ปี่เซี๊ยะกับกิเลน ต่างกันยังไง?
บูชาอะไรแล้วถึงจะดี
สัญลักษณ์มงคลในตำนานต่างๆ จากความเชื่อของคนจีน นั้นมีอยู่เยอะแยะมากมายเลยค่ะ หลายสัญลักษณ์เป็นที่รู้จักกันดี บางสัญลักษณ์อาจจะไม่คุ้นตา และบางสัญลักษณ์เราก็อาจจะไม่แน่ใจความหมาย อย่างเช่นที่หลายคนไม่แน่ใจว่าสัญลักษณ์ปีเชียะกับกิเลนนั้นต่างกันอย่างไร ให้คุณในเรื่องที่ต่างกันหรือไม่ หรือมีวิธีการบูชาที่แตกต่างกันขนาดไหน วันนี้เราจะพาคุณไปรู้จักสัญลักษณ์ทั้งสองนี้ค่ะ
ปี่เซี๊ยะ
ปีเชียะเครื่องรางมงคลที่เป็นที่รู้จักกันดี ว่าให้คุณกับผู้ที่บูชาในเรื่องของโชคลาภ โดยปีเชียะนั้นจะมีลักษณะเด่นอยู่ดังนี้
1) มีเท้าทรงพลังเหมือนสิงโต
2) มีเขาและลำตัวเหมือนกวาง
3) มีปีกใหญ่เหมือนพญานก
4) มีศีรษะเป็นมังกร
5) มีหางแมวอันศักดิ์สิทธิ์
6) ไม่มีรูทวารหนักและเบา
โดยลักษณะเด่นที่สุดคือมีปากแต่ไม่มีทวาร จึงเชื่อกันว่าปี่เชียะจะเป็นเครื่องรางที่ช่วยเก็บทรัพย์สินให้เข้ามาอยู่กับเราโดยไม่มีการไหลออกเลยนะคะ โดยเราสามารถนำปี่เชี้ยะมาเป็นเครื่องประดับที่ใส่ติดตัว
หรือจะเป็นรูปปั้นที่ตั้งประจำอยู่ที่บ้านก็ได้ทั้งสิ้นสัญลักษณ์ปี่เชียะจะมีทั้งในลักษณะตัวเดี่ยวและตัวคู่ ซึ่งจะให้ผลคล้ายๆ กันคือช่วยเกี่ยวกับเรื่องของโชคลาภ แต่สิ่งที่ต่างไปคือสัญลักษณ์ที่เป็นลักษณะคู่ของ
ปีเชียะจะมาในรูปแบบตัวผู้และตัวเมีย เชื่อกันว่าการมีปี่เชียะ 2 ตัว หรือมีเป็นคู่แบบนี้จะ ปีเชี้ยะจะช่วยกันทำมาหากินเพื่อเรียกทรัพย์เข้ามาให้เราได้มากยิ่งขึ้นนะ
วิธีการบูชาปี่เชียะนั้นไม่ยาก เพราะชาวจีนปีเชียะเป็นสัตว์เลี้ยงจึงเชื่อกันว่าการลูบหัวปีเชียะบ่อยๆ และการมองหน้าปี่เซียะในขณะที่ลูบเป็นประจำจะช่วยทำให้ปีเชียะนั้นเชื่องกับเรา และการเชื่องกับเรานั้นเองจะทำให้ปีเชียะขยันนำโชคลาภเข้ามาหาเราค่ะ เราไม่จำเป็นต้องมีของเช่นไหว้ปี่เซียะ เพียงแต่ตั้งน้ำเอาไว้ให้ปี่เซียะได้ดื่มกินก็เพียงพอนะคะ
กิเลน
กิเลนเป็นสัตว์มงคลในเทพนิยายของจีนที่มีลักษณะของสัตว์มงคล 5 ชนิดรวมกันคือ
1) มีหัวเป็นมังกรมีเขา 1 อัน
2) มีลำตัวเป็นกวาง
3) ลำตัวมีเกล็ดเหมือนปลา
4) มีหางเหมือนวัว
5) มีเท้าเป็นกีบเหมือนม้า
โดยตัวกิเลนนั้นจะมีสีทั้งหมด 5 สีคือ สีน้ำเงิน แดง เหลือง ขาวและดำ ซึ่งเชื่อว่า 5 สีนี้คือตัวแทนของธาตุทั้ง 5 (ดิน น้ำ ไฟ ไม้ โลหะ) จากตำนานความเชื่อของชาวจีนเชื่อกันว่ากิเลนเป็นสัตว์ที่เชื่องมาก กิเลนไม่ชอบเบียดเบียนชีวิตผู้อื่น แถมยังกินพืชเป็นอาหารและเป็นสัตว์ที่จะนำพาความโชคดีมาให้กับคนที่คอยกระทำแต่ความดี โดยเชื่อว่ากิเลสนั้นจะช่วยส่งเสริมให้ธุรกิจการค้าเจริญรุ่งเรือง เสริมบารมีและช่วยให้
ชีวิตการงานมีความมั่นคง แถมยังเป็นเครื่องรางที่จะช่วยนำพาแต่ข่าวดีและความโชคดีมาให้คุณค่ะ
โดยวิธีการบูชากิเลนนั้นจะคล้ายการบูชาปี่เชียะตรงที่เมื่อนำมาจัดวางไว้ในบ้านจะเน้นการตั้งวางเป็นคู่ ทั้งเพื่อเป็นการนำพลังดีๆเข้าสู่บ้าน และเป็นการเสริมฮวงจุ้ยของบ้าน โดยเน้นตั้งวางกิเลนไว้ที่ตำแหน่งเสือ
ขาวหรือทิศตะวันตกของบ้านนะคะ
รู้จัก "ปี่เซียะ" สัตว์มงคลจีน เครื่องรางเรียกทรัพย์ ช่วยปัดเป่าสิ่งชั่วร้าย
ปี่เซียะ เป็นหนึ่งในเครื่องรางของขลังที่ได้รับอิทธิพลจากความเชื่อของชาวจีน หลายคนนิยมใช้ปี่เซียะเป็นเครื่องประดับที่พกติดตัว หรือวางไว้ในตำแหน่งสำคัญของบ้าน โดยเชื่อว่าจะช่วยเสริมความเป็นสิริมงคลและช่วยเรียกทรัพย์ได้ (ตามความเชื่อส่วนบุคคล) บทความนี้ ไทยรัฐออนไลน์จึงนำสาระดีๆ เกี่ยวกับความเป็นมาของ "ปี่เซียะ" มาฝากกัน
รู้จัก "ปี่เซียะ" สัตว์มงคลตามความเชื่อชาวจีน
ปี่เซียะ คือ สัตว์มงคลโบราณตามความเชื่อของชาวจีน ในภาษาจีนเรียกว่า "ผีซิว" เชื่อว่าปี่เซียะเป็นลูกตัวที่ 9 ของมังกร ซึ่งเป็นตัวแทนของความมงคล รูปร่างมีลักษณะของสัตว์หลายชนิดผสมกัน ทั้งมังกร สิงโต กวาง นก และปลา สัตว์มงคลชนิดนี้ ตัวผู้จะเรียกว่า "ปี่" ส่วนตัวเมียจะเรียกว่า "เซียะ" โดยลักษณะที่ดีของปี่เซียะมี 8 ประการ ดังต่อไปนี้
1. ปากอ้ารับทรัพย์
2. หางยาวกวักโชค
3. ยกหัวข่มศัตรู
4. ฝ่าเท้าตะปบเงินทอง
5. ก้าวขาเพื่อความก้าวหน้า
6. ลิ้นยาวตวัดโชคลาภ
7. อกผึ่งผายน่าเกรงขาม
8. ไม่มีรูทวารเพื่อกักเงินทองไม่ให้รั่วไหล
ทั้งนี้ ปี่เซียะเป็นสัตว์ที่ไม่ขับถ่าย เนื่องจากไม่มีรูทวาร ทำให้ชาวจีนมีความเชื่อว่าการครอบครองปี่เซียะจะช่วยเรื่องการเก็บทรัพย์ ทำให้เงินทองไม่รั่วไหล อีกทั้งยังเชื่อว่าปี่เซียะเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่ช่วยคุ้มครองและปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายให้แก่ผู้นับถือบูชา จึงนิยมตั้งรูปปั้นปี่เซียะไว้ตามบ้านเรือน รวมไปถึงการวาดรูปปี่เซียะไว้ตามฝาผนังสถานที่สำคัญต่างๆ
"ปี่เซียะ" กับความหมายมงคลที่ควรรู้
ในปัจจุบันปี่เซียะไม่ได้เป็นเพียงเครื่องรางนำโชคหรือเรียกทรัพย์เท่านั้น แต่ยังพัฒนามาสู่รูปแบบเครื่องประดับ เช่น สร้อยข้อมือปี่เซียะ และ สร้อยข้อมือปี่เซียะหินมงคล ที่สามารถพกพาติดตัวได้ตลอดเวลา ได้รับความนิยมทั้งแบบปี่เซียะแบบเดี่ยว และปี่เซียะแบบคู่ โดยแต่ละแบบก็จะมีความหมายที่ช่วยเสริมเรื่องต่างๆ แตกต่างกันออกไป ดังนี้
1. ปี่เซียะแบบเดี่ยว : เสริมเรื่องการเงิน การค้าขายทำกำไร เหมาะสำหรับผู้ทำธุรกิจ อีกทั้งยังช่วยคุ้มครองเมื่อต้องเดินทางไกล ให้แคล้วคลาดปลอดภัยจากอันตราย หากทำเป็นสร้อยข้อมือปี่เซียะ จะนิยมสวมไว้ที่มือซ้าย เพราะเชื่อว่าคือตำแหน่งมังกรเขียว
2. ปี่เซียะแบบคู่ : เสริมเรื่องการติดต่อเจรจา เลื่อนตำแหน่ง ทำให้การตกลงเรื่องต่างๆ ราบรื่นเป็นไปได้ด้วยดี และทั้งช่วยเสริมเรื่องอำนาจบารมี ผู้คนให้ความเชื่อถือ หากทำเป็นสร้อยข้อมือปี่เซียะ จะนิยมสวมไว้ที่มือขวา เพราะเชื่อว่าคือตำแหน่งเสือขาว
วิธีบูชาปี่เซียะให้ร่ำรวยสมปรารถนา
เชื่อว่าก่อนที่จะนำปี่เซียะเข้ามาบูชาในบ้าน ควรจุดธูปบอกกล่าวสิ่งศักดิ์สิทธิ์ภายในบ้านก่อน หลังจากนั้นให้สวดคาถาบูชาปี่เซียะ แล้วลูบตำแหน่งสำคัญของปี่เซียะ 3 จุด ได้แก่ ท้อง, หัว, หลัง โดยเชื่อว่าจะช่วยเสริมเรื่องความร่ำรวยอุดมสมบูรณ์, ความสมหวัง, บารมีโชคลาภ
คาถาบูชาปี่เซียะ
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
อุ อา กะ สะ ปี่เซียะ อานุภาโว เมตตาจิต ประสิทธิเม
ปี่เซียะ ตัวผู้ ตัวเมีย สังเกตอย่างไร?
วิธีสังเกตปี่เซียะตัวผู้และตัวเมีย ให้สังเกตที่ "เท้า" เป็นหลัก โดยนิยมวางปี่เซียะทั้ง 2 ตัวในลักษณะ หันก้นชนกันเป็นรูปตัว V แล้วให้หันหน้าไปยังประตูบ้าน หรือจุดที่สามารถให้ปี่เซียะมองเห็นข้างหน้าได้อย่างชัดเจน
ปี่เซียะตัวผู้ : ตัวที่ก้าวเท้าซ้าย
ปี่เซียะตัวเมีย : ตัวที่ก้าวเท้าขวา
วางปี่เซี่ยะตำแหน่งไหนดี? สำหรับคนที่สวมสร้อยข้อมือปี่เซียะก็ให้หันหน้าของปี่เซียะออกนอกตัว เพื่อให้ปากปี่เซียะดูดทรัพย์เข้าหาตัวเรานั่นเอง และไม่ควรเก็บปี่เซียะไว้ในที่อับ เช่น ห้องน้ำ ห้องเก็บของ
ข้อห้ามในการบูชาปี่เซียะ
- ห้ามลูบปากปี่เซียะ เชื่อว่าจะทำให้เงินท้องรั่วไหล เก็บเงินไม่อยู่
- ห้ามให้ผู้อื่นมาลูบปี่เซียะของเราเด็ดขาด เพราะถือเป็นเครื่องรางเฉพาะบุคคล
- ห้ามนำปี่เซียะไปงานศพ หรืองานที่ไม่เป็นมงคล
- ห้ามสวมปี่เซียะอาบน้ำ
ปัจจุบันนี้ ปี่เซียะเป็นทั้งเครื่องรางมงคลและเครื่องประดับที่สายมูเตลูให้ความนิยม ทำให้ปี่เซียะสร้างมาจากวัสดุที่หลากหลาย และมีชื่อเรียกแตกต่างกันออกไป เช่น ปี่เซียะทอง, ปี่เซียะทองแท้, ปี่เซียะหยก และ ปี่เซียะจักรพรรดิ เป็นต้น
ปี่เซี๊ยะกับกิเลน ต่างกันยังไง? , Pixiu , ปี่เซียะ , สัตว์มงคลจีน , กิเลน , 麒麟 , พินอิน , qílín , เวด-ไจลส์ , ch'i-lin , ฉีหลิน , แต้จิ๋ว , คี้ลิ้ง , ญี่ปุ่น , 麒麟 , โรมาจิ , คิริง , Qilin , Kylin , Kirin , ปี่เซียะ , ปี่เซียะ สัตว์มงคลตามความเชื่อชาวจีน
ที่มา :: https://www.thairath.co.th/horoscope/belief/2315625 , https://today.line.me/th/v2/article/OpwwVlm
กิเลน
ตอบลบกิเลน (จีน: 麒麟; พินอิน: qílín; เวด-ไจลส์: ch'i-lin ฉีหลิน; แต้จิ๋ว: คี้ลิ้ง; ญี่ปุ่น: 麒麟; โรมาจิ: คิริง) และอาจสะกดเป็น Qilin, Kylin หรือ Kirin เป็นคำที่มาจากภาษาจีน ซึ่งเป็นชื่อของสัตว์ชนิดหนึ่งในเทพนิยายของจีน
ตามตำนานของจีน
ถ้าเป็นตัวผู้เรียกว่า "กี" ถ้าเป็นตัวเมียเรียกว่า "เลน" หรือ "กิเลน" กิเลน ตามตำนานจีนว่ามีรูปร่างเหมือนกวาง แต่มีเขาเดียว หางเหมือนวัว หัวเป็นมังกร เท้ามีกีบเหมือนม้า (บางตำราว่ามีตัวเป็นสุนัข ลำตัวเป็นแอนทิโลป บ้างก็ว่า ลำตัวเป็นกวางชะมด ใบหน้าคล้ายหมาป่า และบางตัวก็มีสองเขาหรือสามเขา ) เกิดจากธาตุทั้งห้า คือ ดิน, น้ำ, ไฟ, ไม้ และโลหะ ผสมกัน
เชื่อว่ามีอายุอยู่ได้ถึงพันปี และถือว่าเป็นยอดแห่งสัตว์ทั้งหลาย เป็นสัญลักษณ์แห่งคุณงามความดี ปรากฏให้เห็นเมื่อใด ก็จะเกิดผู้มีบุญมาปกครองบ้านเมืองให้อยู่เย็นเป็นสุขเมื่อนั้น เช่น ในยุคของฝูซีเป็นผู้ปกครองโลก กิเลนได้ปรากฏตัวขึ้นที่แม่น้ำฮวงโห หลังกิเลนมีลายอักขระจารึก ซึ่งต่อมาได้พัฒนากลายมาเป็นตัวอักษร กิเลนถือเป็นหนึ่งในสี่สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งประกอบด้วย หงส์, เต่า, มังกร และกิเลน (บ้างว่าเป็น เสือ)
กิเลนของไทย
ชาวไทยรู้จักกิเลนของจีนมานานแล้ว ปรากฏในสมุดภาพสัตว์ป่าหิมพานต์ที่ช่างโบราณได้ร่างแบบสำหรับผูกหุ่นเข้า กระบวนแห่พระบรมศพครั้งรัชกาลที่ 3 ก็มีรูปกิเลนจีนทำหนวดยาว ๆ ส่วนภาพกิเลนแบบไทย มีกระหนกและเครื่องประดับเป็นแบบไทย ๆ การจัดลายประกอบผิดไปจากในสมุดภาพสัตว์ป่าหิมพานต์ของโบราณนั้นบ้าง ที่แปลกอีกอย่างหนึ่ง คือ กิเลนไทยมีสองเขา ส่วนของจีนแท้ ๆ มีทั้งที่ปรากฏรูปเป็นกิเลนเขาเดียว (ซึ่งทำให้มีการเปรียบเทียบกับยูนิคอร์นของนิยายตะวันตก) และที่เป็นสองเขาเหมือนเขากวางก็มี แม้แต่กิเลนจีนที่มีสามเขาก็มีปรากฏอยู่บ้าง ดังภาพถ่ายกิเลนจีนในพระราชวังต้องห้ามกรุงปักกิ่ง ก็มีสองเขา
ในวรรณคดีไทยเรื่องพระอภัยมณี ของกวีเอกสุนทรภู่ ก็มีสัตว์ประหลาดรูปร่างคล้ายกิเลนนี้ในเรื่องด้วย คือ ม้ามังกร หรือ ม้านิลมังกร นั่นเอง ปัจจุบันกิเลนเป็นมาสคอตของสโมสรฟุตบอลเอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด
ที่มาของกิเลน
เชื่อว่า กิเลนมีที่มาจากยีราฟ ที่มากับเรือสินค้าที่กลับจากเบงกอลในยุคจักรพรรดิหย่งเล่อ (ค.ศ. 1402-1424) แห่งราชวงศ์หมิง โดยนำมาจากเมืองมาลินดี (เคนยา) กลับโดยผ่านนานกิง ซึ่งเป็นสัตว์ที่ชาวจีนไม่เคยเห็นมาก่อน จึงเชื่อว่าเป็นกิเลน และทรงโปรดให้จิตรกรวาดภาพกิเลนเอาไว้ประดับในพระราชวัง ต่อมาภาพนี้ชำรุดเสียหาย ต่อมาในยุคราชวงศ์ชิง พระจักรพรรดิจึงสั่งให้วาดเอาไว้
ส่วนเกี่ยวข้อง
หากเทียบกับเทพปกรณัมของตะวันตก ถือได้ว่ากิเลนมีลักษณะเฉพาะใกล้เคียงกับยูนิคอร์น
https://th.wikipedia.org/wiki/