Learn with Prin เรียนรู้ไปพร้อมกับน้องปริญญ์

จำหน่ายผลิตภัณฑ์ Legacy /Reborn Set ลด Fat ตัวช่วยลดไขมัน ลดน้ำหนัก แบบถูกวิธี 🔥 ติดต่อสอบถาม/สั่งซื้อ 📍 โทร ☎️ :: 084-110-5021 🌸 Line ID :: pla-prapasara 🌸 รับโปรโมชั่นสุดพิเศษเฉพาะทาง Line นะคะ 📍

วันพฤหัสบดีที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2562

ทดสอบไอคิวลูก แบบง่ายๆ ด้วย Gesell drawing test ใช้ได้ตั้งแต่อายุ 2-12 ขวบ

ทดสอบไอคิวลูก แบบง่ายๆ ด้วย Gesell drawing test ใช้ได้ตั้งแต่อายุ 2-12 ขวบ
























ทดสอบไอคิวลูก แบบง่ายๆ ด้วยวิธีการวัด จากการให้ลูกน้อยลองวาดภาพ ด้วยแบบทดสอบ Gesell drawing test ซึ่งคุณพ่อคุณแม่สามารถใช้วัดลูกน้อยได้ตั้งแต่ ตั้งแต่อายุ 2-12 ขวบเลยทีเดียว


ไอคิว (IQ) หรือ Intelligence Quotient คือ ความสามารถทางเชาวน์ปัญญา ซึ่งรวมไปถึงการคิด การเชื่อมโยง การใช้เหตุผล การคำนวณ สามารถวัดออกมาเป็นค่าสัดส่วนตัวเลขที่แน่นอนด้วยแบบทดสอบทางสติปัญญา ระดับของไอคิวปกติอยู่ใน ช่วง 90-110 คนที่มีระดับไอคิวสูงจะเป็นคนเก่งมีสมองรับรู้ว่องไว เรียนหนังสือเก่ง พ่อแม่ทุกคนจึงปรารถนาให้ลูกมีไอคิวสูง แม้ศักยภาพทางสมองนั้นเป็นสิ่งที่ติดตัวมาแต่กำเนิด เปลี่ยนแปลงแก้ไขได้ไม่ง่ายนัก แต่พ่อแม่มีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการจัดสภาพแวดล้อมเพื่อพัฒนาสมองให้ลูกได้

ทดสอบไอคิวลูก แบบง่ายๆ ตั้งแต่อายุ 2-12 ขวบ


ทดสอบไอคิวลูก เขาวัดไอคิวกันอย่างไร?


ไอคิวถูกคิดค้นโดย Louis William Stern นักจิตวิทยาชาวเยอรมัน และต่อมา Lewis Terman นักจิตวิทยาชาวอเมริกัน ได้พัฒนาแบบทดสอบไอคิว (IQ Test) ขึ้นเพื่อวัดระดับสติปัญญาเป็นครั้งแรก โดยแบ่งระดับจาก A ถึง E แต่ปัจจุบันเรานิยมใช้ระบบแปลผลออกมาเป็นตัวเลข ซึ่งมีแบบทดสอบไอคิวหลายแบบ ซึ่งการวัดไอคิวต้องทำโดยนักจิตวิทยาคลินิกซึ่งได้รับการฝึกฝนการใช้แบบทดสอบจนชำนาญ ไม่ใช่การทดสอบที่ใครก็สามารถวัดได้ ดังนั้น แบบทดสอบไอคิวที่มีจำหน่ายตามท้องตลาด หรือแบบทดสอบทางเว็บไซต์จึงเป็นเพียงแบบทดสอบที่ทำเล่นสนุก ๆเ ท่านั้น

ทั้งนี้ การคำนวณตัวเลขไอคิวจะใช้สูตร IQ = [อายุสมอง (Mental Age) ÷ อายุจริง (Chronologic Age)] × 100 ซึ่งเป็นการเทียบระดับการเรียนรู้หรือพัฒนาการของสมองว่าอยู่ระดับไหนเมื่อเทียบกับอายุจริง หากวัดไอคิวได้ 100 หมายความว่า อายุสมองเท่ากับอายุจริง เช่น ถ้าอายุ 6 ปี แสดงว่าอายุสมองคือ 6 ปีเช่นกัน แต่ถ้าวัดไอคิวได้ต่ำกว่า 100 แสดงว่าอายุสมองต่ำกว่าอายุจริง หรือถ้าวัดไอคิวได้มากกว่า 100 แสดงว่า อายุสมองมากกว่าอายุจริง และนำคะแนน มาเทียบกับตารางสถิติของประชากรในโลกซึ่งมีระดับไอคิวในแต่ละช่วงเป็นร้อยละ ดังนี้





















































ภาพจาก IQ Scores – Average IQ Score http://www.iqtest-center.com/iq-scores.php

จากแผนภูมิจะพบว่า คนส่วนใหญ่ มีระดับไอคิวอยู่ในช่วง 100 มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่มีไอคิวอยู่ในระดับต่ำมาก หรือสูงมาก

ลักษณะของเด็กปัญญาเลิศ


  • พัฒนาการทางร่างกายและจิตใจสูงกว่าเด็กในวัยเดียวกัน
  • เรียนรู้สิ่งต่างๆ ได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย
  • อยากรู้อยากเห็นอย่างจริงจัง ชอบซักถาม
  • มีเหตุผลในการแก้ปัญหา การใช้สามัญสำนึก
  • จดจำได้รวดเร็วและแม่นยำ
  • มีความรู้ ใช้คำศัพท์เกินวัย
  • มีความคิดริเริ่ม มีวิธีการคิดและแนวคิดแปลกๆ
  • เป็นคนตื่นตัว เฉียบแหลม ว่องไว และช่างสังเกต
  • มีแรงจูงใจ และมีความมานะบากบั่นมีความจริงใจในการทำงาน
  • ชอบแสวงหาสิ่งท้าทายความคิดความอ่าน


























ไอคิวสูงหรือต่ำเกิดจากอะไร?


ความฉลาดหรือ ความสามารถทางเชาวน์ปัญญา เป็นสิ่งที่ถูกกำหนดจากพันธุกรรม ไอคิวของลูกจึงได้รับการถ่ายทอดมาจากพ่อแม่ ปู่ย่า ตายายมาตั้งแต่เกิด ดังนั้น พ่อแม่ที่มีไอคิวสูง ลูกมักมีไอคิวสูงด้วย ส่วนพ่อแม่ที่มีไอคิวไม่สูง ลูกก็จะมีไอคิวไม่สูงเช่นกัน เราจึงไม่พบเด็กอัจฉริยะที่พ่อแม่มีไอคิวไม่สูง หากพบแต่กรณีที่พ่อแม่มีไอคิวสูง แต่ลูกมีไอคิวไม่สูงได้จากบางสาเหตุ เช่น การไม่ได้รับการกระตุ้นที่เหมาะสม ดังนั้น สิ่งสำคัญกว่าตัวเลขระดับไอคิวคือ การจัดสภาพแวดล้อมที่กระตุ้นการเรียนรู้ให้เหมาะสมกับระดับความสามารถของสมองของลูก เพราะหากกระตุ้นน้อย แม้เกิดมามีต้นทุนสมองดี แต่สมองก็ไม่พัฒนาเต็มศักยภาพเมื่อโตขึ้น

แบบทดสอบไอคิวลูก Gesell drawing test


โดย Gesell drawing test เป็นการวัดความสามารถทางกล้ามเนื้อมือ และการทำงานประสานกันของตากับมือตามระดับอายุที่ควรจะเป็น ซึ่งเป็นทักษะที่บ่งชี้ถึงระดับสติปัญญาหรืออายุสมองได้แบบคร่าวๆ

วิธีการตรวจสอบ


ให้ลูกดูแบบแล้ววาด (ควรขยายขนาดเพิ่มให้จากรูปที่แนบมา) โดยที่คุณพ่อคุณแม่ไม่ได้วาดให้ดู ลูกสามารถวาดซ้ำได้ในแต่ละรูปให้ผ่านถ้ารูปที่วาด สมบูรณ์ใกล้เคียงกับรูปต้นแบบ ซึ่งหากลูกของเราอายุจริง 8 ปี แต่สามารถวาดรูปได้ถึงรูปที่ 7 โดยที่รูปที่ 8 เป็นต้นไปวาดไม่ได้หรือไม่สมบูรณ์ แสดงว่าอายุสมองของลูกอยู่ที่ระดับ 7 ปี เป็นต้น

























การวัด  IQ


  • รูปที่ 1 เป็นความสามารถของเด็ก 2 ปี
  • รูปที่ 2 เป็นความสามารถของเด็ก 3 ปี
  • รูปที่ 3 เป็นความสามารถของเด็ก 3 ปีครึ่ง
  • รูปที่ 4 เป็นความสามารถของเด็ก 4 ปี
  • รูปที่ 5 เป็นความสามารถของเด็ก 5 ปี
  • รูปที่ 6 เป็นความสามารถของเด็ก 6 ปี
  • รูปที่ 7 เป็นความสามารถของเด็ก 7 ปี
  • รูปที่ 8 เป็นความสามารถของเด็ก 8 ปี
  • รูปที่ 9 เป็นความสามารถของเด็ก 9 ปี
  • รูปที่ 10 เป็นความสามารถของเด็ก 11 ปี
  • รูปที่ 11 เป็นความสามารถของเด็ก 12 ปี


***หมายเหตุ : การทดสอบนี้เป็นวิธีคัดกรองแบบหยาบๆ เท่านั้น ไม่ได้บอกระดับ IQ ที่แท้จริง เพราะวัดเฉพาะความสามารถของกล้ามเนื้อมือ ดังนั้น ถ้าลูกทำไม่ได้ก็ไม่ต้องตกใจ แต่ลองฝึกฝนลูกเรื่องกล้ามเนื้อมือให้มากขึ้น หรือถ้าลูกมีปัญหาการเรียนหรือพัฒนาการร่วมด้วย ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ (หมอไปป์ แฮปปี้คิดส์ จากเพจ ชมรมจิตแพทย์เด็กและวัยรุ่นแห่งประเทศไทย)



ผลการวัดไอคิวบ่งบอกความฉลาดของลูกได้แน่นอนหรือไม่?


ผลการวัดไอคิวบ่งชี้เฉพาะระดับสติปัญญาในบางด้านของเด็กที่สามารถวัดออกมาเป็นตัวเลขได้เท่านั้น ยังมีความฉลาดในด้านอื่นๆอีกมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความฉลาดทางอารมณ์ ( EQ) นอกจากนี้ ในการทดสอบ ยังต้องพิจารณาองค์ประกอบอื่นที่มีผลต่อคะแนนไอคิวด้วย เช่น แบบทดสอบที่ใช้เป็นแบบทดสอบมาตรฐานหรือไม่ ใครเป็นผู้ทดสอบ ช่วงเวลาที่ทดสอบ เด็กมีความพร้อมเพียงใด ให้ความร่วมมือหรือไม่ นอกจากนี้ ยังอาจเกิดความคลาดเคลื่อนอันเนื่องมาจากระดับอายุของเด็กในขณะทดสอบ มีงานวิจัยพบว่าไอคิวที่วัดเมื่อเด็กอายุต่ำกว่า 2 ปี กับไอคิววัดเมื่ออายุ 17-18 ปี นั้นมีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์กันต่ำมาก โดยจะค่อยๆสูงขึ้นเมื่ออายุ 5-7 ปี และมีพัฒนาการของเชาวน์ปัญญาถึงขั้นสูงสุดคือ ระหว่างอายุ 15-25 ปี จากนั้นจะเริ่มเสื่อมลงตามวัย ดังนั้น การวัดไอคิวเมื่อเด็กเข้าสู่ระดับประถมและมัธยม คะแนนไอคิวจึงจะเชื่อถือได้มากขึ้น


























ชวนพ่อแม่สังเกตพัฒนาการลูกจาก “ภาพวาด”


ภาพวาดสวยๆ จากการวาดของเด็กเกิดจากช่วงเวลาที่เด็กหยิบจับอุปกรณ์วาดเขียนขึ้นมาสักชิ้น  แล้วลงมือวาดภาพสร้างงานศิลปะด้วยตัวเอง  หมายความว่าเด็กต้องใช้ทั้งพัฒนาการด้านร่างกาย (กล้ามเนื้อมัดเล็ก)  การทำงานประสานกันของสายตากับมือ  และใช้พัฒนาการด้านสติปัญญา  เพื่อถ่ายทอดความคิดออกมาเป็นงานศิลปะ  ภาพวาดของเด็กจึงไม่ใช่แค่ภาพวาด  แต่เป็นกิจกรรมหนึ่งที่เด็กได้เสริมสร้างพัฒนาการด้านต่างๆ  ได้ผ่อนคลายจิตใจ  และยังเป็นกิจกรรมที่บ่งบอกถึงลำดับพัฒนาการตามวัยของเขาได้อีกด้วย

1 ขวบครึ่ง – 3 ขวบ  :  ขีดเขี่ย


เมื่อลูกน้อยเริ่มอยากจับช้อน  หรืออยากหยิบอาหารเข้าปากเอง  หมายความว่าเขาเริ่มใช้กล้ามเนื้อมัดเล็กบ้างแล้ว  หลังจากนั้นอีกสักระยะประมาณ 8 เดือนหรืออายุประมาณ 1 ขวบครึ่ง  เด็กบางคนเริ่มจะจับดินสอ  แล้วลงมือขีดเขี่ยเอง  ในช่วงอายุนี้เราใช้คำว่า “ขีดเขี่ย” แทนคำว่า “ขีดเขียน”  เพราะว่าภาพของเขาเป็นลักษณะเส้นยุ่งๆ  ตามอารมณ์สนุกสนานของเขาเท่านั้น  ไม่ได้วาดเพื่อถ่ายทอดเรื่องราว  เพราะลูกน้อยวัยนี้ยังไม่สามารถถ่ายทอดความคิดออกมาเป็นภาพได้  เพราะฉะนั้นคุณพ่อคุณแม่ควรให้อิสระเขาในการขีดเขี่ย  เพื่อให้เขาได้สนุกและพัฒนากล้ามเนื้อมืออย่างเต็มที่






























4 – 6 ปี  :  เป็นรูปเป็นร่าง


ภาพวาดของลูกน้อยวัยนี้จะเริ่มมีรูปร่างมากขึ้น  และเริ่มมีความสัมพันธ์กับความจริง  เช่น  วาดวงกลมแทนหัวคน  ขีดเส้นแทนแขนขา  แต่เด็กวัยนี้จะยังใช้สีที่ไม่สัมพันธ์กับความเป็นจริง  เช่น  เขาอาจระบายสุนัขเป็นสีชมพู  ระบายท้องฟ้าเป็นสีม่วง  ฯลฯ

7 – 9 ปี  :  ผสมผสานรูปทรง


จอมซนวัยนี้เป็นวัยที่วาดรูปทรงได้แล้ว  และสามารถนำรูปทรงมาผสมผสานในภาพวาดได้  ภาพวาดจึงเริ่มมีรายละเอียดมากขึ้น  เช่น  บ้านรูปสี่เหลี่ยม  หลังคารูปสามเหลี่ยม  และเริ่มระบายสีให้ตรงกับความเป็นจริง  เช่น  กิ่งไม้สีน้ำตาล  และใบไม้สีเขียว  ลักษณะพิเศษในช่วงวัยนี้  คือ  ภาพที่สามารถมองได้ทะลุเหมือนภาพเอ็กซ์เรย์  เช่น  เขาวาดบ้านสี่เหลี่ยมเป็นกำแพง  แต่ในสี่เหลี่ยมนั้นจะมีรายละเอียดของสิ่งที่อยู่ในตัวบ้าน  ราวกับสามารถมองทะลุเข้าไปได้ด้วย




































9 – 11 ปี  :  สมจริงสมจัง


ภาพของลูกวัยโตจะเหมือนธรรมชาติมากขึ้น  ไม่ว่าจะเป็นการใช้สี  หรือการถ่ายทอดความคิดต่างๆ ออกมาเป็นรายละเอียดตามจริง  ภาพวาดคนก็จะแยกชัดเจนระหว่างเพศชายและเพศหญิง  เช่น  ผู้ชายตัวสูงใหญ่สวมกางเกง  ผู้หญิงตัวเล็ก  แต่งหน้า  และสวมกระโปรง  เนื่องจากเด็กวัยนี้มีความเข้าใจในเรื่องต่างๆ ได้มากขึ้น  คุณพ่อคุณแม่จึงสอนเรื่องสัดส่วนและองค์ประกอบของภาพให้เขาได้บ้างแล้ว



























12 ปีขึ้นไป  :  มีเหตุมีผล


เป็นช่วงวัยที่การวาดภาพเริ่มมีเหตุและผลเข้ามาเกี่ยวข้อง  กล่าวคือ  มีความซับซ้อน  มีแสงเงา  และมีมิติมากขึ้น  หากสังเกตภาพบ้านของเด็กวัยนี้  ก็จะเห็นว่าบ้านไม่ใช่ภาพ 2 มิติแบนๆ อีกแล้ว  แต่จะมีความลึกของบ้านเพิ่มเข้ามา  หรือภาพวิวก็จะมีองค์ประกอบของภาพ  มีการซ้อนทับของภาพ  เช่น  คนที่อยู่ใกล้จะตัวใหญ่  ข้างหลังคนมีถนน  ไกลออกไปหากมีบ้านหรือต้นไม้ก็จะมีขนาดเล็ก  เพราะตั้งอยู่ไกลออกไป





























ส่งเสริมถูกวิธี เป็นศิลปินสุดล้ำได้ทุกคน


  • เริ่มด้วยแรงบันดาลใจ :  สร้างแรงบันดาลใจให้ลูกน้อย  โดยเริ่มจากชวนลูกขีดเขียน  วาดรูปให้ดู  แล้วเล่าเรื่องประกอบไปด้วยเรื่อยๆ  นอกจากจะทำให้ลูกอยากวาดตามแล้ว  เขายังจะได้เรียนรู้วิธีการถ่ายทอดความคิดออกมาเป็นภาพวาดอีกด้วย
  • งดคำตำหนิและล้อเลียน :  เวลาที่ลูกวาดไม่เหมือนหรือวาดสิ่งที่ไม่มีอยู่จริง  ต้องไม่ตำหนิและไม่ล้อเลียนเขา  เพราะจะทำให้ลูกเสียความมั่นใจ  และหมดกำลังใจวาดรูปต่อไป
  • กระตุ้นด้วยคำถามและคำชม :  การตั้งคำถาม เช่น  “หนูกำลังวาดอะไร  วาดน้องหรือจ๊ะ  น้องใส่เสื้อผ้าแบบไหน  กำลังทำอะไรอยู่”  ถามทีละคำถาม  แล้วฟังคำตอบของเขาอย่างตั้งใจ  จากนั้นจึงชื่นชมหรือให้คำแนะนำ  เพื่อเป็นกำลังใจให้เขาสามารถวาดภาพอย่างสร้างสรรค์ได้ต่อไป
  • ตั้งหัวข้อสำหรับสุดยอดงานศิลปะ :  การกำหนดโจทย์  เช่น  “ถ้าฝนตกทั้งวันจะเกิดอะไรขึ้น”  หรือการกำหนดหัวข้อภาพ  เช่น  “รถในฝัน”  เพื่อให้เขารู้จักคิดนอกกรอบ  และฝึกฝนการถ่ายทอดความคิดออกมาเป็นภาพวาด
  • อุปกรณ์ใครคิดว่าไม่สำคัญ :  ของดีไม่ใช่ของแพงเสมอไป  แต่คุณพ่อคุณแม่ควรเลือกอุปกรณ์ศิลปะให้เหมาะสมตามวัยของเด็ก  เช่น  เลือกใช้สีแท่งขนาดเหมาะมือที่ปราศจากสารเคมีอันตรายให้ลูกเล็ก  หรือเลือกใช้กระดาษแผ่นใหญ่  ให้เด็กได้นั่งวาดนอนวาดบนพื้นร่วมกับคุณพ่อคุณแม่  เขาก็จะยิ่งสนุกและมีทัศนคติที่ดีกับงานศิลปะมากขึ้น

สังเกตให้ดี ภาพวาดบอก IQ  EQ  SQ 


ถ้าเราจะดูว่าเด็กคนไหน ไอคิวค่อนข้างดีกับไอคิวต่ำกว่าวัย  เราดูได้ง่ายๆ ด้วยภาพวาดของเด็ก  ยิ่งรูปวาดมีรายละเอียดมากเท่าใด  ยิ่งเป็นการสะท้อนสติปัญญา  ว่าลูกมีความเข้าใจเรื่องของสัดส่วน  และสามารถสะท้อนภาพให้เหมือนจริงหรือตรงกับภาพในจิตนาการได้หรือไม่  ยิ่งโตขึ้น  ความซับซ้อนและมิติของภาพจึงควรจะมีมากขึ้นด้วย  นอกจากนี้ภาพวาดยังบอกได้ด้วยว่า  ลูกน้อยมีพัฒนาการด้านสังคมอย่างไร  ภาพวาดครอบครัวที่มีความสุข  ภาพวาดกลุ่มเพื่อนที่เล่นกันสนุกสนาน  หรือกลุ่มคนที่ยิ้มแย้มแจ่มใส  ล้วนสะท้อนถึงประสบการณ์ที่เขาได้พบเจอในสังคม  รวมทั้งบ่งบอกอารมณ์และทัศนคติของเขาที่มีในขณะนั้น  เพราะการวาดรูปเป็นการสื่อสารที่เด็กจะรู้สึกสบายใจ  และสามารถระบายความคิดรวมถึงสิ่งที่อยู่ในใจของเขาออกมาได้มากที่สุดแล้วค่ะ




ที่มา  ::   เว็บไซต์  amarinbabyandkids.com