จะเกิดอะไรขึ้น! หากดื่ม มัทฉะ (Matcha) ชาเขียวทุกวัน?
มัทฉะคืออะไร?
มัทฉะ (Matcha) เป็นชาเขียวผงชนิดพิเศษที่ปลูกและผลิตในประเทศญี่ปุ่น เป็นส่วนสำคัญของพิธีชงชาแบบดั้งเดิมของญี่ปุ่นที่มีมานานหลายศตวรรษ และได้รับความนิยมอย่างมากทั่วโลกจากรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์และด้านประโยชน์ต่อสุขภาพ คำว่า "มัทฉะ" นั้นแปลว่า "ชาผง"
"抹" อ่านว่า "มะ" และแปลว่า "ถู" หรือ "บด"
"茶" อ่านว่า "ชา" แปลว่า "ชา"
ดังนั้น เมื่อรวมกันแล้ว "抹茶" หมายถึง "ชาบด"หรือ"ชาผง" ซึ่งก็คือมัทฉะนั่นเอง - ผงบดละเอียดของใบชาเขียวที่ปลูกเป็นพิเศษและแปรรูป
ต้นกำเนิด
ต้นกำเนิดของมัทฉะต้องย้อนกลับไปที่ประเทศจีนในช่วงราชวงศ์ถัง (ค.ศ. 618-907) ชาวจีนในยุคนั้นจะนำใบชามานึ่งแล้วปั้นเป็นก้อนอิฐเพื่อความสะดวกในการขนส่งและค้าขาย จากนั้นนำก้อนชาเหล่านี้มาบดเป็นผงแล้วผสมกับน้ำร้อน การบริโภคชารูปแบบนี้ได้แพร่ไปยังประเทศญี่ปุ่นโดยพระสงฆ์ชื่อ Eisai ในช่วงปลายศตวรรษที่ 12 ซึ่งชาชนิดนี้ถูกใช้ในพิธีกรรมทางศาสนาในอารามทางพุทธศาสนา
อย่างไรก็ตาม ในญี่ปุ่นนั้นการเพาะปลูกและการบริโภคชาผงนั้นเฟื่องฟูอย่างแท้จริง ในที่สุดก็พัฒนาเป็นรูปแบบพิเศษที่เรียกว่ามัทฉะ ชาวญี่ปุ่นเริ่มปลูกต้นชาในที่ร่มเพื่อเพิ่มปริมาณคลอโรฟิลล์ในใบ ซึ่งทำให้ผงชาที่ได้มีสีเขียวสดใสและมีรสชาติเฉพาะตัว วิธีการปลูกนี้ยังช่วยเพิ่มระดับของสารอาหารบางชนิดในชา รวมทั้งแอล-ธีอะนีนและคาเฟอีน
ในศตวรรษที่ 16 ปรมาจารย์ด้านชาชื่อ Sen no Rikyu ได้กำหนดวิธีการทำและเสิร์ฟมัทฉะตามแบบพิธีการ ซึ่งสืบทอดกันมาจากรุ่นสู่รุ่นและยังคงปฏิบัติตามมาจนถึงทุกวันนี้ นอกจากนี้เขายังมีบทบาทสำคัญในการทำให้มัทฉะเป็นที่นิยมในหมู่ชนชั้นซามูไรของญี่ปุ่นอีกดวย
เมื่อเวลาผ่านไป มัทฉะกลายเป็นส่วนสำคัญของวัฒนธรรมและประเพณีของญี่ปุ่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งผ่านพิธีชงชาที่เรียกว่า "ชาโนยุ (Chanoyu)" หรือวิถีแห่งชา พิธีนี้เป็นสัญลักษณ์ของความสามัคคี ความเคารพ ความบริสุทธิ์ และความเงียบสงบ
แม้ว่ามัทฉะจะเลิกได้รับความนิยมในจีนและนิยมนำไปชงเป็นชาใบหลวมแทน แต่ก็ยังคงเป็นส่วนสำคัญของวัฒนธรรมญี่ปุ่นและเริ่มได้รับความนิยมอย่างมากทั่วโลกในศตวรรษที่ 21 ปัจจุบันมัทฉะได้รับความนิยมไม่เพียงแค่รสชาติที่เป็นเอกลักษณ์และประโยชน์ต่อสุขภาพเท่านั้น แต่ยังมีความสำคัญทางวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์อย่างลึกซึ้งอีกด้วย
กระบวนการผลิต
การผลิตมัทฉะเป็นกระบวนการที่ต้องใช้ความละเอียดอ่อน สองสามสัปดาห์ก่อนการเก็บเกี่ยว ต้นชาที่ใช้สำหรับมัทฉะจะได้รับร่มเงาเพื่อป้องกันแสงแดดโดยตรง กระบวนการนี้จะเพิ่มปริมาณคลอโรฟิลล์ ทำให้ใบมีสีเขียวสดใส และเพิ่มปริมาณกรดอะมิโน โดยเฉพาะ แอล-ธีอะนีน ซึ่งเชื่อว่ามีผลทำให้สงบ ผ่อนคลาย
หลังจากเก็บใบแล้ว ก็นำไปนึ่ง จากนั้นผึ่งลมให้แห้ง ใบชาแห้งที่เรียกว่า “เทนฉะ” จะถูกบดเป็นผงละเอียดโดยใช้เครื่องโม่หิน ผงละเอียดนี้เป็นผงมัทฉะที่ใช้ในพิธีชงชาและปรุงอาหาร
รสชาติ
มัทฉะโดดเด่นในรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว อุดมไปด้วยผักและรสหวานเล็กน้อย หรืออาจจะมีรสขมได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเป็นมัทฉะคุณภาพต่ำหรือชงด้วยน้ำที่ร้อนเกินไป
ขั้นตอนการชงมัทฉะที่ดีที่สุด
การชงมัทฉะเป็นวิธีการที่สงบ ใจเย็น ใช้เวลาและได้เพลิดเพลินไปกับมัน ผลลัพธ์ที่ได้คือเครื่องดื่มสีเขียวที่สวยงาม มีชีวิตชีวา และดีต่อสุขภาพ
- อุ่นชาม
ขั้นแรก เทน้ำร้อนลงในชามมัทฉะเพื่อให้ชามอุ่น หลังจากนั้นสักครู่ ให้เทน้ำทิ้งและใช้ผ้าเช็ดชามให้แห้ง - ตวงผงมัทฉะ
ใช้ chashaku (ช้อนไม้ไผ่) ตวงผงมัทฉะ 1-2 สกู้ป (เทียบเท่า 1-2 ช้อนชา) แล้วใส่ลงในชามที่อุ่นไว้ หากต้องการรสชาติที่เข้มข้นขึ้น ก็สามารถเติมมัทฉะเพิ่มได้ - เติมน้ำ
เทน้ำร้อนประมาณ 2 ออนซ์ (60 มิลลิลิตร) ลงในชาม น้ำควรร้อนแต่ต้องไม่เดือด อุณหภูมิที่เหมาะสมคือประมาณ 80°C (175°F) น้ำเดือดอาจทำให้มัทฉะไหม้และทำให้มีรสขมได้ - ตีมัทฉะ
ใช้ Chasen (ตะกร้อไม้ไผ่) ผสมผงมัทฉะกับน้ำเข้าด้วยกัน ปัดในลักษณะซิกแซกหรือตัวอักษร "W" จนกว่าผงทั้งหมดจะละลายและชาเกิดฟอง ควรใช้เวลาประมาณ 15-30 วินาที - พร้อมดื่ม
ตอนนี้ชามัทฉะก็พร้อมดื่มแล้ว! ให้ดื่มด่ำรสชาติและกลิ่นหอมในขณะที่ยังอุ่นและเป็นฟองอยู่
ประโยชน์ของมัทฉะ
โดยปกติแล้วผงมัทฉะธรรมดามีแคลอรีที่ต่ำมากและสามารถเป็นส่วนหนึ่งของการไดเอทและสุขภาพที่ดีได้ การดื่มมัทฉะทุกวันนั้นมีประโยชน์มากมาย ทั้งในด้านของสุขภาพกาย และสุขภาพจิต
- อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidants)
มัทฉะเต็มไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ โดยเฉพาะ "คาเทชิน (catechins)" ซึ่งเป็นสารประกอบตามธรรมชาติที่ช่วยป้องกันความเสียหายของเซลล์และให้ประโยชน์ต่อสุขภาพอื่นๆ สารต้านอนุมูลอิสระที่มีความเข้มข้นสูงในมัทฉะช่วยให้ร่างกายป้องกันความเสียหายจากอนุมูลอิสระที่เป็นอันตราย ลดความเสี่ยงต่อโรคเรื้อรัง เช่น โรคหัวใจและมะเร็งได้ - ช่วยให้จิตใจความสงบ ผ่อนคลาย
มัทฉะมีกรดอะมิโนแอล-ธีอะนีน (amino acid L-Theanine) ซึ่งจะช่วยเพิ่มคลื่นอัลฟ่าในสมอง ทำให้รู้สึกผ่อนคลายโดยไม่รู้สึกง่วงนอน สิ่งนี้สามารถช่วยลดความเครียดและความวิตกกังวลได้ แอล-ธีอะนีนยังช่วยเพิ่มสมาธิและความจำ ทำให้มัทฉะเป็นเครื่องดื่มที่มีประโยชน์ในการเริ่มต้นวันใหม่ที่สดใส - บำรุงหัวใจ
การบริโภคมัทฉะเป็นประจำสามารถช่วยบำรุงหัวใจได้เนื่องจากมีผลในการลดคอเลสเตอรอล สารต้านอนุมูลอิสระในมัทฉะสามารถช่วยป้องกันการเกิดออกซิเดชันของคอเลสเตอรอล LDL (คอเลสเตอรอลที่ "ไม่ดี") ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงของโรคหัวใจได้ - ให้พลังงานที่เสถียร
มัทฉะให้พลังงานที่เสถียรอ่อนโยน เนื่องจากการผสมผสานที่เป็นเอกลักษณ์ของคาเฟอีนจากธรรมชาติและแอล-ธีอะนีน ทำให้รู้สึกกระฉับกระเฉงแบบอ่อนโยน ซึ่งแตกต่างจากกาแฟซึ่งสามารถทำให้หัวใจเต้นเร็วเกินได้ คาเฟอีนในมัทฉะจะถูกปล่อยออกมาอย่างช้าๆ ทำให้ระดับพลังงานคงที่ - ช่วยในการควบคุมน้ำหนัก
การศึกษาชี้ให้เห็นว่าคาเทชินในมัทฉะสามารถเพิ่มอัตราการเผาผลาญไขมันได้ ซึ่งสามารถช่วยให้บรรลุเป้าหมายการลดน้ำหนักได้ง่ายและเร็วขึ้น มัทฉะสามารถเป็นตัวช่วยเสริมที่ดีสำหรับการไดเอทและการใช้ชีวิตในประจำวัน - ล้างพิษในร่างกาย
คลอโรฟิลล์ที่มีอยู่ในมัทฉะ (ซึ่งทำให้มีสีเขียวสดใส) การดื่มชานี้เป็นประจำสามารถช่วยล้างพิษในร่างกายตามธรรมชาติ ขจัดสารพิษที่เป็นอันตรายออกจากระบบร่างกาย และช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของตับอีกด้วย - ช่วยเพิ่มระบบภูมิคุ้มกัน
การรวมกันของสารต้านอนุมูลอิสระ, แอล-ธีอะนีน, EGCG (Epigallocatechin Gallate) และวิตามินต่างๆ ที่มีอยู่ในมัทฉะทำงานร่วมกันเพื่อเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน ช่วยให้ห่างไกลจากโรคภัยไข้เจ็บและฟื้นตัวได้เร็วขึ้น
มัทฉะในการทำอาหาร
นอกเหนือจากการเป็นเครื่องดื่มที่ดีต่อสุขภาพแล้ว มัทฉะยังนิยมในฐานะส่วนผสมในการทำอาหารและการอบอีกด้วย มัทฉะให้สีเขียวที่สวยงามและรสชาติที่โดดเด่นแก่อาหารหลากหลายชนิด มัทฉะใช้ในการทำไอศกรีม เค้ก สมูทตี้ ลาเต้ และแม้แต่อาหารคาว เช่น พาสต้า ซุป ริซอตโต้ เป็นต้น
เคล็ดลับการจัดเก็บรักษามัทฉะ
การเก็บมัทฉะอย่างถูกต้องเป็นสิ่งสำคัญในการรักษารสชาติ สี และคุณค่าทางโภชนาการ
- อย่าให้สัมผัสกับอากาศ
เก็บมัทฉะไว้ในภาชนะที่ปิดสนิทเพื่อป้องกันไม่ให้สัมผัสกับออกซิเจน การสัมผัสกับอากาศอาจทำให้คุณภาพของมัทฉะลดลงเมื่อเวลาผ่านไป ทำให้สูญเสียสีเขียวสดและรสชาติที่เพี้ยนออกไป - เย็นและมืด
เก็บมัทฉะไว้ในที่เย็น 15-20°C (59-68°F) และมืด ตู้ครัวที่อยู่ห่างจากแหล่งความร้อนเป็นตัวเลือกที่ดี แสงและความร้อนสามารถทำให้คุณภาพของมัทฉะลดลงได้ - การแช่เย็น
หากไม่ได้วางแผนที่จะใช้มัทฉะภายในสองสามสัปดาห์หลังจากเปิด ให้เก็บไว้ในตู้เย็น 1-4°C (34-39°F) อุณหภูมิที่เย็นสามารถช่วยรักษาคุณภาพของมัทฉะได้ อย่างไรก็ตาม ตรวจสอบให้แน่ใจว่าภาชนะบรรจุนั้นปิดสนิทก่อนที่จะนำไปแช่เย็น เนื่องจากมัทฉะสามารถดูดซับกลิ่นจากอาหารอื่นๆได้ เมื่อนำออกจากตู้เย็น ปล่อยทิ้งไว้สักพักให้เป็นอุณหภูมิห้องก่อนเปิดภาชนะเพื่อหลีกเลี่ยงการควบแน่นภายใน - บริโภคทันที
เมื่อเปิดบรรจุภัณฑ์มัทฉะแล้ว ควรใช้ให้หมดภายใน2-3สัปดาห์ เพราะมัทฉะไวต่ออากาศ แสง และความร้อน ดังนั้นแม้ในสภาวะที่เหมาะสม ก็ควรบริโภคให้เร็วที่สุดเพื่อให้ได้รสชาติที่สดใหม่ที่สุด - หลีกเลี่ยงการแช่แข็ง
ไม่แนะนำให้แช่แข็งมัทฉะ ซึ่งแตกต่างจากชาอื่นๆ เนื่องจากกระบวนการแช่แข็งและการละลายอาจทำให้เกิดการควบแน่นซึ่งทำให้คุณภาพของชาลดลงอย่างมาก
มัทฉะเป็นชาที่ต้องใช้ความระมัดระวังในการเก็บรักษามากกว่าชาประเภทอื่นเล็กน้อย เมื่อทำตามหลักเกณฑ์เหล่านี้ มั่นใจได้เลยว่ามัทฉะจะยังคงสดใหม่และมีรสชาติดีมากที่สุด
มัทฉะมีรสชาติเป็นเอกลักษณ์ มีประโยชน์ต่อสุขภาพมากมาย ควรดื่มทุกวัน และนำไปใช้งานได้หลากหลายในการประกอบอาหารหรือขนมต่างๆ เป็นชาประเภทหนึ่งที่โดดเด่นอย่างแท้จริง ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่ชื่นชอบการดื่มชามาเป็นเวลานานหรือเพิ่งเริ่มรู้จักโลกของชา มัทฉะจะมอบประสบการณ์ที่ดีและคุ้มค่าแก่การลอง
Matcha , จะเกิดอะไรขึ้น! หากดื่ม มัทฉะ (Matcha) ชาเขียวทุกวัน?
ที่มา :: https://www.bigfridgeboy.com/
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น