ชา สรรพคุณและประโยชน์ของชา ใบชา น้ำชา 36 ข้อ ! (Tea)
ชา ชื่อสามัญ Tea, Thea ชา ชื่อวิทยาศาสตร์ Camellia sinensis (L.) Kuntze จัดอยู่ในวงศ์ชา (THEACEAE)
สมุนไพรชา มีชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ ว่า เมี่ยง เมี่ยงป่า (ภาคเหนือ), ชา (ภาคกลาง), ลาบ่อ (อาข่า), นอมื่อ (กะเหรี่ยงแม่ฮ่องสอน), แต๊ (จีนแต้จิ๋ว), ฉา (จีนกลาง) เป็นต้น
สมุนไพรชา เป็นไม้ยืนต้นที่เชื่อว่ามีถิ่นกำเนิดมาจากเทือกเขาทางด้านตะวันตกเฉียงใต้ของจีน เนื่องจากมีหลักฐานการค้นพบต้นชาสายพันธุ์ดั้งเดิมหลายสายพันธุ์ที่เป็นพืชพื้นเมืองประจำถิ่นของมณฑลยูนนาน และภายหลังได้แพร่กระจายไปปลูกตามประเทศทางเอเชียตะวันออกรวมถึงญี่ปุ่น ในการเพาะปลูกมักตัดแต่งกิ่งให้เป็นพุ่มสูงประมาณ 0.6-1 เมตร ทั้งนี้ก็เพื่อความสะดวกในการเก็บใบชา ส่วนการเก็บใบชามักจะเก็บแต่ใบอ่อน ๆ แรกผลิออกเป็น 3 ใบเท่านั้นชาเป็นพืชกึ่งร้อนที่เจริญเติบโตได้ดีในเขตอบอุ่นและมีฝน ปลูกได้ดีที่ระดับความสูงจากน้ำทะเลตั้งแต่ 200-2,000 เมตร โดยชาที่ผลิตทางการค้าส่วนใหญ่จะมีอยู่ 2 สายพันธุ์[4] ได้แก่ กลุ่มชาพันธุ์จีน (Chinese Tea) และกลุ่มชาพันธุ์อัสสัม (Assam tea)
- กลุ่มชาพันธุ์จีน (Chinese Tea) มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Camellia sinensis var. sinensis เป็นสายพันธุ์นำเข้ามาจากประเทศไต้หวันและจีน นิยมปลูกกันมากเนื่องจากให้ผลผลิตสูงและเป็นที่ต้องการของตลาด ในประเทศไทยปลูกกันมากทางภาคเหนือ เช่น จังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย แม่ฮ่องสอน ซึ่งการปลูกจะปลูกเป็นแถวแบบขั้นบันได มีการจัดการแปลงปลูกอยากเป็นระบบและตัดแต่งกิ่งอย่างสม่ำเสมอ
* ต้นชา ชาสายพันธุ์จีนจัดเป็นพรรณไม้ขนาดย่อมจนถึงขนาดกลาง มีความสูงของต้นประมาณ 1-6 เมตร ลำต้นแตกกิ่งก้านมาก ตามกิ่งอ่อนมีขนปกคลุม ขยายพันธุ์ด้วยวิธีการเพาะเมล็ด พรรณไม้ชนิดนี้เป็นพันธุ์เดิมของประเทศจีน แต่ในบ้านเราก็มีปลูกมานานแล้ว เคยพบที่จังหวัดพะเยาแต่ไม่มากเท่าไหร่ แต่ก็มีปลูกกันบ้างประปรายทางภาคเหนือ
ใบชา ใบเป็นใบเดี่ยวออกเรียงสลับ ลักษณะของเป็นรูปหอก ปลายใบแหลม ขอบใบเป็นจักเล็ก ๆ หรือเป็นฟันเลื่อย ใบมีขนาดกว้างประมาณ 3-4 เซนติเมตร และยาวประมาณ 6-12 เซนติเมตร หลังใบเป็นสีเขียวเข้ม ส่วนท้องใบเป็นสีเขียวอ่อน แผ่นใบหนาและเหนียว เรียบเป็นมัน คล้ายใบข่อยแต่จะยาวและใหญ่กว่า เส้นใบเป็นตาข่าย ส่วนก้านใบสั้น
ดอกชา ออกดอกเป็นช่อหรือออกเป็นกระจุกตามง่ามใบ ลักษณะของดอกคล้ายกับดอกส้มเขียวหวาน โดยดอกชาจะมีลักษณะใหญ่สีสวย ดอกเป็นสีขาวนวล และมีกลิ่นหอม ในช่อหนึ่งจะมีดอกประมาณ 1-4 ดอก กลีบดอกมี 5 กลีบ ส่วนกลีบเลี้ยงมี 2 กลีบ ดอกมีเกสรเพศผู้อยู่กลางดอกจำนวนมาก
ผลชา เป็นผลแบบแคปซูล มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 2-4 เซนติเมตร เมื่อแก่จะแตกออก ในหนึ่งผลจะมีเมล็ดอยู่ประมาณ 1-3 เมล็ด ลักษณะของเมล็ดเป็นรูปสามเหลี่ยมแบน หรือค่อนข้างกลม ผิวเมล็ดเรียบ เป็นสีน้ำตาลเข้มเกือบดำหรือสีน้ำตาลอมแดง มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 10-14 มิลลิเมตร
- กลุ่มชาพันธุ์อัสสัม (Assam tea) มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Camellia sinensis var. assamica มีชื่อเรียกหลายชื่อ เช่น ชาอัสสัม ชาป่า ชาพื้นเมือง ชาเมี่ยง เป็นต้น ชาชนิดนี้จะเป็นพันธุ์ชาที่ใบใหญ่กว่าชาพันธุ์จีน เจริญเติบโตได้ดีในป่าเขตร้อนชื้นที่มีร่มไม้และแสงแดดพอประมาณ ในประเทศไทยพบได้ที่จังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย ลำปาง แพร่ และน่าน
* ต้นชา จัดเป็นไม้พุ่มขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ ผิวลำต้นเรียบ ตามกิ่งอ่อนปกคลุมไปด้วยขนอ่อน ๆ มีความสูงของต้นประมาณ 6-18 เมตร มีขนาดใหญ่กว่าชาจีนอย่างเด่นชัด กิ่งที่มีอายุมากจะเปลี่ยนเป็นสีเทา
- ชามีฤทธิ์ลดระดับน้ำตาลในเลือด ลดความดันโลหิตสูง ลดคอเลสเตอรอลในเลือด ลดไขมัน กระตุ้นระบบประสาทส่วนกลาง ช่วยแก้อาการซึมเศร้า ป้องกันฟันผุ กระตุ้นภูมิคุ้มกัน
- เนื่องจากใบชามีสาร Caffeine และสาร Theophylline รวมอยู่ด้วย โดยสารเหล่านี้มีฤทธิ์ยับยั้งการทำงานของท่อดูดซึมน้ำในไต จึงมีประสิทธิภาพในการขับปัสสาวะได้มากขึ้น
- จากการศึกษาฤทธิ์ของสาร Catechins ในหนูขาวเพศผู้อายุ 7 สัปดาห์ โดยแบ่งการทดลองออกเป็น 3 กลุ่ม คือ กลุ่มควบคุมให้กินน้ำ และกลุ่มทดลอง 2 กลุ่ม ที่ให้กินสารละลาย catechins เข้มข้น 0.1% และ 0.5% ผสมในน้ำตามลำดับ หลังจากนั้น 3 สัปดาห์ พบว่าน้ำหนักตัวของหนูขาวในกลุ่มทดลองลดลง เมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มควบคุม และยังพบว่ากลุ่มทดลองที่กินสารละลาย catechins เข้มข้น 0.5% สามารถลดระดับไขมัน ระดับคอเลสเตอรอล และระดับไตรีกลีเซอไรด์ในเยื่อยึดลำไส้และตับได้อย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้ยังช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลโดยรวมในซีรัม และลดระดับกรดน้ำดีในซีรัมด้วย จากการศึกษาครั้งนี้ได้แสดงให้เห็นว่าสาร catechins ในชาไม่เพียงแต่จะช่วยเผาผลาญไขมันได้ในคนอ้วนเท่านั้น แต่ยังได้ผลดีกับคนที่ไม่อ้วนอีกด้วย
* เมื่อปี ค.ศ.2008 ที่ประเทศบราซิล ได้ทำการศึกษาทดลองในผู้ป่วยที่มีระดับไขมันในเลือดสูงจำนวน 100 คน แบ่งกลุ่มการทดลองเป็น 4 กลุ่ม กลุ่มที่หนึ่งให้ซุป (kinako) 50 กรัมต่อวัน กลุ่มที่สองให้ชาเขียว 3 กรัมต่อวัน กลุ่มที่สามให้ซุป (kinako) และน้ำชา ขนาด 50 กรัม และ 3 กรัมต่อวัน ส่วนกลุ่มที่สี่เป็นกลุ่มควบคุม โดยใช้เวลาทำการทดลอง 45 วัน และ 90 วัน ผลการทดลองพบว่ากลุ่มที่สองและสามที่ให้น้ำชา มีระดับคอเลสเตอรอลลดลง
* เมื่อปี ค.ศ.2008 ที่ประเทศญี่ปุ่น ได้ทำการทดลองในคนที่มีไขมันในเลือดสูง จำนวน 47 คน โดยให้สารสกัดใบชาในรูปของยาเม็ด ขนาด 333 มิลลิกรัม ส่วนกลุ่มควบคุมให้ placebo ให้กิน 3 เวลาต่อวัน ติดต่อกันเป็นเวลา 3 เดือน ผลการทดลองพบว่าอาสาสมัครมีระดับคอเลสเตอรอลลดลง 4.32-0.14 mol/L P<0.01 ค่า LDL-c ลดลง 3.81-0.13 mol/L ค่าไตรกลีเซอไรด์ลดลง P<0.01 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ
* เมื่อปี ค.ศ.2008 ที่ประเทศญี่ปุ่น ได้ทำการทดลองผลการลดไขมันในเลือดของ bleak tea ชาจีน ซึ่งสามารถลดระดับไขมันในเลือด หลังการให้สารละลายในหนูที่ให้ไขมันคอเลสเตอรอล 130 mg./kg. และให้ชาจีนขนาด 0.3 g./kg. หลังจากให้ชาแล้วพบว่า ค่า postprandial ของน้ำตาลในเลือดลดลง ระดับไขมันในเลือดลดลง แต่สำหรับชาเขียวที่ไม่ได้ผ่านการหมักบ่ม ไม่ได้ให้ผลดังกล่าว โดยใช้เวลาในการทดลอง 3 สัปดาห์ และพบว่าระดับไขมันในเลือดลดลง 1.36 mol/L P<0.05 และพบไขมันในไตลดลง 0.3% P<0.05 พบค่า LDL-c ลดลง 0.51 m mol/L , 0.1% P<0.05 ซึ่งค่าทางคลินิกดงกล่าวจะใช้ในการรักษาผู้ป่วยไขมันในเลือดสูงต่อไป
* เมื่อปี ค.ศ.2008 ที่ประเทศเกาหลี ได้ทำการศึกษาผลการลดไขมันในเลือดของใบชา ซึ่งมี GCG-Rich Tea Catechins เป็นสารสำคัญในใบชา โดยทำการทดลองกับหนูทดลองที่ให้อาหารและกระตุ้นให้มีไขมันในเลือดสูง ผลการทดลองพบว่า หลังจากให้สารสกัดจากใบชาในหนูทดลองดังกล่าว ระดับไขมันในเลือดของหนูจะลดลง
* เมื่อปี ค.ศ.2009 ที่ประเทศจีน ได้ทำการศึกษาทดลองผลในการลดระดับไขมันในเลือดของ Kombucha tea ในหนูทดลอง โดยพบว่าใบชาดังกล่าวจะกระตุ้นการผลิต D-saceharic acid-1, 4-lactone และเพิ่ม antioxidant enzyme ทำให้สามารถลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือดของหนูได้ภายหลังการทดลอง
- จากการทดสอบความเป็นพิษ สารสกัดจากชาด้วยเอทานอลและน้ำ ในอัตราส่วน 1:1 ในขนาด 50 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม ให้ทางปาก มีสารสกัด Sapponin เป็นสารพิษ เกิดความเป็นพิษผสม tannic acid จากชาปริมาณ 0.25-15.25% ในอาหาร ให้หนูขาวกินเป็นเวลา 80 สัปดาห์ จะทำลายลำไส้ ตับและไต ถ้าให้หนูขาว หนูตะเภากินสารสกัดจากชา ขนาดต่ำกว่า 5 กรัมต่อกิโลกรัม ครั้งเดียว หนูจะตายภายใน 14 วัน
2. ชาเป็นเครื่องดื่มที่มีธาตุอาหารอยู่หลายชนิดที่ช่วยบำรุงร่างกายให้มีสุขภาพดี ช่วยกระตุ้นระบบประสาทและร่างกายให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะใบชามีสารคาเฟอีนที่ช่วยกระตุ้นระบบประสาท ช่วยหมุนเวียนโลหิต มีอิทธิพลต่อกระบวนการเมตาบอลิซึมของเซลล์ภายในร่างกาย และยังมีการใช้ชาผสมกับยาแก้ปวด รักษาโรคไมเกรน เพื่อช่วยเพิ่มฤทธิ์ในการรักษาและทำให้ยาออกฤทธิ์ได้นานยิ่งขึ้น
3. การดื่มชาเป็นประจำจะทำให้ร่างกายมีสุขภาพแข็งแรงสดชื่น ช่วยขับสารพิษออกจากร่างกาย ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ ช่วยชะลอความชราและมีส่วนช่วยบำรุงผิวพรรณ
4. การดื่มชามีผลต่อระบบต่อมไร้ท่อ และช่วยสลายไขมัน ลดระดับคอเลสเตอรอล โดยไปเพิ่มการขับคอเลสเตอรอลในร่างกายผ่านทางน้ำดีในอุจจาระ
6. คนญี่ปุ่นเชื่อว่าการดื่มชาสามารถช่วยลดการเกิดโรคมะเร็งในกระเพาะอาหาร เพราะมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระและเสริมสุขภาพ
7. ชามีประโยชน์ต่อระบบหัวใจและการไหลเวียนของโลหิต ช่วยขยายหลอดเลือด ป้องกันโรคเส้นเลือดหัวใจตีบตัน และการดื่มชายังช่วยรักษาอาการเจ็บหน้าอก และกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดได้อีกด้วย
8. การดื่มชาแก่ ๆ สักถ้วย จะช่วยกระตุ้นการหลั่งน้ำย่อยในกระเพาะอาหาร และช่วยในการย่อยอาหารจำพวกวิตามินกลุ่มต่าง ๆ
9. ชายังมีสารไอโอดีน และฟลูออไรด์ ซึ่งเป็นสารที่ช่วยป้องกันภาวะต่อมไทรอยด์ทำงานมากเกินไป ฟลูออไรด์ในจำนวนที่เพียงพอกับความต้องการของร่างกายจะช่วยป้องกันฟันผุและเสริมมวลกระดูกได้
10. ใบอ่อนมีรสฝาด หอม หวาน ใช้ยำกินได้อร่อยมาก
11. ใบอ่อนนำมาปรุงแต่งและอบกลิ่นเป็นใบชา ส่งไปขายเป็นสินค้าตามต่างประเทศ ในบ้านเราเรียกว่าต้นเมี่ยง ส่วนมากทางภาคเหนือรู้จักกันมานาน
12. กากเมล็ดมีสารซาโปนิน (Saponin) ที่มีคุณสมบัติช่วยล้างสิ่งต่าง ๆ ได้สะอาดดีมาก และยังใช้สระผมเพื่อล้างสิ่งสกปรกออกจากผล นอกจากนี้น้ำมันที่ติดกากเมล็ดยังช่วยทำให้เส้นผมชุ่มชื้นเป็นมันอีกด้วย
13. กากชามีประโยชน์ช่วยในการดูดกลิ่น ส่วนใบชายังใช้ใส่ลงในโลงศพ เพื่อดูดกลิ่นเหม็นจากศพได้ด้วย
14. ส่วนคนเมืองจะใช้ใบอ่อนหมักเป็นเมี่ยงขาย ส่วนยอดอ่อนเก็บเป็นผลผลิตไว้ขาย
* ผู้ที่มีปัญหานอนไม่ค่อยหลับ นอนหลับยาก หรือเป็นโรคนอนไม่หลับ ไม่ควรดื่มชาก่อนเข้านอน เพราะคาเฟอีนที่มีอยู่ในชาจะมีฤทธิ์กระตุ้นประสาท ทำให้ไม่ง่วงนอน และลดความสามารถและระยะเวลาในการนอนหลับ
* ผู้ที่เป็นโรคความดันโลหิตสูงและโรคหัวใจ ไม่ควรดื่มชา เพราะคาเฟอีนจะทำให้หัวใจเต้นเร็ว หลอดเลือดหดตัว ทำให้เลือดไปเลี้ยงสมองและหัวใจได้ไม่สม่ำเสมอ ทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้น
* คาเฟอีนยังทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงได้อีกด้วย ดังนั้นชาจึงไม่เหมาะกับผู้ป่วยเบาหวาน
* ส่วนผู้ที่มีไข้สูง สาเหตุที่ไม่ควรดื่มชาก็เพราะจะทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้น หัวใจเต้นเร็ว ยิ่งทำให้ตัวร้อนมากขึ้น และแทนนินยังทำให้ร่างกายขับเหงื่อออกมาน้อยกว่าปกติ
* คาเฟอีนมีฤทธิ์เพิ่มการหลั่งกรดในกระเพาะ ผู้ที่เป็นโรคกระเพาะ หรือมีปัญหาเกี่ยวกับกระเพาะและลำไส้จึงไม่ควรดื่ม เพราะจะทำให้รู้สึกอึดอัด อาเจียนออกมาเป็นน้ำใส ๆ และไม่ควรดื่มชาเวลาท้องว่างในตอนเช้า เพราะจะทำให้ระบบการย่อยอาหารผิดปกติ แต่ถ้าอยากดื่มชาในตอนเช้า ก็ควรหาอะไรกินรองท้องก่อน
* ผู้ป่วยไทรอยด์ไม่ควรดื่มชา เพราะอาการกระสับกระส่ายจะยิ่งรุนแรงขึ้นไปอีกเพราะฤทธิ์ของคาเฟอีน
* สำหรับสตรีที่รับประทานยาคุมกำเนิดไม่ควรดื่มชา โดยเฉพาะก่อนและหลังกินยาคุม 4 ชั่วโมง เพราะสารแทนนินจะทำให้สารต่าง ๆ ในยาคุมกำเนิดละลายตัวยากและดูดซึมได้น้อยลง
* สตรีตั้งครรภ์ที่ไม่ควรดื่มชา สาเหตุก็เพราะอาจเป็นอันตรายต่อเด็กในครรภ์ได้
* แม่ลูกอ่อนที่ให้นมลูก ก็ไม่ควรดื่มชา เพราะจะทำให้สารต่าง ๆ ในน้ำชาจะผ่านไปทางนมแม่ ทำให้ทารกขาดแร่ธาตุสำคัญ และยังทำให้ความสามารถในการขับน้ำนมของแม่ลดลงด้วย
- ใบชาที่มีคุณภาพต่ำจะมีกรดแทนนินอยู่มาก มีผลต่อกระเพาะอาหารหรือลำไส้ ส่งผลให้ดูดซึมอาหารได้ไม่เต็มที่ ซึ่งอาจนำไปสู่การเจ็บป่วยด้วยอาการขาดธาตุเหล็กในเลือด และเมื่อแทนนินรวมกับโปรตีนจะทำให้ย่อยโปรตีนยากขึ้นด้วย
- การดื่มชาที่เข้มข้นมาก ๆ จะมีผลทำให้กระเพาะอาหารดูดซับอาหารได้น้อยลง ทำให้ระบบการย่อยอาหารทำงานผิดปกติ ซึ่งจะทำให้ท้องผูกได้ ยิ่งถ้าดื่มตอนท้องว่างติดต่อกันเป็นเวลานาน ก็อาทำให้เป็นโรคกระเพาะอาหารได้ แต่ทางที่ดีควรจะดื่มชาหลังรับประทานอาหารไปแล้วประมาณ 2-3 ชั่วโมง
- ใบชามีสารออกซาเลต (Oxalate) แม้จะมีอยู่น้อย แต่ถ้าดื่มมาก ๆ และดื่มเป็นประจำ สารนี้ก็อาจสะสมในร่างกายและเป็นอันตรายต่อไตได้
- ใบชายังมีองค์ประกอบอื่น ๆ ที่มีโทษต่อร่างกาย แต่ไม่ค่อยมีคนกล่าวถึง นั่นก็คือฟลูออไรด์ที่มีในปริมาณสูง อาจทำให้เกิดการสะสมและมีผลทำให้ไตวาย เกิดมะเร็งลำไส้ โรคข้อ โรคกระดูกพรุน และโรคอื่น ๆ ที่เกี่ยวกับกระดูกได้ แต่ถ้าดื่มไม่มากก็ไม่ต้องเป็นกังวล
- ไม่ควรดื่มชาขณะกินยา ไม่ว่าจะยาแผนโบราณหรือยาแผนปัจจุบัน เพราะสารต่าง ๆ ในน้ำชาอาจไปทำปฏิกิริยากับยาที่กินเข้าไป เช่น ทำให้คุณสมบัติของยาลดลง หรืออาจกลายเป็นพิษได้ แต่หากต้องดื่มชาในยามป่วยก็ควรต้องดื่มก่อนหรือหลังกินยาประมาณ 2 ชั่วโมง และให้ชงอ่อน ๆ เข้าไว้
- ผู้ที่รับประทานวิตามินหรืออาหารเสริม เช่น เกลือแร่ ธาตุเหล็ก หรือยาที่คล้ายคลึงกัน ควรหลีกเลี่ยงการดื่มน้ำชาร่วมด้วย เพราะสารสำคัญจากใบชาจะไปตกตะกอนธาตุเหล็กหรือเกลือแร่ ทำให้ไม่ถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย
- ในระหว่างที่กินยาบำรุงโลหิตก็ไม่ควรดื่มชา เพราะแทนนินจะไปทำปฏิกิริยากับธาตุเหล็ก ซึ่งเป็นสารสำคัญในการช่วยบำรุงโลหิต ทำให้ดูดซึมธาตุเหล็กได้น้อย รวมไปถึงผู้ที่กินยาบำรุงต่าง ๆ เช่น โสม เขากวาง ก็ไม่ควรดื่มชาเช่นกัน เพราะมันจะไปหักฤทธิ์กัน
- การดื่มชาไม่ควรดื่มชาในขณะที่ยังร้อนจัด เพราะความร้อนจะไปทำลายเนื้อเยื่อในช่องปากจนทำให้เกิดอันตรายในช่องปาก ลำคอ รวมถึงลำไส้ได้
- ไม่ควรดื่มชาที่ชงค้างไว้นานหลายชั่วโมง เพราะจะมีกรดแทนนินสูง และสารต่าง ๆ ในน้ำชาอาจทำปฏิกิริยาจนกลายเป็นสารพิษได้
- ชาแบบซองไม่ต้องแกว่ง แต่ให้ใช้เวลา : หลายคนนิยมนำชาที่เป็นซองมาชงดื่ม สิ่งที่เป็นปัญหาก็คือ หลายคนไม่ทราบว่าต้องทิ้งระยะไว้นานเท่าไหร่ หลาย ๆ คนคิดว่าเมื่อเทน้ำร้อนลงไป หลังจากผ่านไป 30 วินาที แล้วก็กระตุกถุงชา จะทำให้น้ำเริ่มเปลี่ยนสี แต่ความจริงแล้วมันเป็นวิธีที่ผิด สิ่งที่คุณเห็นในแก้วชา มันก็เป็นแค่น้ำที่มีสีเหมือนชาเท่านั้น แต่รสชาติยังไม่ใช่ชา เพราะแท้จริงแล้วการชงชาจะต้องใช้เวลาประมาณ 3 นาที ถึงจะดึงรสชาติและคุณภาพจริง ๆ ออกมาได้ ข้อสำคัญอีกอย่างก็คือ ไม่ควรกระตุกซองชา แต่ควรปล่อยไว้นิ่ง ๆ อย่างนั้นแล้วรอจนกว่าจะครบ 3 นาที แล้วจึงค่อยนำถุงชาออกมา
- คุณภาพของชา : เพื่อรักษาคุณภาพของชา ควรเก็บใบชาไว้ในภาชนะที่มีผาปิดสนิท และไม่วางรวมกับของที่มีกลิ่นแรง เพราะชามีสรรพคุณในการดูดซับกลิ่น
- น้ำที่ใช้ชงชา : ไม่ใช้น้ำที่ผ่านการต้มมาแล้วหลายครั้งมาใช้ชงชา เพราะน้ำที่ต้มจะมีปริมาณออกซิเจนน้อย ทำให้น้ำมีรสชาติชืด นำมาชงชาไม่อร่อย
- การเสิร์ฟชา : ก่อนเสิร์ฟชา ควรหมุนวนกาน้ำชาสักสามรอบก่อนนำมาเสิร์ฟ ที่สำคัญหลังชงชาเสร็จควรเสิร์ฟในทันที เพราะถ้าหากปล่อยไว้นานเกิน 10 นาที จะทำให้รสชาติของชาเปลี่ยนไป
- การดื่มชา : การดื่มชาเข้มข้นก่อนอาหารหรือหลังอาหารทันที จะทำให้กระเพาะลำไส้ดูดซึมอาหารได้น้อยลง ซึ่งเวลาที่เหมาะสมสำหรับการดื่มชาก็คือหลังอาหารประมาณ 2-3 ชั่วโมง และไม่ควรดื่มชาที่ชงทิ้งไว้นานหลายชั่วโมง เพราะน้ำชาอาจบูด และทำให้สารต่าง ๆ ทำปฏิกิริยากัน ทำให้ชาเสื่อมคุณภาพ