ปากนกกระจอก อาการ สาเหตุ การรักษาโรคปากนกกระจอก 25 วิธี !!
โรคปากนกกระจอก
ปากนกกระจอก หรือ แผลที่มุมปาก
(Angular
cheilitis – AC, Angular stomatitis, Commissural cheilitis) คือ
อาการแผลเปื่อยที่มุมปากทั้ง 2 ข้าง ซึ่งอาจมีสาเหตุมาจากภาวะการขาดวิตามินบี 2
ธาตุเหล็ก โปรตีน โรคเชื้อรา การติดเชื้อแบคทีเรีย โรคผื่นแพ้กรรมพันธุ์ ฯลฯ
เป็นโรคที่พบได้ในทุกเพศทุกวัย แม้จะไม่มีอันตรายร้ายแรงและไม่ใช่โรคติดต่อ
แต่ก็มักสร้างความรำคาญ ความวิตกกังวล และความเจ็บปวดให้กับผู้ป่วยได้เป็นอย่างมาก
เพราะทำให้มีอุปสรรคต่อการรับประทานอาหารหรือการพูดคุย
อีกทั้งโรคนี้ก็เป็นโรคที่สามารถเกิดซ้ำได้อีกถ้าแก้ปัญหาไม่ถูกจุด
แต่รอยโรคก็มักหายไปได้เองภายใน 7-10 วัน
สาเหตุโรคปากนกกระจอก
ส่วนใหญ่แล้วคนมักเข้าใจว่าโรคปากนกกระจอกเกิดได้จากการขาดวิตามินบี
2 เพียงอย่างเดียว แต่ในความเป็นจริงแล้วยังมีสาเหตุอื่น ๆ ที่ทำให้เกิดโรคปากกระจอกได้อีกมาก
และสาเหตุที่พบได้บ่อย ๆ ก็มีดังนี้
- ปัญหาจากโรคผิวหนัง เช่น เป็นโรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนังในเด็ก (Atopic dermatitis) โรคผิวหนังอักเสบเซบเดิร์ม (Seborrheic dermatitis) ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคปากนกกระจอกที่พบได้บ่อยที่สุด
- การขาดสารอาหาร โรคปากนกกระจอกมักเกิดจากการขาดวิตามินบี 2 หรือ ไรโบฟลาวิน (Riboflavin) การขาดธาตุเหล็ก วิตามินซี และโปรตีน (เป็นกรณีที่พบได้น้อย แต่มักพบได้ในเด็กที่เป็นโรคขาดสารอาหาร หรือรับประทานอาหารที่มีวิตามินบี 2 น้อยเกินไป)
- การติดเชื้อบางชนิด เช่น เชื้อรา (Candida albicans) เชื้อแบคทีเรียหรือเชื้อไวรัส เช่น เชื้อเริมที่ริมฝีปาก (Herpes simplex) ที่มักพบตุ่มน้ำใสเกิดขึ้นที่บริเวณริมฝีปาก
- ผู้ป่วยสูงอายุที่ไม่มีฟัน จึงมีรูปปากที่ผิดปกติ ทำให้เกิดการกดทับที่มุมปากและกลายเป็นจุดอับชื้น เมื่อน้ำลายหรือเหงื่อมาอยู่บริเวณนั้นมากขึ้นก็จะทำให้เกิดเป็นแผลระคายเคืองที่มุมปากได้ ต่อมาอาจเกิดการติดเชื้อแทรกซ้อนจากเชื้อราหรือเชื้อแบคทีเรียตามมาได้อีก ซึ่งก็เป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่พบได้บ่อย
- ภาวะน้ำลายออกมากกว่าปกติ (Hypersalivation) เช่น ในคนที่นอนหลับแล้วน้ำลายไหลเป็นประจำ คนที่พูดแล้วมักมีน้ำลายเอ่อที่มุมปาก หรือในเด็กบางคนที่มีน้ำลายมากและน้ำลายไหลตลอด ทำให้เกิดการระคายเคืองของผิวหนังที่มุมปากจนเกิดเป็นแผลได้ง่ายยิ่งขึ้น
- การแพ้หรือระคายเคือง เช่น การแพ้อาหาร แพ้ลิปสติก หรือยาสีฟัน (แต่ในกรณีนี้มักเป็นทั้งริมฝีปาก)
- เกิดจากการที่ริมฝีปากแห้ง จากนิสัยส่วนตัวที่ชอบเลียปากหรือจากการที่อากาศหนาวเย็นที่พบได้บ่อยในช่วงฤดูหนาว
- ผลข้างเคียงจากการใช้ยาบางชนิด เช่น ยากินรักษาสิวประเภทกรดวิตามินเอ (Isotretinoin) ที่มีผลทำให้ผิวแห้งลงและเกิดแผลที่มุมปากได้ง่ายขึ้น
- ผู้เชี่ยวชาญบางท่านเชื่อว่าโรคปากนกกระจอกอาจเกิดปัญหาของระบบภูมิคุ้มกัน หรืออาจเกี่ยวข้องกับปัจจัยต่าง ๆ เช่น ความเครียด การสูบบุหรี่ ฯลฯ หรือเกิดจากการถ่ายทอดทางพันธุกรรม
- นอกจากนี้ยังอาจพบได้ในผู้ป่วยโรคพิษสุรา โรคตับ หรือท้องเดินเรื้อรัง ผู้ที่มีอาการเบื่ออาหาร หรือมีความผิดปกติของการดูดซึมของลำไส้
อาการของปากนกกระจอก
ผู้ป่วยจะมีอาการเป็นแผลเปื่อย
โดยแผลจะมีลักษณะแตกเป็นร่องที่มุมปากทั้ง 2 ข้าง
ลักษณะเป็นสีเหลือง ๆ ขาว ๆ เริ่มแรกผู้ป่วยจะมีอาการปวดแสบร้อนที่ริมฝีปากและลิ้น
ต่อมาจะมีรอยแผลแตกที่มุมปาก ทำให้ในขณะที่พูดหรืออ้าปากผู้ป่วยจะรู้สึกตึงและเจ็บ
ถ้าใช้ลิ้นเลียบริเวณแผลก็จะยิ่งทำให้แผลแห้งและตึงมากขึ้น
เมื่ออ้าปากอาจทำให้มีเลือดออกได้ (ในรายที่มีอาการรุนแรงจะมีเลือดออกด้วย
และถ้าเป็นซ้ำซากเวลาหายแล้วจะกลายเป็นแผลเป็น)
ในบางรายอาจพบการอักเสบของเยื่อบุริมฝีปาก
(ริมฝีปากจะมีลักษณะแดง แห้ง หยาบบาง และแตกเป็นร่องตื้น ๆ) และลิ้น
(ลิ้นจะมีลักษณะเป็นสีม่วงแดง)
นอกจากนี้ผู้ป่วยยังอาจมีภาวะซีด
กระจกตาอักเสบ (ตาแดง น้ำตาไหล กลัวแสง) ผิวหนังอักเสบ (Seborrheic dermatitis) ซึ่งผิวหนังในบริเวณหู ตา จมูก อัณฑะ ปากช่องคลอด จะมีลักษณะเป็นมัน
เป็นผื่นแดง และมีสะเก็ดเป็นมัน
วิธีรักษาปากนกกระจอก
ผู้ป่วยที่เป็นโรคปากนกกระจอกไม่จำเป็นต้องมีสาเหตุมาจากการขาดสารอาหารเสมอไป
และการขาดสารอาหารนี้ก็เป็นสาเหตุการเกิดโรคที่พบได้น้อยมากในปัจจุบัน ฉะนั้น
ผู้ป่วยควรหาสาเหตุของการเกิดโรคที่แท้จริงแล้วทำการรักษาที่ต้นเหตุ
ซึ่งจะทำให้อาการดังกล่าวหายไปโดยไม่กลับมาเป็นซ้ำอีก
แต่โดยทั่วไปแล้วแนวทางการดูแลรักษาตัวเองแพทย์จะแนะนำให้ปฏิบัติตัวดังต่อไปนี้
1. ถ้าสาเหตุเกิดจากการขาดวิตามินบี
2 (Riboflavin)
ให้รักษาด้วยการรับประทานวิตามินบี 2 หรือวิตามินบีรวมวันละ 1-3
เม็ด จนกว่าจะหาย หรือรับประทานอาหารประเภทข้าวซ้อมมือหรือข้าวกล้อง
ผักและผลไม้ซึ่งอุดมไปด้วยวิตามินบี 2 อยู่เป็นประจำ
2. โรคปากนกกระจอกที่มีสาเหตุมาจากเชื้อเริม
ทำให้ผู้ป่วยมีอาการเป็นแผลเปื่อยแบบเป็น ๆ หาย ๆ
ในกรณีนี้ก็ไม่จำเป็นต้องซื้อยามาทาหรือซื้อวิตามินมากินครับ
เพียงแต่ขอให้รักษาความสะอาดของริมฝีปากและช่องปากให้ดี
ควรแปรงฟันและบ้วนปากให้สะอาดหลังการรับประทานอาหาร แล้วแผลเปื่อยที่มุมปากก็จะหายไปเองในที่สุด
3. ถ้าโรคปากนกกระจอกมีสาเหตุมาจากการติดเชื้อแบคทีเรีย
ซึ่งมักเกิดหลังจากการหลุดลอกของเซลล์หนังกำพร้าที่มุมปาก
แล้วต่อมาเกิดเป็นแผลทำให้ติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน เกิดการอักเสบและปวดเจ็บ
ในกรณีแบบนี้ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อรักษาด้วยยาปฏิชีวนะ
4. ดื่มน้ำให้มาก
ๆ และงดการดื่มแอลกอฮอล์และชา เพราะเครื่องดื่มเหล่านี้จะไปรบกวนการดูดซึมวิตามิน
5. ควรเช็ดมุมปากให้แห้งอยู่ตลอดเวลา
เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการอับชื้น (แนะนำให้พกผ้าเช็ดหน้าสะอาด ๆ
ติดตัวไว้เสมอเพื่อใช้ซับน้ำลาย)
6. เลิกเลียริมฝีปากและมุมปาก
เพราะการทำเช่นนี้จะก่อให้เกิดการอักเสบของแผลและการติดเชื้อแบคทีเรียได้
ทำให้แผลไม่หายและอาจมีอาการแย่ลงกว่าเดิม
7. หมั่นทำความสะอาดช่องปากด้วยการแปรงฟันและบ้วนปากให้สะอาดหลังการรับประทานอาหารอยู่เสมอ
8. ควรรักษาความสะอาดของเครื่องนอน
เช่น ผ้าห่ม ปลอกหมอน รวมไปถึงผ้าเช็ดหน้าที่ใช้เป็นประจำ
9. ในกรณีที่ไม่ได้ใส่ฟัน
ควรไปพบทันตแพทย์เพื่อแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น
10. หากแผลที่มุมปากมีอาการเจ็บและตึง
ให้ทาปากด้วยครีมทาปาก ปิโตรเลี่ยมเจลลี่ ลิปบาล์ม
หรือขี้ผึ้งที่มีส่วนผสมของวิตามินอีอยู่เสมอ ก็จะช่วยบรรเทาอาการเจ็บได้
(วิตามินอีจะมีประโยชน์ในการช่วยสมานแผลให้หายเร็วยิ่งขึ้น
ช่วยทำให้ผิวมีความชุ่มชื้น และเพิ่มความยืดหยุ่นตัวของผิวได้ดีขึ้น)
11. ใช้ยาป้ายแผลในปาก
เช่น Kenalog
in Orabase (ขี้ผึ้งป้ายปาก)
เพื่อช่วยบรรเทาอาการอักเสบหรือแผลเปื่อยในปาก ซึ่งยาชนิดนี้จะได้ผลดีกับแผลที่เกิดจากภาวะอักเสบจากภูมิแพ้
12. งดการใช้ผลิตภัณฑ์ที่ก่อให้เกิดอาการแพ้หรือระคายเคือง
เช่น ลิปสติก ยาสีฟัน
13. สมุนไพรบางชนิดก็สามารถช่วยรักษาแผลโรคปากนกกระจอกให้หายได้เร็วขึ้นได้
เช่น
·
การใช้น้ำยางจากยอดอ่อนของต้นตองแตก (Baliospermum solanifolium (Burm.)
Suresh) มาทาบริเวณที่เป็นแผล
·
ใช้ใบสดของต้นอัคคีทวาร (Rotheca serrata (L.) Steane & Mabb.) นำมาอังไฟแล้วขยี้ใส่แผล
·
ยางสดจากต้นน้ำนมราชสีห์ใหญ่ (Euphorbia hirta L.) ใช้ทาบริเวณที่เป็นแผล
·
ใช้ยางจากก้านใบของต้นสบู่ดำ (Jatropha curcas L.) นำมาป้ายบริเวณที่เป็นแผล
·
ใช้เปลือกต้นมะขามเทศ (Pithecellobium dulce (Roxb.)
Benth.) ให้ลอกเปลือกชั้นนอกออกแล้วเอาแต่เปลือกชั้นใน 15 กรัม
เกลือป่น 1 ช้อนชา แล้วนำมาต้มกับน้ำกะปริมาณพอท่วมยาเล็กน้อยจนน้ำเดือด
รอจนน้ำอุ่นแล้วนำมาอมหลังจากแปรงฟันทุกครั้งจะช่วยทำให้แผลในปากค่อย ๆ บรรเทา
ทุเลาลง
·
ให้ใช้ฟองข้าวสีขาวที่ได้จากข้าวที่กำลังสุกมาใช้ทาบริเวณที่เป็นแผลวันละ
2 ครั้ง เช้าและเย็น วิธีนี้จะช่วยบรรเทาความเจ็บปวดและช่วยทำให้แผลหายเร็วขึ้นได้
·
ต้นสายน้ำผึ้ง (Lonicera japonica Thunb.) โดยให้ใช้ทั้งต้นเป็นยา
(ตามตำราไม่ได้ระบุวิธีการใช้เอาไว้)
·
ใบของต้นกระเจี๊ยบเขียว (Abelmoschus esculentus (L.)
Moench) มีสรรพคุณเป็นยารักษาโรคปากนกกระจอก (ไม่ได้ระบุวิธีใช้)
14. ถ้ายังไม่ได้ผลหรืออาการยังไม่ดีขึ้นภายใน
1 สัปดาห์
ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุอื่นที่แท้จริงที่ก่อให้เกิดโรคปากนกกระจอก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวัยกลางคนขึ้นไปที่อาจเกิดจากโรคเชื้อราในช่องปาก
วิธีป้องกันโรคปากนกกระจอก
1. โรคนี้สามารถป้องกันได้ด้วยการรับประทานอาหารที่มีวิตามินบี
2 เช่น ปลา ตับ ไต ถั่ว นม ไข่แดง ผักใบเขียว ผักหวานป่า โยเกิร์ต ชีส ฯลฯ
และรับประทานอาหารที่มีธาตุเหล็ก เช่น เนื้อแดง ตับ หอย ไข่แดง หน่อไม้ฝรั่ง
ผักกูด ผักแว่น ถั่วฝักยาว ใบแมงลัก ใบกะเพรา เห็ดฟาง ธัญพืช ถั่วชนิดต่าง ๆ
2. รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ให้ครบ
5 หมู่ เป็นประจำทุกวัน
3. เลิกนิสัยการชอบเลียมุมปาก
แล้วปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเสียใหม่ก็จะช่วยลดโอกาสการเกิดแผลที่มุมปากได้
4. ไม่ใช้ผลิตภัณฑ์ที่ก่อให้เกิดอาการแพ้หรือระคายเคืองที่ริมฝีปาก
เช่น ลิปสติก ยาสีฟัน หากใช้แล้วแพ้ควรหยุดใช้แล้วเปลี่ยนไปใช้ยี่ห้ออื่นทันที
5. รักษาสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง
ด้วยการออกกำลังกาย พักผ่อนให้เพียงพอ และรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ให้ครบ 5
หมู่ (หากร่างกายแข็งแรงก็จะห่างไกลจากการเป็นโรคปากนกกระจอก
เพราะโรคนี้มักพบได้ในผู้ที่มีร่างกายอ่อนแอหรือมีภูมิคุ้มกันต่ำ)
เอกสารอ้างอิง
1. หนังสือตำราการตรวจรักษาโรคทั่วไป
2. “ปากนกกระจอก (Angular stomatitis/Angular cheilitis)”. (นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ).
หน้า 560.
2. เครือข่ายความร่วมมือบริการเภสัชสนเทศ. “โรคปากนกกระจอก…ทำอย่างไรดี?”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : drug.pharmacy.psu.ac.th.
[27 มี.ค. 2016].
3. เว็บไซต์เมดไทย
(MedThai)
ภาพประกอบ : medicalpicturesinfo.com,
www.newhealthguide.org, simpleremedies.net, www.dermquest.com