กระเจี๊ยบแดง สรรพคุณดีงาม ลดความดัน ไขมัน บำรุงหัวใจ
กระเจี๊ยบ สมุนไพรไทยสีแดงแรงฤทธิ์
กระเจี๊ยบแดงมีชื่อทางวิทยาศาตร์ว่า Hibiscus sabdaiffa L. ชื่อภาษาอังกฤษของกระเจี๊ยบแดงคือ Jamaica sorrel หรือ Roselle ส่วนในบ้านเราเรียกกันทั้งกระเจี๊ยบแดง กระเจี๊ยบ กระเจี๊ยบเปรี้ยว ผักเก็งเค็ง ส้มเก็งเค็ง ส้มตะเลงเครง ส้มปู เป็นต้น
ถิ่นกำเนิดของกระเจี๊ยบแดงอยู่ในแถบแอฟริกาตะวันตก จากนั้นได้มีการนำกระเจี๊ยบแดงมาปลูกในประเทศแถบเส้นศูนย์สูตรทั่วไป ต้นกระเจี๊ยบจะชอบแดดจัดและจะเติบโตได้ดีในดินที่มีความชุ่มชื้นพอเหมาะ ดังนั้นกระเจี๊ยบจึงปลูกในบ้านเราได้สบาย ๆ กลายเป็นพืชสมุนไพรที่หาง่ายมาก ๆ

ส่วนดอกกระเจี๊ยบมีสีเหลือง กลางดอกมีสีม่วงอมแดง ขนาดความดอกกว้างประมาณ 4-5 เซนติเมตร ดอกกระเจี๊ยบจะออกเดี่ยวหรือดอกคู่ตามซอกใบ ในดอกกระเจี๊ยบมีเกสรตัวผู้เชื่อมกันเป็นหลอด ผลเผ็นผลแห้ง แตกได้ มีกลีบเลี้ยงสีแดงฉ่ำน้ำหุ้มไว้

คุณค่าทางโภชนาการของกระเจี๊ยบแดง
ตารางแสดงคุณค่าทางโภชนาการของอาหารไทยจากกองโภชนาการ กรมอนามัย แสดงคุณค่าทางโภชนการของใบกระเจี๊ยบในปริมาณ 100 กรัม ดังนี้
พลังงาน 48 กิโลแคลอรี
น้ำ 87.9 กรัม
โปรตีน 1.7 กรัม
ไขมัน 0.1 กรัม
คาร์โบไฮเดรต 10.1 กรัม
ไฟเบอร์ 1.3 กรัม
เถ้า 0.2 กรัม
แคลเซียม 9 มิลลิกรัม
ฟอสฟอรัส 4 มิลลิกรัม
เหล็ก 0.8 มิลลิกรัม
ไทอะมีน 0.11 มิลลิกรัม
ไรโบฟลาวิน 0.24 มิลลิกรัม
ไนอะซิน 4.5 มิลลิกรัม
วิตามินซี 44 มิลลิกรัม

สรรพคุณของกระเจี๊ยบแดง
คราวนี้เรามาดูสรรพคุณของกระเจี๊ยบแดงกันบ้างดีกว่า กระเจี๊ยบแดง สรรพคุณจะแรงฤทธิ์เหมือนสีที่แจ่มจรัสไหม ตามมาดูกันค่ะ
1. ลดไข้
ในกระเจี๊ยบมีสารพฤกษเคมีที่สำคัญ คือ สารต้านอนุมูลอิสระทั้งสารในกลุ่มฟีนอลิก สารกลุ่มฟลาโวนอยด์ และสารในกลุ่มแอนโธไซยานิน ซึ่งจากข้อมูลทางวิชาการแสดงให้เห็นว่า สารพฤกษเคมีดังกล่าวมีฤทธิ์ในการต้านอนุมูลอิสระ ลดไข้ และต้านการอักเสบ นอกจากนี้วิตามินซีในกระเจี๊ยบยังมีส่วนช่วยเสริมความแข็งแรงให้ระบบภูมิคุ้มกันร่างกายด้วยนะคะ

2. แก้ไอ ละลายเสมหะ
ในตำรับยาแผนโบราณพบว่าใบกระเจี๊ยบมีฤทธิ์แก้ไอ ละลายเสมหะ ขับเมือกมันในลำคอให้ไหลลงสู่ทวารหนัก ทั้งยังช่วยแก้โรคพยาธิตัวจี๊ดได้อีกต่างหาก
3. ขับปัสสาวะ
จากการศึกษาให้ผู้ป่วยดื่มน้ำสกัดกลีบเลี้ยงของกระเจี๊ยบแดง พบว่า กระเจี๊ยบแดงมีฤทธิ์ขับปัสสาวะได้ดี โดยในการทดลองได้ใช้กลีบเลี้ยงกระเจี๊ยบแดงตากแห้ง บดเป็นผง 3 กรัม ชงน้ำเดือด 1 ถ้วยแก้ว หรือประมาณ 300 มิลลิลิตร ให้ผู้ป่วยดื่มวันละ 3 ครั้ง เป็นเวลา 1 ปี ส่วนในตำราพื้นบ้าน แนะนำให้นำกลีบเลี้ยงของกระเจี๊ยบแดงมาชงกับน้ำร้อนดื่มเป็นยาขับปัสสาวะได้
4. แก้กระหาย ให้ร่างกายสดชื่น

ดอกกระเจี๊ยบมีรสเปรี้ยว เพราะมีวิตามินซี และกรดซิตริก จึงช่วยขับน้ำลายและแก้กระหาย โดยนำดอกกระเจี๊ยบตากแห้ง ต้มในน้ำเดือดเป็นน้ำกระเจี๊ยบหอมหวานชื่นใจ
5. รักษาแผลในกระเพาะอาหาร
ดอกกระเจี๊ยบมีสรรพคุณต้านการอักเสบ และมีสรรพคุณช่วยรักษาแผลในกระเพาะอาหาร หล่อลื่นลำไส้ และเป็นยาระบายอ่อน ๆ
6. ลดไขมันในเลือด
ส่วนเมล็ดของกระเจี๊ยบแดงมีสรรพคุณช่วยลดไขมันและคอเลสเตอรอลในเลือด โดยนำเมล็ดกระเจี๊ยบตากแห้งมาบดให้เป็นผง จากนั้นนำมาชงกับน้ำร้อนหรือต้มน้ำดื่ม ช่วยลดไขมันในเลือด บำรุงเลือด ขับน้ำดี แก้ปัสสาวะขัด
- 10 สมุนไพรพื้นบ้านลดไขมันในเลือด อาหารเป็นยาคู่ครัวไทย
7. ป้องกันโรคหัวใจ

สารแอนโธไซยานินที่ทำให้กลีบเลี้ยงของดอกกระเจี๊ยบมีสีแดง เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยทำให้เลือดไม่หนืด ช่วยลดไขมันเลวในเส้นเลือด จึงป้องกันไม่ให้หลอดเลือดแข็งตัว ป้องกันหัวใจขาดเลือด และลดความเสี่ยงการเกิดโรคหัวใจ โดยนิยมนำกระเจี๊ยบแดงไปต้มกับพุทราจีน เพื่อบำรุงหัวใจ
- น้ำกระเจี๊ยบพุทราจีน สองเพื่อนซี้คู่หูสมุนไพรคู่สุขภาพ
8. รักษาแผล
ใบของกระเจี๊ยบมีสรรพคุณในการต้านอาการอักเสบ จากตำรับยาแผนโบราณจะพบว่ามีการนำใบสดของกระเจี๊ยบแดง ล้างให้สะอาด และตำให้ละเอียด จากนั้นนำมาประคบฝีหรือต้มใบแล้วนำน้ำต้มใบมาล้างแผล ก็จะช่วยบรรเทาอาการแผลให้หายเร็วขึ้น นอกจากนี้ ใบยังมีวิตามินเอ สามารถทานบำรุงสายตาได้
9. ป้องกันโลหิตจาง
กระเจี๊ยบแดงมีธาตุเหล็ก ซึ่งเป็นแร่ธาตุที่สำคัญของฮีโมโกลบิน อีกทั้งความเป็นกรดของสารพฤกษเคมีในดอกกระเจี๊ยบแดงยังช่วยเพิ่มการดูดซึมและการกระจายแร่ธาตุต่าง ๆ ในร่างกาย ส่งผลให้กระเจี๊ยบแดงช่วยป้องกันภาวะโลหิตจางได้
10. ลดน้ำตาลในเลือด

จากการศึกษากับผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ที่ได้รับชากระเจี๊ยบแดง 3 กรัม ชงกับน้ำร้อน 150 มิลลิลิตร ติดต่อกันเป็นเวลา 1 เดือน พบว่า ระดับน้ำตาลในเลือดของอาสาสมัครลดลงสูงสุดจาก 162.1 เป็น 112.5 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร จากกลไกทางชีวภาพของสารพฤกษเคมีที่ช่วยลดการย่อยและการดูดซึมน้ำตาลโมเลกุลเดี่ยวและโมเลกุลคู่ผ่านการยับยั้งเอนไซม์แอลฟา-อะไมเลส แลแอลฟา-กลูโคซิเดส
- 15 สมุนไพรรักษาเบาหวาน บำรุงสุขภาพก็ได้ ลดน้ำตาลก็ดีไม่เบา
11. ลดความดันโลหิต
จากการศึกษาทางคลินิกในอาสาสมัครที่มีความเสี่ยงภาวะความดันโลหิตสูง โดยให้อาสาสมัครดื่มชากระเจี๊ยบแดง 1.25 กรัม ชงกับน้ำร้อน 240 มิลลิลิตร วันละ 3 ครั้ง ติดต่อกันเป็นเวลา 6 สัปดาห์ พบว่า ความดันโลหิตของอาสาสมัครลดลง 7.2 มิลลิเมตรปรอท (ขณะหัวใจบีบตัว) และ 3.1 มิลลิเมตรปรอท (ขณะหัวใจคลายตัว)
12. ปกป้องไต
การศึกษาในคลินิกที่ให้อาสาสมัครดื่มน้ำกระเจี๊ยบแดง 24 กรัมต่อวัน พบว่า สารพฤกษเคมีในกระเจี๊ยบแดงมีส่วนช่วยขับครีเอตินิน กรดยูริก ซิเตรต ทราเทรต แคลเซียม โพแทสเซียม และฟอสเฟต และในข้อมูลสัตว์ทดลองยังพบว่า กรดของสารพฤกษเคมีในดอกกระเจี๊ยบแดงขนาด 750 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม สามารถป้องกันและยับยั้งการพัฒนาของก้อนนิ่วได้ ทว่าผลการยับยั้งนิ่วในคนยังต้องศึกษากันต่อไป
13. ฆ่าเชื้อแบคทีเรียในทางเดินปัสสาวะ
มีการศึกษาที่ยืนยันว่า กระเจี๊ยบแดงมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรียในทางเดินปัสสาวะ โดยสารในกระเจี๊ยบแดงจะทำให้ปัสสาวะเป็นกรดจึงช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรียในทางเดินปัสสาวะได้

ข้อควรระวังของกระเจี๊ยบแดง
ส่วนกระเจี๊ยบแดงที่ถูกใช้มากที่สุดก็เป็นกลีบเลี้ยงหรือที่หลายคนเข้าใจว่าเป็นส่วนดอกของกระเจี๊ยบนั่นเองค่ะ และนอกจากทำน้ำกระเจี๊ยบดื่มแก้กระหายแล้ว เรายังสามารถนำยอดและใบอ่อนของกระเจี๊ยบมาปรุงอาหาร หรือคั้นเอาสีแดงของกลีบดอกมาแต่งสีอาหารได้ด้วยนะคะ
ประโยชน์ของกระเจี๊ยบแดง , ประโยชน์ของน้ำกระเจี๊ยบ , Jamaica Sorrel , น้ำกระเจี๊ยบ , Roselle Juice. , Jamaica Sorrel , Red Sorrel , Roselle , Rosella , Jamaican sorel , Roselle , Rozelle , Sorrel , Red sorrel , Kharkade , Karkade , Vinuela , Cabitutu , กระเจี๊ยบแดง
ที่มา :: กองโภชนาการ กรมอนามัย, ฐานข้อมูลพรรณไม้ องค์การสวนพฤกษศาสตร์, โครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชฯ, ศูนย์การศึกษาต่อเนื่องทางเภสัชศาสตร์, สำนักงานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล, สำนักบริการวิชาการ มหาวิทยาลัยบูรพา, คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น , https://health.kapook.com/view78814.html
สรรพคุณของกระเจี๊ยบแดง
ตอบลบ- เป็นยาลดไขมันในเส้นเลือด และช่วยลดน้ำหนักด้วย
- ลดความดันโลหิตได้โดยไม่มีผลร้ายแต่อย่างใด
- น้ำกระเจี๊ยบทำให้ความเหนียวข้นของเลือดลดลง
- ช่วยรักษาโรคเส้นโลหิตแข็งเปราะได้ดี
- น้ำกระเจี๊ยบยังมีฤทธิ์ขับปัสสาวะ เป็นการช่วยลดความดันอีกทางหนึ่ง
- ช่วยย่อยอาหาร เพราะไม่เพิ่มการหลั่งของกรดในกระเพาะ
- เพิ่มการหลั่งน้ำดีจากตับ
- เป็นเครื่องดื่มที่ช่วยให้ร่างกายสดชื่น เพราะมีกรดซีตริคอยู่ด้วย
- ส่วนใบ แก้โรคพยาธิตัวจี๊ด ยากัดเสมหะ แก้ไอ ขับเมือกมันในลำคอ ให้ลงสู่ทวารหนัก
- ส่วนของดอก แก้โรคนิ่วในไต แก้โรคนิ่วในกระเพราะปัสสาวะ ขัดเบา ละลายไขมันในเส้นเลือด กัดเสมหะ ขับเมือกในลำไส้ให้ลงสู่ทวารหนัก
- ส่วนของผล ลดไขมันในเส้นเลือด แก้กระหายน้ำ รักษาแผลในกระเพาะ
- เมล็ด บำรุงธาตุ บำรุงกำลัง แก้ดีพิการ ขับปัสสาวะ ลดไขมันในเส้นเลือด
นอกจากนี้ได้บ่งสรรพคุณโดยไม่ได้ระบุว่าใช้ส่วนใด แก้อ่อนเพลีย บำรุงกำลัง บำรุงธาตุ แก้ดีพิการ แก้ปัสสาวะพิการ แก้คอแห้งกระหายน้ำ แก้ความดันโลหิตสูง กัดเสมหะ แก้ไอ ขับเมือกมันในลำไส้ ลดไขมันในเลือด บำรุงโลหิต ลดอุณหภูมิในร่างกาย แก้โรคเบาหวาน แก้เส้นเลือดตีบตัน
คุณค่าด้านอาหาร
น้ำกระเจี๊ยบแดง มีรสเปรี้ยว นำมาต้มกับน้ำ เติมน้ำตาล ดื่มแก้ร้อนใน กระหายน้ำ และช่วยป้องกันการจับตัวของไขมันในเส้นเลือดได้ และยังนำมาทำขนมเยลลี่ แยม หรือใช้เป็นสารแต่งสี ใบอ่อนของกระเจี๊ยบเป็นผักได้ หรือใช้แกงส้ม รสเปรี้ยวกำลังดี กระเจี๊ยบเปรี้ยวมีชื่อเรียกอีกชื่อว่า "ส้มพอเหมาะ" ในใบมี วิตามินเอ ช่วยบำรุงสายตา ส่วนกลีบเลี้ยงและกลีบดอก มีสารแคลเซียม ช่วยบำรุงกระดูกและฟันให้แข็งแรง
โทษของกระเจี๊ยบแดง
- กระเจี๊ยบแดงอาจทำให้เกิดอาการท้องเสียได้ในผู้ป่วยบางราย เพราะมีฤทธิ์เป็นยาระบาย
- น้ำกระเจี๊ยบมีฤทธิ์เป็นยาขับปัสสาวะ แม้ว่าจะมีความเป็นพิษต่ำมาก แต่ก็ไม่ควรดื่มในปริมาณเข้มข้นและติดต่อกันนาน ๆ เพราะจะไม่เกิดผลดีต่อสุขภาพ
15 สรรพคุณของกระเจี๊ยบแดง ประโยชน์ในการรักษาโรค
ตอบลบ1. กระเจี๊ยบแดงเป็นยาสมุนไพรประจำบ้านที่มีสรรพคุณช่วยดับกระหายน้ำ คลายร้อน แก้อาการคอแห้ง โดยน้ำกระเจี๊ยบแดงจะทำให้ร่างกายหายอ่อนเพลีย บำรุงกำลัง ลดอุณหภูมิในร่างกายและแก้ร้อนในได้ดี และช่วยขับเสมหะ แก้ไอ
2. สรรพคุณของกระเจี๊ยบแดงช่วยลดน้ำหนัก ลดไขมันได้ กระเจี๊ยบแดงได้รับการยืนยันจากผู้ที่ใช้ผลิตภัณฑ์ในกลุ่มของอาหารซึ่งมีสารสกัดจากกระเจี๊ยบแดงผสมอยู่ด้วย พบว่าสามารถช่วยลดไขมันและลดน้ำหนักได้เป็นอย่างดี
3. กระเจี๊ยบแดงใช้ประโยชน์เป็นยาระบายที่ดีและปลอดภัยต่อร่างกาย มีคุณสมบัติช่วยขับปัสสาวะ ดูแลระบบทางเดินปัสสาวะ ขับนิ่ว ขับน้ำดี
4. กระเจี๊ยบแดงมีสารต้านอนุมูลอิสระอย่างสารแอนโทไซยานินและสารโฟลีฟีนอลสูง ซึ่งช่วยป้องกันอนุมูลอิสระ ลดโอกาสจะเกิดโรคมะเร็ง และยังปกป้องเซลล์ไม่ให้ถูกทำลายและเสื่อมสภาพก่อนวัย ผิวพรรณไม่เหี่ยวย่น ดูอ่อนกว่าวัย
5. กระเจี๊ยบแดงในส่วนของใบอ่อนมีฤทธิ์ช่วยบำรุงสายตา เพราะเป็นแหล่งของวิตามินเอ จึงทำให้การทำงานของสายตาเป็นปกติและดูแลดวงตาให้มองเห็นได้ชัดเจน
6. กระเจี๊ยบแดงอุดมด้วยธาตุแคลเซียม ซึ่งจะช่วยให้กระดูกและฟันแข็งแรง ไม่เป็นโรคกระดูกพรุนได้ง่าย
7. กระเจี๊ยบแดงมีสรรพคุณช่วยสลายไขมันในเส้นเลือด ลดการอุดตันของเส้นเลือด และลดระดับของคอเลสเตอรอลและไขมันชนิดไม่ดีลงได้อย่างดี ในทางกลับกันก็ช่วยเพิ่มปริมาณของไขมันชนิดดีให้แก่ร่างกาย
8. ประโยชน์ของกระเจี๊ยบแดงรักษาโรคความดันโลหิตสูงได้ ทำให้การไหลเวียนของเลือดดี ช่วยบำรุงเลือด สามารถทำให้ความเหนียวของเลือดลดลง ป้องกันและรักษาโรคเส้นเลือดแข็งเปราะ
9. กระเจี๊ยบแดงมีสารสีแดงซึ่งอยู่ในกลุ่มเดียวกับบลูเบอร์รี และมีมากกว่าบลูเบอร์รีถึง 50 เปอร์เซ็นต์ โดยสารสีแดงนี้มีสรรพคุณช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันโรคให้แข็งแรง และป้องกันโรคหวัดได้ดี
10. กระเจี๊ยบแดงยังเป็นแหล่งวิตามินซี จึงช่วยรักษาและป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟัน
11. สรรพคุณกระเจี๊ยบแดงจะทำให้ระบบการย่อยอาหารดีขึ้น เพราะช่วยย่อยอาหาร หล่อลื่นลำไส้ ส่งผลให้อุจจาระนิ่มขึ้น ท้องไม่ผูก และมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อโรคในลำไส้ได้
12. กระเจี๊ยบแดงป้องกันการเกิดโรคกระเพาะอาหาร รักษาแผลในกระเพาะอาหารและลำไส้อักเสบ
13. กระเจี๊ยบแดงมีสรรพคุณช่วยบำรุงระบบประสาท ดูแลหัวใจให้แข็งแรงและทำงานเป็นปกติ แก้อาการของโรคเบาหวาน
14. กระเจี๊ยบแดงช่วยป้องกันโรคต่อมลูกหมากโตในเพศชาย และช่วยแก้อาการวัยทองในเพศหญิงได้
15. กระเจี๊ยบแดงมีสรรพคุณเป็นยาบำรุงไต รักษาอาการไตพิการ
ประโยชน์ของกระเจี๊ยบแดง
ตอบลบ✅ กระเจี๊ยบแดง ภาษาอังกฤษ Rosella, Jamaican sorel, Roselle, Rozelle, Sorrel, Red sorrel, Kharkade, Karkade, Vinuela, Cabitutu
✅ กระเจี๊ยบแดง ชื่อวิทยาศาสตร์ Hibiscus sabdariffa Linn.
จัดอยู่ในวงศ์ชบา (MALVACEAE)
✅ สรรพคุณ
1. กลีบเลี้ยงของดอกหรือกลีบที่เหลือที่ผล ใช้เป็นยาลดไขมันในเส้นเลือดและช่วยลดน้ำหนัก โดยมีการทดลองกับกระต่ายที่มีไขมันสูง แล้วพบว่าระดับไตรกลีเซอไรด์ คอเลสเตอรอล และระดับไขมันเลว (LDL) ลดลง และมีปริมาณของไขมันชนิดดี (HDL) เพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้ความรุนแรงของการอุดตันหลอดเลือดแดงใหญ่จากหัวใจก็น้อยลงกว่ากลุ่มที่ไม่ได้รับสารสกัดกระเจี๊ยบแดงอีกด้วย (ผล, เมล็ด, น้ำกระเจี๊ยบแดง)
2. ดอกกระเจี๊ยบแดงช่วยละลายไขมันในเส้นเลือด
3. เมล็ดใช้เป็นยาบำรุงธาตุ บำรุงกำลัง
4. ช่วยลดความดันโลหิต โดยไม่มีผลร้ายแต่อย่างใด มีรายงานการวิจัยทางคลินิกพบว่าในวันที่ 12 หลังผู้ป่วยได้รับชาชงกระเจี๊ยบแดงทุกวัน ค่าความดันโลหิตเมื่อหัวใจบีบตัวและคลายตัวลดลง 11.2% และ 10.7% ตามลำดับเมื่อเทียบกับวันแรก และ 3 วันหลังจากหยุดดื่มชาชง ความความดันโลหิตทั้งสองค่าก็เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ
5. น้ำกระเจี๊ยบช่วยทำให้ความเหนียวข้นของเลือดลดลง
6. ช่วยแก้เส้นเลือดตีบตัน ช่วยรักษาเส้นเลือดให้แข็งแรงและอ่อนนิ่มยืดหยุ่นได้ดี
7. ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง ช่วยป้องกันหวัด เนื่องจากกระเจี๊ยบแดงมีสารแอนโทไซยานิน (Anthocyanin) ซึ่งเป็นสารสีแดงในกลุ่มเดียวกับที่พบในผลไม้อย่างบลูเบอร์รี แต่กระเจี๊ยบแดงจะมีสารชนิดนี้มากกว่าบลูเบอร์รีถึง 50%
8. ช่วยรักษาโรคทางเดินปัสสาวะ นิ่วในไต แก้โรคนิ่วในกระเพาะปัสสาวะ ยับยั้งเชื้อแบคทีเรียในทางเดินปัสสาวะ ลดอาการกระเพาะปัสสาวะอักเสบ มีอาการปวดแสบ โดยใช้กระเจี๊ยบแห้งบดเป็นผงประมาณ 3 กรัม นำมาชงกับน้ำเดือด 1 ถ้วย ใช้ดื่มวันละ 3 ครั้ง ประมาณ 7 วัน หรือจนกว่าจะหาย ซึ่งจากรายงานการวิจัยพบว่าผู้ป่วยที่ดื่มน้ำกระเจี๊ยบแดงขนาด 3 กรัม ชงกับน้ำเดือด 1 แก้ว ดื่มวันละ 3 ครั้ง เป็นระยะเวลา 1 ปี พบว่าผู้ป่วยกว่า 80% มีปัสสาวะที่ใสขึ้นกว่าเดิม และยังพบว่าปัสสาวะมีความเป็นกรดมากขึ้น จึงช่วยในการฆ่าเชื้อในทางเดินปัสสาวะได้เป็นอย่างดี
9. ช่วยแก้อาการขัดเบา โดยใช้กลีบเลี้ยงของผลหรือกลีบรองดอกสีม่วงแดง นำมาตากแห้งแล้วบดให้เป็นผง นำมาใช้ครั้งละ 1 ช้อนชา (ประมาณ 3 กรัม) ใช้ชงกับน้ำเดือด 1 ถ้วย (ประมาณ 250 มิลลิลิตร) แล้วนำมาเฉพาะน้ำสีแดงใส วันละ 3 ครั้ง ดื่มติดต่อกันทุกวันจนกว่าอาการจะดีขึ้นและหายไป (น้ำกระเจี๊ยบแดง)
✅ ประโยชน์
1. กระเจี๊ยบมีสารแอนโทไซยานิน (Anthocyanin) และสารโพลีฟีนอล ซึ่งได้แก่ Protocatechuic Acid ที่มีฤทธิ์ต่อต้านอนุมูลอิสระ ช่วยป้องกันโรคมะเร็ง ช่วยชะลอความแก่ และช่วยให้เส้นเลือดอ่อนนิ่มได้
2. กระเจี๊ยบใช้ทำเป็นน้ำดื่มที่ช่วยทำให้ร่างกายสดชื่น เนื่องจากมีกรดซิตริกอยู่ด้วย
❎ โทษของกระเจี๊ยบแดง
1. กระเจี๊ยบแดงอาจทำให้เกิดอาการท้องเสียได้ในผู้ป่วยบางราย เพราะมีฤทธิ์เป็นยาระบาย
2. น้ำกระเจี๊ยบมีฤทธิ์เป็นยาขับปัสสาวะ แม้ว่าจะมีความเป็นพิษต่ำมาก แต่ก็ไม่ควรดื่มในปริมาณเข้มข้นและติดต่อกันนาน ๆ เพราะจะไม่เกิดผลดีต่อสุขภาพ