่ละวันก็เพราะแม่ส่งเสริมก็เพราะเกียรติของแม่ ตอนที่เรียนมัธยม แม่ทำงานใช้หนี้จนแทบไม่มีเวลาเป็นของตัวเอง จึงทิ้งโอกาสที่จะเดินทางไปเกาสยงเพื่อไปรับรางวัลคุณแม่ดีเด่น แต่วันนี้ผมภูมิใจในแม่มาก ผมอยากจะบอกแม่ดังๆว่า “ผมรักแม่ แม่คือคุณแม่ดีเด่นในใจผมตลอดไป”
ตอนเล็กๆ ผมไม่เข้าใจและผมก็ โมโห มาก ทุกครั้งที่ผมหกล้ม แม่ไม่เคยมาพยุงผมเลย ต่อให้ผมคลานอยู่กับพื้นที่สวนสาธารณะ ถูกผู้คนมองนานเป็น 10-20 นาที แม่ก็ไม่เคยเข้ามาพยุงผม ผมต้องกัดฟันจับเก้าอี้พยุงตัวเองขึ้นมา
เมื่อผมโตผมจึงเข้าใจ คนที่เป็น โรค เดียวกับผมไม่มีใครเดินได้ หากแม่ไม่ใจดำ กับผม ผมคงจะฝึกเดินเองไม่ได้จนถึงตอนนี้ แต่ผมไม่รู้ว่าแม่ทนได้ยังไงที่จะไม่เข้ามาพยุงผม ทุกนาทีที่ผมล้มลุกคลุกคลานอยู่กับพื้น มันไม่ใช่เหมือน มีด ที่คอยกรีดใจ แม่เป็นร้อยๆพันๆปีหรอกหรือ?
ยิ่งใครๆเขาสงสารผม แม่ก็ยิ่งเรียกร้องกับผม ตอนเป็นเด็กกล้าม เนื้อมือไม่แข็งแรง เวลาเขียนตัวหนังสือก็เหมือนไก่เขี่ย ผมเขียนได้บรรทัดหนึ่ง แม่ก็ ฉีก ไปหน้าหนึ่ง เกรดไม่ดี คะแนนลดไปหนึ่งคะแนน แม่ก็ตีผม “เดินก็ไม่ถนัด ยังจะมาเรียนหนังสือแย่อีก แม่ เสีย ไปแล้วลูกจะทำยังไง?”
ผมเรียนมัธยมจนถึงเรียนมหาลัยแห่งชาติได้ สิ่งเหล่านี้เป็นเพราะแม่คอยเตรียมการให้ การเรียนไม่ใช่สาเหตุของความสำเร็จในชีวิต แต่นี่มันปูด้วย หยดโลหิต และ น้ำตาของแม่ แส้ที่แม่ตีผม ทุกครั้งที่แม่ตีถูก เนื้อผมก็เจ็บไปถึงใจของแม่ แม่ยอมทนเจ็บที่ใจเพื่อให้ผมยืนหยัดได้ด้วยตนเอง ไม่ต้องให้ใครเขามาสมเพชผม
ตอนที่แม่เปิดบริษัทเอง ไม่ว่าจะยุ่งยังไงก็ตาม แต่ก็จะมาส่งข้าวกลางวันให้ผมด้วยตัวเองทุกครั้ง ก็เพราะผมชอบกินข้าวกล่องของร้านนั้นเป็นพิเศษ แต่แม่ก็มาไม่ทันข้าวเที่ยงสักวัน ผมต้องถูกลงโทษให้ไปกินนอกห้องช่วงพักเรียนตอนบ่ายทุกวัน แต่ที่ผมไม่เคยบอกแม่เลยก็คือ ทุกวันที่ผมได้เห็นแม่ในช่วงกลางวัน ต่อให้แป๊บเดียว ผมก็มีความสุขมาก
ตอนที่ผมเรียนมัธยม บริษัทที่แม่เปิดต้องปิดลงเพราะหุ้นส่วน ใจดำ ทั้งหลาย แม่จึงไปรับจ๊อบที่สำนักงานบัญชีเพื่อประทังชีวิต แต่ฟ้ายังไม่สว่างเลย แม่ก็ไปทำงานที่ร้านขายอาหารเช้าแล้ว ตอนเย็นก็ไปล้างถ้วยที่ร้านอาหารบุฟเฟต์อีก เพื่อที่จะได้เอาอาหารที่เหลือขายมาให้ผมกิน
จำได้ว่ามีอยู่คืนหนึ่ง ประมาณ 5 ทุ่ม แม่ยังไม่มารับผมที่โรงเรียน ครูสอนพิเศษพาผมลงไปรอแม่ที่เซเว่น
“เอ๊า จะดื่มอะไร เลือกเอง ”
ผมยืนอยู่หน้าตู้แช่ กลอกตามองไปมา ผมไม่เคยใช้เงิน และก็ไม่ชินกับการซื้อเครื่องดื่ม จึงไม่รู้จะเลือกอย่างไร ?
“อื่อ อันนี้อร่อยดีนะ” ครูสอนพิเศษหยิบชานมกระป๋องเขียว 2 กระป๋องไปจ่ายเงินที่เค้าเตอร์ ผมเข้าใจคำว่าเลือกในทันที ผมไม่มีเงิน ผมจึงเลือกเครื่องดื่มที่ผมชอบไม่ได้ ชีวิตของแม่ก็เช่นกัน แม่ก็เลือกไม่ได้เหมือนกัน ในตอนนั้น ผมคิดแต่เพียงว่า หากแม่มีเงินแม่ก็คงมีทางเลือกมากขึ้น ผมไม่ต้องการเป็นเศรษฐี แต่อย่างน้อย ผมอยากเป็นคนเลือกบ้าง เลือกในสิ่งที่ผมต้องการ และที่ผมต้องการก็คือ อยากให้แม่กลับบ้านเร็วหน่อย ตอนเช้าตื่นสายๆหน่อย
ตอนที่เรียนมัธยม โรคได้ กำเริบรุนแรง ทำให้ผมขึ้นรถเมล์ไปเรียนเองไม่ได้ ไม่สามารถเดินไปรับอาหารกลางวันฟรีที่สหกรณ์ได้อีก ตอนที่ต้องนั่งล้อเข็นใหม่ๆ ผมรับไม่ได้กับอุปกรณ์ส่วนเกินนี้ นอกจากร้องไห้แล้ว ผมก็อยากให้ชีวิตของผมมันจบๆ ไปซะที
ผมถามฟ้าเบื้องบนอยู่เสมอว่า “ทำไมท่านทำกับผมอย่างนี้” ผมรู้ว่าแม่เจ็บปวดมากกว่าผม แต่แม่กล้ำกลืน อดทน มันไว้ ทุกครั้งที่ผมร้องไห้จนเหนื่อย หอบอยู่บนโต๊ะ แม่ก็จะแซวผมว่า “ดื่มน้ำเพิ่มไหม เสียน้ำตาไปมากแล้ว เดี๋ยวน้ำในตัวจะหมด”
ในวันนั้น ผมเอา มีด ทำ อาหารของแม่เตรียม กรีดข้อมือตัวเอง แม่เห็นก็เข้ามา แย่ง แม่เอามือของแม่จับ คมมีดฉุดไปจากผม แม่ไม่ได้กลัวว่า มีดจะบาดมือแม่ยังไง แม่ห่วงแต่ว่าจะให้ผมมีชีวิตต่อได้ยังไง ผมตกใจจนต้องปล่อยมือจาก มีด นั้น คลานไปนั่งที่มุมห้อง
“ไม่ต้องงอแงเลย เอามีดมาให้แม่ แม่จะไปทำข้าวเย็น”
ผมรู้สึกมันไร้สาระมาก ผมไม่ อยากมีชีวิต อยู่ต่อไปแล้ว แม่ยังจะมาทำข้าวเย็นให้กินอีก แต่แม่รู้ไหมครับ คำๆนี้ของแม่อยู่กับผมในช่วงเวลาที่ชีวิต ดิ่งลงเหวลึก เสมอมา
“ไม่ว่าจะเจ็บปวด หรือ ทุกข์ทรมาน เพียงใด พรุ่งนี้ก็ยังคงจะมาถึง ชีวิตยังคงต้องสู้ต่อ”
นี่คือสิ่งที่ผมได้เรียนรู้จากวันนั้น ขอบคุณแม่มาก ที่เลี้ยงดูผมมาอย่างไม่ ปรักปรำพร่ำบ่น
แม่ยิ่งใหญ่สำหรับผมมาก หากชาติหน้ามีจริง ผมจะไม่ขอเป็นลูกของแม่อีก ผมจะขอเกิดมาเป็นพ่อของแม่ เป็นแม่ของแม่ ผมขอเป็นคนดูแลแม่ ไม่ต้องให้แม่ เจ็บปวด และ ทุกข์ ทรมานอย่างนี้ อีก
แม่ครับ ผมรักแม่
.
✨✨✨✨✨✨✨✨✨✨✨✨✨✨✨
ขอบพระคุณที่มา #นุสนธิ์บุคส์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น