ประโยชน์ของกระเจี๊ยบเขียว 47 ข้อ !
1. ฝักกระเจี๊ยบเขียวมีเส้นใยอยู่มาก จึงช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้คงที่ได้ โดยช่วยรักษาระดับการดูดซึมน้ำตาลจากลำไส้ใหญ่ให้คงที่ กระเจี๊ยบเขียวจึงเป็นผักที่เหมาะอย่างมากสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวาน (ผล)
2. ใช้เป็นยาบำรุงสมอง (ผล)
3. ช่วยรักษาโรคความดันโลหิต รักษาความดันให้เป็นปกติ (ผล)
4. ผลช่วยแก้อาการหวัด รักษาหวัด (ผล)
5. ช่วยป้องกันอาการหลอดเลือดตีบตัน (ผล)
6. ใบช่วยขับเหงื่อ (ใบ)
7. ใบกระเจี๊ยบช่วยแก้โรคปากนกกระจอก (ใบ)
8. เส้นใยของกระเจี๊ยบยังช่วยกำจัดไขมันปริมาณสูงที่น้ำดี ซึ่งจะช่วยลดไขมันและคอเลสเตอรอลได้ คล้ายกับการกินยาลดไขมันและคอเลสเตอรอล (สแตติน) (ผล)
9. ช่วยกำจัดสารพิษออกจากร่างกายและช่วยลดคอเลสเตอรอล โดยเส้นใยของกระเจี๊ยบเป็นตัวช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลได้ โดยการจับกับน้ำดี ซึ่งมักจับสารพิษที่ร่างกายต้องการขับถ่ายที่ถูกส่งมาจากตับ และสารเมือกในฝักยังช่วยจับสารพิษเหล่านี้ ซึ่งการจับกับน้ำดีนี้จะเกิดในลำไส้และขับออกมาทางอุจจาระ ทำให้ไม่เหลือสารพิษตกค้างอยู่ในลำไส้ (ผล)
10. ผักกระเจี๊ยบเขียว สรรพคุณใช้เป็นยาระบายอ่อน ๆ (ผล)
11. การรับประทานฝักกระเจี๊ยบเป็นประจำจะช่วยรักษาโรคกระเพาะอาหาร เยื่อบุกระเพาะและลำไส้อักเสบ ช่วยในการทำงานของระบบขับถ่าย จึงช่วยในการขับถ่าย ทำให้ถ่ายอุจจาระได้คล่อง ช่วยป้องกันอาการท้องผูกได้เป็นอย่างดี และช่วยในการทำงานของระบบดูดซีมสารอาหาร ช่วยสนับสนุนการขยายพันธุ์ของแบคทีเรียที่มีประโยชน์ (โพรไบโอติกแบคทีเรีย) ช่วยลดความเสี่ยงของโรคแผลในกระเพาะอาหาร ป้องกันมะเร็งกระเพาะอาหารและมะเร็งลำไส้ใหญ่ (ผล)
12. ในฝักกระเจี๊ยบเขียวจะมีสารที่เป็นเมือกจำพวกเพกทิน (Pectin) และกัม (Gum) ที่มีคุณสมบัติช่วยในการเคลือบแผลในกระเพาะอาหารและลำไส้ได้ โดยป้องกันไม่ให้เกิดการลุกลามของแผลได้เป็นอย่างดี (ได้ผลดีเท่า ๆ กับยา Misoprotol) และยังช่วยยับยั้งเชื้อแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดแผลในกระเพาะอาหารได้ (ผล)
13.เมือกลื่นในฝักกระเจี๊ยบ ช่วยเคลือบกระเพาะอาหาร ทำให้กระเพาะไม่เกิดการระคายเคือง ช่วยทำให้อาหารถูกย่อยในลำไส้ได้สะดวกมากยิ่งขึ้น (ผล)
14. ช่วยแก้บิด ด้วยการใช้ผลแก่นำมาบดเป็นผงใช้ผสมกับน้ำดื่มแก้อาการ (ผล)
15. ช่วยบรรเทาอาการปวดท้องของโรคกระเพาะ หรือในผู้ป่วยที่เยื่อบุกระเพาะและลำไส้อักเสบ (ผล)
16. ช่วยแก้อาการกรดไหลย้อนกลับ ด้วยการนำฝักกระเจี๊ยบมาต้มในน้ำเกลือแล้วใช้กินแก้อาการ (ผล)
17. ช่วยขับพยาธิตัวจี๊ด (สาเหตุมาจากการได้รับตัวอ่อนของพยาธิที่อยู่ในเนื้อดิบ เช่น หมู เป็ด ไก่ กบ กุ้ง เนื้อปลา เป็นต้น) ด้วยการรับประทานฝักกระเจี๊ยบติดต่อกันเป็นเวลาอย่างน้อย 15 วัน แต่สำหรับบางรายต้องรับประทานเป็นเดือนจึงจะหาย (ผล)
18. ช่วยแก้อาการขัดเบา (ในอินเดีย) (ผล)
19. ในตำรายาแผนโบราณของจีน มีการนำราก เมล็ด และดอกกระเจี๊ยบ สรรพคุณใช้เป็นยาขับปัสสาวะ ส่วนในประเทศอินเดียนั้นจะใช้ฝักนำมาต้มกับน้ำดื่มเพื่อช่วยขับปัสสาวะเมื่อมีอาการกระเพาะปัสสาวะและทางเดินปัสสาวะอักเสบ หรือเมื่อปัสสาวะขัด (ผล, ราก, เมล็ด, ดอก)
20. ในอินเดียใช้ผลกระเจี๊ยบเป็นยารักษาโรคหนองใน (ผล)
21. รากนำมาต้มน้ำเพื่อใช้รักษาโรคซิฟิลิส (Syphilis) (ราก)
22. การรับประทานฝักกระเจี๊ยบเป็นประจำสามารถช่วยบำรุงตับได้ (ผล)
23. ดอกกระเจี๊ยบสามารถนำมาตำใช้พอกรักษาฝีได้ (ดอก)
24. ในเนปาลนำน้ำคั้นจากรากมาใช้เพื่อล้างแผลและแผลพุพอง (ราก)
25. ยางจากผลสดใช้เป็นยารักษาแผลสดเมื่อถูกของมีคมบาด หรือใช้ยางกระเจี๊ยบทาแผล จะช่วยทำให้แผลหายเร็วขึ้น และไม่ทำให้เกิดแผลเป็น (ยางจากผล)
26. ในอินเดียมีการใช้เมล็ดนำมาบดผสมกับนม ใช้ทาผิวหนังเพื่อแก้อาการคัน (เมล็ด)
27.ใบกระเจี๊ยบใช้ผสมกับสมุนไพรชนิดอื่น นำมาประคบเพื่อลดอาการอักเสบปวดบวมได้ และช่วยทำให้ผิวหนังชุ่มชื้นไม่แตกแห้ง (ใบ)
28. ใช้เป็นยาบำรุงข้อกระดูก โดยมีการเล่ากันว่าชาวชุมชนมุสลิมทางภาคใต้สมัยก่อน จะนิยมกินผักที่เป็นเมือก เช่น ผักกูด และกระเจี๊ยบเขียว เพื่อช่วยเพิ่มไขมันหรือเมือกให้ข้อกระดูก โดยเชื่อว่าจะทำให้หัวเข่าหรือข้อต่อกระดูกมีน้ำเมือกมากขึ้น ทำให้ไม่เกิดการบาดเจ็บและช่วยให้ทำงานได้ดีขึ้น เสมือนเป็นน้ำหล่อเลี้ยง (ผล)
29.ผลกระเจี๊ยบมีเมือกลื่นที่ช่วยทำให้ผิวหนังชุ่มชื้นไม่แห้งแตก บางคนจึงนิยมนำผลอ่อนมาพอกผิวเมื่อมีอาการแสบร้อน (ผล)
30. การรับประทานกระเจี๊ยบเป็นประจำจะช่วยเสริมสร้างพัฒนาการของทารกในครรภ์และช่วยเสริมสร้างเม็ดเลือดแดง เนื่องจากมีโฟเลตสูง โดยฝักแห้ง 40 ฝักจะเทียบเท่ากับปริมาณที่แนะนำให้รับประทานในแต่ละวัน (ผล)
ประโยชน์ของกระเจี๊ยบเขียว
31. ฝักอ่อนหรือผลอ่อนใช้เป็นผักจิ้มรับประทาน โดยนำมาต้มให้สุกหรือย่างไฟก่อน หรือนำมาใช้ทำแกงต่าง ๆ เช่น แกงส้ม แกงเลียง แกงจืด ใช้ใส่ในยำต่าง ๆ ใช้ชุบแป้งทอด ทำเป็นสลัดหรือซุปก็ได้
32. เมนูกระเจี๊ยบเขียว เช่น แกงส้มกระเจี๊ยบเขียว แกงเลียงกระเจี๊ยบเขียว แกงจืดกระเจี๊ยบเขียวยัดไส้ แกงกะหรี่ปลาใส่กระเจี๊ยบเขียว กระเจี๊ยบเขียวผัดผงกะหรี่ ผัดเมล็ดกระเจี๊ยบเขียว กระเจี๊ยบผัดขิงอ่อน ห่อหมกกระเจี๊ยบเขียว กระเจี๊ยบต้มกะทิปลาสลิด ยำกระเจี๊ยบเขียว กระเจี๊ยบเขียวชุบแป้งทอด สลัดกระเจี๊ยบเขียว ชากระเจี๊ยบเขียว เป็นต้น
33. สำหรับชาวอียิปต์มักใช้ผลกระเจี๊ยบรับประทานร่วมกับเนื้อสัตว์ หรือนำมาใช้ในการปรุงสตูว์เนื้อน้ำข้น สตูว์ผัก หรือนำไปดอง ส่วนประเทศสหรัฐอเมริกาทางตอนใต้จะใช้ผลอ่อนนำมาต้มเป็นสตูว์กับมะเขือเทศที่เรียกว่า “กัมโบ้” หรือทางตอนใต้ของอินเดียจะนำผลกระเจี๊ยบมาผัดหรือใส่ในซอสข้น ส่วนชาวฟิลิปปินส์จะใช้กินเป็นผักสดและนำมาย่างกิน และชาวญี่ปุ่นจะนำมาชุบแป้งทอดกินกับซีอิ้ว
34. ดอกอ่อนและตาดอกสามารถนำมารับประทานได้เช่นกัน
35. รากกระเจี๊ยบสามารถนำมารับประทานได้ แต่จะค่อนข้างเหนียวและไม่เป็นที่นิยม
36. แป้งจากเมล็ดแก่เมื่อนำมาบดสามารถนำมาใช้ทำเป็นขนมปังหรือทำเป็นเต้าหู้ได้
37. ใบตากแห้งนำมาป่นเป็นผงใช้โรยอาหารและช่วยชูรสชาติอาหารได้
38. ฝักที่นำมาตากแห้งแล้ว สามารถนำมาใช้ทำเป็นชาไว้ชงดื่มได้
39. เมล็ดกระเจี๊ยบนำมาคั่วแล้วบดสามารถนำมาใช้แทนเมล็ดกาแฟได้ หรือนำใช้ในการแต่งกลิ่นกาแฟ
40. ใบกระเจี๊ยบนำมาใช้เป็นอาหารวัวหรือใช้เลี้ยงวัวได้
41. กากเมล็ดมีโปรตีนมาก เหมาะสำหรับใช้เป็นอาหารเลี้ยงสัตว์
42. ในประเทศอินเดียมีการใช้เมล็ดกระเจี๊ยบเพื่อไล่ผีเสื้อเจาะผ้า
43. ในประเทศอินเดีย โรงงานผลิตน้ำตาลบางแห่งมีการใช้เมือกจากต้นนำมาใช้ในกระบวนการทำให้น้ำอ้อยสะอาด
44. เปลือกต้นกระเจี๊ยบ แม้จะไม่เหนียวนักแต่ก็สามารถนำมาใช้ทอกระสอบ ทำเชือก เชือกตกปลา ตาข่ายดักสัตว์ ใช้ถักทอเป็นผ้าได้ หรือทำเป็นกระดาษ ลังกระดาษก็ได้
45. เมือกจากผลกระเจี๊ยบสามารถนำมาใช้เคลือบกระดาษให้มันได้
46. กระเจี๊ยบเขียวเป็นพืชที่สามารถปลูกได้ตลอดปี จึงเป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญสำหรับเกษตรกรไทย เนื่องจากต่างประเทศมีการสั่งซื้อกระเจี๊ยบของไทยปีละหลายล้านบาท โดยมีบริษัทที่ทำโครงการปลูกกระเจี๊ยบเขียวอย่างครบวงจรมาร่วมมือกับเกษตรกรไทยในหลายพื้นที่ช่วยกันปลูกเพื่อส่งออก
47. สำหรับในต่างประเทศมีการนำกระเจี๊ยบเขียวไปผลิตแปรรูปได้อย่างหลากหลาย เช่น ใช้ในอุตสาหกรรมอาหาร ทำเป็นอาหารกระป๋อง อาหารแช่แข็ง หรืออาหารสำเร็จรูป เช่น กระเจี๊ยบเขียวอบแห้ง หรือนำไปใช้ในอุตสาหกรรมขนมหวาน รวมไปถึงอุตสาหกรรมเครื่องหอม อุตสาหกรรมยา เช่น ทำเป็นยาผงและแคปซูล
กระเจี๊ยบเขียว สรรพคุณและประโยชน์ของกระเจี๊ยบเขียว 47 ข้อ ! , ประโยชน์ของกระเจี๊ยบเขียว , กระเจี๊ยบเขียว , เมนูกระเจี๊ยบเขียว , Lady's Finger , Okra , Gumbo , Benefits of Okra , Okra Benefits , Okra water benefits , Okra water , น้ำกระเจี๊ยบ
ที่มา :: https://medthai.com/ , Medthai , https://prinkotakoon.blogspot.com/2025/05/okra_38.html




ประโยชน์ของ กระเจี๊ยบเขียว
ตอบลบ1. ช่วยลดน้ำตาลในเลือด เหมาะสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน และคนที่กำลังควบคุมน้ำตาล-น้ำหนัก
2. ลดอาการท้องผูก เพราะมีเมือกที่ช่วยให้อุจจาระอ่อนตัวขึ้น และยังมีใยอาหารที่ดีต่อการขับถ่าย
3. ลดคอเลสเตอรอลในร่างกาย
4. ลดความเสี่ยงในการเป็นโรคกระเพาะอาหาร เยื่อบุกระเพาะอาหารอักเสบ และลำอักเสบได้
5. ใครที่เป็นโรคกระเพาะอาหารอยู่แล้ว การทานกระเจี๊ยบเขียวพร้อมเมือกเหนียวๆ ใสๆ จะช่วยเข้าไปเคลือบแผลในกระเพาะอาหารได้อีกด้วย
6. ฝักกระเจี๊ยบต้มเกลืออ่อนๆ สามารถแก้อาการกรดไหลย้อนได้
7. มีโฟเลตสูง ช่วยเสริมสร้างเม็ดเลือดแดง และเป็นสิ่งจำเป็นต่อพัฒนาการของลูกน้อยในครรภ์ ดังนั้นจึงเหมาะกับหญิงมีครรภ์
8. บำรุงรักษาทางเดินปัสสาวะและโรคเกี่ยวกับเพศ
9. รักษาโรคพยาธิตัวจี๊ด เมื่อรับประทานติดต่อกันประมาณ 2 สัปดาห์
10. เพิ่มจำนวนแบคทีเรียมีประโยชน์ (พรีไบโอติก) เจริญเติบโตได้ดี ซึ่งช่วยลดแบคทีเรียชนิดไม่ดีในลำไส้ได้
11. เป็นผักที่มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง (กลูต้าไธโอน) มีส่วนช่วยในการต้านมะเร็ง
12. มีสารเพคตินมาก มีส่วนช่วยในการสมานผลภายในของสตรีหลังการคลอดบุตร
7 ประโยชน์กระเจี๊ยบเขียว ที่คุณอาจไม่รู้
ตอบลบกระเจี๊ยบเขียว ประโยชน์ทางด้านคุณค่าทางโภชนาการหลายด้าน นิยมทานสดๆ หรือนำไปประกอบอาหารต่างๆ สารพัดเมนู ไม่ใช่แค่รสชาติที่ดี แต่ด้วยสรรพคุณของกระเจี๊ยบเขียวนี่ ที่ทำให้ใครต่อใครก็หามาทานกันมากมาย
ประโยชน์ทางด้านคุณค่าทางโภชนาการ
กระเจี๊ยบเขียว มีคุณค่าทางโภชนาการหลายด้าน ได้แก่ คาร์โบไฮเดรต เส้นใยโปรตีน โฟเลต แคลเซียม ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม แมกนีเซียม เหล็ก วิตามินเอ วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 และวิตามินซี อยู่ในปริมาณพอสมควร ที่สำคัญกระเจี๊ยบเขียวมีกลูตาไธโอน (glutathione) มีบทบาทสำคัญต่อการควบคุมสารอนุมูลอิสระในร่างกาย การสร้างสารซ่อมแซมเซลล์ ทำปฏิกิริยาขจัดสารพิษที่เกิดในร่างกาย และช่วยต้านมะเร็งได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้กระเจี๊ยบเขียวยังเต็มไปด้วยเส้นใยอาหารชนิดไม่ละลายน้ำ ซึ่งเป็นส่วนของพืชผักที่ร่างกายย่อยไม่ได้ และเส้นใยที่ละลายน้ำได้ เช่น เพกทิน (pectin) และเมือก (mucilage) ซึ่งเกิดจากสารประกอบ acetyated acidic polysaccharide และกรดกาแล็กทูโลนิก (galactulonic caid)
ประโยชน์ขั้นเทพของ “กระเจี๊ยบเขียว”
1. ช่วยลดน้ำตาลในเลือด เหมาะสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน และคนที่กำลังควบคุมน้ำตาล-น้ำหนัก
2. ลดอาการท้องผูก เพราะมีเมือกที่ช่วยให้อุจจาระอ่อนตัวขึ้น และยังมีใยอาหารที่ดีต่อการขับถ่าย
3. ลดคอเลสเตอรอลในร่างกาย
4. ลดความเสี่ยงในการเป็นโรคกระเพาะอาหาร เยื่อบุกระเพาะอาหารอักเสบ และลำอักเสบได้
5. ใครที่เป็นโรคกระเพาะอาหารอยู่แล้ว การทานกระเจี๊ยบเขียวพร้อมเมือกเหนียวๆ ใสๆ จะช่วยเข้าไปเคลือบแผลในกระเพาะอาหารได้อีกด้วย
6. ฝักกระเจี๊ยบต้มเกลืออ่อนๆ สามารถแก้อาการกรดไหลย้อนได้
7. มีโฟเลตสูง ช่วยเสริมสร้างเม็ดเลือดแดง และเป็นสิ่งจำเป็นต่อพัฒนาการของลูกน้อยในครรภ์ ดังนั้นจึงเหมาะกับหญิงมีครรภ์
วิธีรับประทานกระเจี๊ยบเขียว
สามารถหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ ทานสดๆ ได้เลย หรือจะนำไปประกอบอาหารกับเมนูอื่นๆ นำไปย่างด้วยไฟอ่อนๆ หรือจะทานผสมกับน้ำผึ้ง น้ำมะนาว หรือไอศกรีมก็ได้
สรรพคุณของกระเจี๊ยบเขียว
ตอบลบช่วยเรื่องลำไส้ และระบบขับถ่าย
เส้นใยที่ละลายน้ำ และไม่ละลายน้ำ ของ กระเจี๊ยบเขียว มีคุณสมบัติช่วยการขับถ่ายได้เป็นอย่างดี โดยเส้นใยที่ละลายน้ำได้ มีคุณสมบัติในการดูดซับสารพิษ และขับถ่ายออกทางอุจจาระ ทำให้ไม่มีสารพิษตกค้างในลำไส้ ลดอาการ ปวดท้อง ท้องอืด ท้องเฟ้อ และช่วยลดความเสี่ยงในการเกิด มะเร็งลำไส้
รักษาโรคกระเพาะ และลำไส้อักเสบ
มีรายงานการศึกษาพบว่า สารประกอบไกลโคไซเลตในกระเจี๊ยบเขียว มีฤทธิ์ยับยั้งความสามารถของเชื้อแบคทีเรีย เฮลิโคแบ็กเตอร์ ไพโลริ (helicobacter pylori) ในการเกาะเยื่อบุผิวของกระเพาะอาหาร ซึ่งแบคทีเรียตัวนี้ เป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดแผลในกระเพาะอาหาร และแผลจากลำไส้เล็กส่วนต้น จึงทำให้ลดอาการปวดท้องลงได้
การกินฝักกระเจี๊ยบเขียว ช่วยลดอาการ แผลในกระเพาะอาหาร ความเป็นด่างอ่อน ๆ ของฝักกระเจี๊ยบเขียว และเมือกลื่นช่วย ลดกรดในกระเพาะอาหาร ทำได้โดยนำฝักกระเจี๊ยบเขียวตากแห้ง บดให้ละเอียด กินครั้งละ 1 ช้อนโต๊ะ วันละ 3-4 เวลา หลังอาหาร แล้วดื่มน้ำตาม
ช่วยแก้อาการกรดไหลย้อนกลับ
เนื่องจากกระเจี๊ยบเขียว เป็นผักที่มีเส้นใยอาหารสูงมาก ๆ ดีกับทางเดินอาหาร และในเมือกที่อยู่ข้างในกระเจี๊ยบเขียว พวกนี้จะมีคุณสมบัติในการ รักษาโรคกระเพาะ กรดไหลย้อน ได้เป็นอย่างดี
โดยการนำฝักกระเจี๊ยบมาต้มในน้ำเกลือ แล้วใช้กินแก้อาการกรดไหลย้อน
ป้องกันมะเร็ง
กระเจี๊ยบเขียว ถั่ว และธัญพืชต่าง ๆ มีโปรเตีนเลคตินอยู่ ซึ่งเป็นสารที่ได้รับการระบุไว้ในงานวิจัยหนึ่งว่า สามารถช่วยลดอัตราการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งได้ 63% และฆ่าเซลล์มะเร็งในร่างกายของมนุษย์ได้ถึง 72% นอกจากนี้ กระเจี๊ยบเขียวยังอุดมไปด้วยโฟเลท และยังมีส่วนช่วยต้านความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งเต้านมอีกด้วย
ต้านอนุมูลอิสระ
กระเจี๊ยบเขียวมีกลูตาไทโอน (glutathione) มีบทบาทสำคัญควบคุมสารอนุมูลอิสระในร่างกาย การสร้างสารซ่อมแซมเซลล์ และทำปฏิกิริยาขจัดสารพิษที่เกิดในร่างกายช่วยต้านมะเร็งได้เป็นอย่างดี ปัจจุบันนิยมใช้สารนี้เพื่อให้ผิวขาวขึ้น เพราะกลูตาไทโอนสามารถกดการทำงานของเอนไซม์ที่ผลิตเม็ดสีได้ชั่วคราว
เหมาะกับหญิงตั้งครรภ์ และให้นมบุตร
ตอบลบโฟเลท ซึ่งพบได้มากในกระเจี๊ยบเขียว เป็นสารอาหารที่จำเป็นต่อหญิงตั้งครรภ์ เพราะสามารถช่วยลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นระหว่างการตั้งครรภ์ได้มากมาย รวมถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดต่อบุตรในครรภ์ด้วย ผู้ที่ตั้งครรภ์ และให้นมบุตร จึงควรได้รับโฟเลทอย่างน้อย 400 มิลลิกรัม / วัน เพื่อให้แน่ใจว่าร่างกายได้รับโฟเลทอย่างเพียงพอ
รักษาเบาหวาน
สำหรับผู้ที่ป่วยโรคเบาหวาน และคอเลสเตอรอลสูง เส้นใยที่ละลายน้ำในกระเจี๊ยบเขียว จะช่วยลดการดูดซึมของคอเลสเตอรอล และน้ำตาลเข้าสู่ร่างกาย ช่วยในการขับถ่าย ซึ่งเป็นการช่วยกำจัดไขมันปริมาณสูงที่จับอยู่กับน้ำดีได้
นอกจากนี้ ยังมีงานวิจัยในปี 2011 ระบุว่า ผลจากเปลือก และเมล็ดของกระเจี๊ยบเขียว สามารถช่วยรักษาอาการเบาหวานในหนูทดลองได้ โดยหนูทดลองที่ได้รับผงกระเจี๊ยบเขียวเป็นเวลา 1 เดือน มีระดับน้ำตาล และไขมันในเลือดที่ลดลงมากกว่าหนูที่ไม่ได้รับผงกระเจี๊ยบเขียว
ช่วยให้หัวใจแข็งแรง
กระเจี๊ยบเขียวเป็นอาหารที่มีกากใยสูง และการกินอาหารที่มีกากใยสูง สามารถช่วยลดระดับของคลอเรสตอรอลในเลือดได้ จึงเป็นการลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคที่เกี่ยวกับหลอดเลือด และหัวใจได้ด้วยเช่นกัน
ขับปัสสาวะ
ในตำรายาแผนโบราณของจีน มีการนำราก เมล็ด และดอกกระเจี๊ยบ สรรพคุณใช้เป็นยาขับปัสสาวะ ส่วนในประเทศอินเดียนั้นจะใช้ฝักนำมาต้มกับน้ำดื่ม เพื่อช่วยขับปัสสาวะเมื่อมีอาการกระเพาะปัสสาวะ และทางเดินปัสสาวะอักเสบ หรือเมื่อปัสสาวะขัด (ผล, ราก, เมล็ด, ดอก)
ป้องกันกระดูกพรุน
กระเจี๊ยบเขียว อุดมไปด้วยวิตามินเค และแคลเซียม ซึ่งเป็นสารอาหารสำคัญ ที่ช่วยให้กระดูกแข็งแรง ไม่เปราะ ป้องกันอาการกระดูกพรุน และกระดูกหัก
ช่วยขับพยาธิตัวจี๊ด
สารสกัดจากกระเจี๊ยบเขียวด้วยแอลกอฮอล์ สามารถลดจำนวนพยาธิตัวจี๊ดในหนูถีบจักรได้ ดังนั้น ผู้ป่วยที่เป็นโรคพยาธิตัวจี๊ด นอกจากไปพบแพทย์ตามปกติแล้ว จึงควรกินกระเจี๊ยบเขียวติดต่อกันประมาณ 2 สัปดาห์ร่วมด้วย
รักษาแผลสด
ยางจากผลสดของกระเจี๊ยบเขียว สามารถช่วยรักษาแผลสดได้ เมื่อถูกของมีคนบาด ให้ใช้ยางจากฝักกระเจี๊ยบทาแผล แผลจะหายเร็ว และไม่เป็นแผลเป็น นอกจากนี้ ผลอ่อนของกระเจี๊ยบเขียวจะมีเมือกลื่น ซึ่งทำให้ผิวหนังชุ่มชื้น บางพื้นที่จึงนิยมนำมาพอกผิวหนังที่รู้สึกแสบร้อนจากแผลไหม้แสบร้อน ที่มีอาการไม่รุนแรงมากนัก
ข้อควรระวังในการรับประทานกระเจี๊ยบเขียว
ตอบลบกระเจี๊ยบเขียวนั้นกินดี มีประโยชน์ แต่ผู้ที่มีปัญหาสุขภาพบางอย่างดังต่อไปนี้ ควรระมัดระวังอย่างยิ่งไม่ให้รับประทานมากเกินไป
- คนที่มีปัญหาเกี่ยวลำไส้ หรือระบบทางเดินอาหาร ควรรับประทานแต่พอดี เพราะกระเจี๊ยบเขียวมีคาร์โบไฮเดรตชนิดที่ทำให้เกิดแก๊สในกระเพาะอาหาร ปวดบีบท้อง ท้องอืด หรือท้องเสียได้
- กระเจี๊ยบเขียวมีออกซาเลตสูง ซึ่งอาจเป็นปัจจัยเสี่ยงทำให้เกิดนิ่วในไต ที่เกิดจากแคลเซียมออกซาเลตได้
- คนที่กำลังใช้ยาต้านการแข็งตัวของเลือดไม่ควรรับประทานกระเจี๊ยบเขียวมากเกินไป เพราะผักชนิดนี้มีวิตามินเคที่ช่วยต้านการเกิดลิ่มเลือด
- ผู้ป่วยเบาหวานที่ต้องการใช้กระเจี๊ยบเขียวช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด ควรปรึกษาแพทย์ก่อนทุกครั้ง เพราะอาจทำปฏิกิริยากับยารักษาโรคเบาหวานที่ใช้อยู่ได้
จะเห็นได้ว่ากระเจี๊ยบเขียวมีสรรพคุณมากมายที่ช่วยรักษาโรค และทำให้เราสุขภาพดีขึ้นได้ แต่การรับประทานมากจนเกินไปก็อาจเกิดผลเสียได้ และควรออกกำลังกายอยู่เสมอ นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อสุขภาพที่แข็งแรง
ประโยชน์ของกระเจี๊ยบ
ตอบลบ1. ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด กระเจี๊ยบเขียวมีเส้นใยอาหารสูง ช่วยชะลอการดูดซึมน้ำตาลในลำไส้ เหมาะสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน
2. เสริมสร้างระบบย่อยอาหาร เส้นใยอาหารในกระเจี๊ยบช่วยป้องกันอาการท้องผูก กระตุ้นการทำงานของลำไส้ และส่งเสริมแบคทีเรียดีในระบบทางเดินอาหาร
3. ลดคอเลสเตอรอล กระเจี๊ยบช่วยลดการดูดซึมไขมันในร่างกาย จึงมีส่วนช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือด
4. ป้องกันโรคหัวใจ สารต้านอนุมูลอิสระในกระเจี๊ยบช่วยลดการอักเสบและลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ
5. ช่วยควบคุมน้ำหนัก กระเจี๊ยบมีแคลอรีต่ำและอุดมด้วยไฟเบอร์ ทำให้อิ่มนาน ลดการกินจุบจิบ
6. เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน วิตามินซีและสารต้านอนุมูลอิสระในกระเจี๊ยบช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันและลดโอกาสการติดเชื้อ
7. บำรุงผิวพรรณ สารต้านอนุมูลอิสระช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์ ลดเลือนริ้วรอย และช่วยให้ผิวพรรณเปล่งปลั่ง
8. ช่วยบำรุงกระดูกและฟัน กระเจี๊ยบมีแร่ธาตุอย่างแคลเซียมและแมกนีเซียมที่ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของกระดูกและฟัน
9. ป้องกันการเกิดมะเร็ง กระเจี๊ยบมีสารไฟโตนิวเทรียนท์ที่ช่วยลดการเกิดอนุมูลอิสระในร่างกาย ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดมะเร็ง
การรับประทานกระเจี๊ยบควรเลือกที่สดและล้างให้สะอาดก่อนนำไปปรุงอาหาร เพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุดจากสารอาหารในกระเจี๊ยบ