พระเจ้าสร้างฟ้าสวรรค์และโลก ปฐมกาลบทที่ 1
พระคัมภีร์คือพระวจนะของพระเจ้าที่มาถึงมนุษย์ทุกคน สิ่งต่าง ๆ ที่เขียนไว้ในพระคัมภีร์นั้นมุ่งเน้นไปที่บุคคลเพียงคนเดียว ซึ่งก็คือ “พระเยซู” กับเหตุการณ์เพียง 2 เหตุการณ์ นั่นคือ “การเสด็จมาครั้งแรก” ของพระเยซูเพื่อไถ่บาป กับ “การเสด็จมาครั้งที่สอง” เพื่อให้สำเร็จตามพระสัญญาต่าง ๆ ที่ให้ไว้พร้อมทั้งทำลายโลกใบนี้และสร้างโลกใหม่ขึ้น ดังนั้นการทำความเช้าใจพระคัมภีร์จะช่วยให้เราเข้าใจสิ่งต่าง ๆ รอบตัวเราในโลกใบนี้ได้ดียิ่งขึ้น
พระธรรมปฐมกาลเป็นหนังสือเล่มแรกในพระคัมภีร์ เป็นหนังสือที่พูดถึง “จุดกำเนิด” ของสิ่งต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการกำเนิดของจักรวาล การกำเนิดของโลก และการกำเนิดมนุษย์ นอกจากนี้ยังพูดถึง “จุดเริ่มต้น” ของสิ่งต่าง ๆ ด้วย เช่น จุดเริ่มต้นของบาป การแต่งงาน การปกครอง รวมไปถึงจุดเริ่มต้นของชนชาติต่าง ๆ โดยเฉพาะคนอิสราเอลซึ่งเป็นประชากรที่พระเจ้าทรงเลือก เป็นชนชาติที่พระเจ้าจะให้พระเมสสิยาห์ลงมาเกิดเพื่อไถ่มนุษย์ให้หลุดพ้นจากความบาป
การที่พระธรรมปฐมกาลบอกถึงจุดเริ่มต้นของสิ่งต่าง ๆ ดังนั้นพระธรรมปฐมกาลจึงเป็นรากฐานของสิ่งทั้งปวงและเป็นรากฐานของความเชื่อคริสเตียนด้วย จึงไม่น่าแปลกใจที่มีการอ้างถึงพระธรรมปฐมกาลจำนวนมากในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่ เช่น เรื่องการผูกพันกับภรรยาในมัทธิว 19:5 – 6 ก็อ้างถึงปฐมกาล 2:24 หรือการกล่าวถึงบุคคลแห่งความเชื่อในฮีบรูบทที่ 11:4 – 7 ก็อ้างถึงปฐมกาล 4:3 – 5, 5:21 – 24, 7:1 เป็นต้น
หากจะแบ่งพระธรรมปฐมกาล เราสามารถแบ่งได้เป็น 2 ส่วนหลัก ๆ คือ
บทที่ 1 – 11 กินเวลาประมาณ 1,700 ปี ขึ้นอยู่กับว่าเราจะตีความคำว่า “ในปฐมกาล” นานเท่าไร ในส่วนนี้จะเป็นการบันทึกประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ โดยจะมี 4 เหตุการณ์ใหญ่ ๆ เกิดขึ้น นั่นคือ การสร้างโลก การสร้างมนุษย์ มนุษย์ทำบาป และน้ำท่วมโลก
บทที่ 12 – 50 กินเวลาประมาณ 500 ปี เป็นการบันทึกถึง 4 บุคคลสำคัญ ได้แก่ อับราฮัม อิสอัค ยาโคบและโยเซฟ เป็นการพูดถึงจุดเริ่มต้นของชนชาติที่พระเจ้าทรงเลือก ชนชาติที่พระเจ้าตั้งใจจะอวยพรและให้เป็นพรแก่ชนทุกชาติ
เป็นที่น่าสังเกตว่าพระเจ้าไม่ได้ให้รายละเอียดอะไรมากนักเกี่ยวกับการทรงสร้าง ใช้เพียงแค่ 11 บท เท่านั้น แต่พระองค์ทรงให้รายละเอียดถึงคนอิสราเอลค่อนข้างมาก เพราะนี่คือเป้าหมายของพระองค์ที่ต้องการช่วยมนุษย์ให้รอด พระองค์ทรงใช้เวลามากกว่าในการพูดถึงอับราฮัม อิสอัค ยาโคบและโยเซฟ ทั้งนี้เพราะวัตถุประสงค์ของพระธรรมปฐมกาลนั้นไม่ได้มุ่งเน้นที่มาที่ไปของโลกใบนี้ แต่ต้องการจะบอกถึงการกำเนิดของสิ่งต่าง ๆ รวมทั้งการกำเนิดของชนชาติที่พระเจ้าทรงเลือกและการมาของพระเมสสิยาห์ผ่านทางชนชาติที่พระเจ้าทรงเลือกนั้น
คำว่า “ในปฐมกาล” เราไม่สามารถย้อนไปไกลกว่านี้ได้ เพราะนี่คือ “จุดเริ่มต้น” คำถามคือ เมื่อไรคือ “ในปฐมกาล” ?
นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าโลกเรามีอายุประมาณ 4.54 พันล้านปี + - ไม่เกิน 50 ล้านปี ซึ่งมีที่มาจากการหาอายุของหินจากธาตุกัมมันตรังสี (Radiometric (carbon) Dating) โดยมีการพบหินที่ประเทศแคนนาดามีอายุ 4.03 พันล้านปี และที่ประเทศออสเตรเลีย อายุประมาณ 4.3 พันล้านปี นอกจากนี้ยังได้มีการเอาหินจากดวงจันทร์มาคำนวณอายุ เพราะเชื่อว่าดวงจันทร์น่าจะเคยเป็นส่วนหนึ่งของโลกแต่ถูกอุกาบาตชนจนแตกออกไป จากการคำนวณพบว่าหินบนดวงจันทร์มีอายุประมาณ 4.4 – 4.5 พันล้านปี ดังนั้นอายุของโลกจึงน่าจะพอ ๆ กับอายุของดวงจันทร์นั่นเอง
สำหรับนักวิชาการคริสเตียน หลายคนเชื่อว่าโลกมีอายุประมาณ 6,000 ปี เท่านั้น แนวคิดนี้เชื่อว่าการสร้างโลก 1 วัน ในพระธรรมปฐมกาล เท่ากับ 24 ชั่วโมง ดังนั้นเมื่อคำนวณอายุของบุคคลต่าง ๆ ในพระคัมภีร์ตั้งแต่สร้างโลกจนถึงพระธรรมมาลาคี และในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่ตั้งแต่พระเยซูเกิดจนมาถึงปัจจุบัน น่าจะกินเวลาประมาณ 6,000 ปี และนี่ก็คืออายุของโลกใบนี้ ซึ่งแตกต่างจากความเห็นของนักวิทยาศาสตร์ค่อนข้างมาก
คงจะไม่มีประโยชน์หากจะมาถกเถียงว่ามุมมองไหนถูกหรือผิด เพราะต่างก็มีเหตุผลมาสนับสนุนความคิดของตน แต่สิ่งที่เหมือนกันของ 2 แนวความคิดนี้ก็คือ ต่างต้องใช้ “ความเชื่อ” ทั้งสิ้น อยากให้เราลองมองย้อนไปที่พระธรรมโยบ เมื่อพระเจ้าทรงถามโยบในพระธรรมโยบ 38:1 – 6 ว่า
“แล้วพระยาห์เวห์ทรงตอบโยบจากพายุว่า “นี่ผู้ใดหนอที่ให้คำปรึกษามืดมนไปด้วยถ้อยคำอันปราศจากความรู้? จงคาดเอวอย่างลูกผู้ชาย เราจะถามเจ้า ขอเจ้าตอบเรา “เจ้าอยู่ที่ไหน เมื่อเราวางรากฐานของแผ่นดินโลก? บอกมาเลย ถ้าเจ้ามีความเข้าใจ ผู้ใดได้กำหนดขนาดให้โลก? แน่นอนละ เจ้าต้องรู้ซี หรือผู้ใดขึงเชือกวัดบนนั้น? รากฐานของโลกจมไปอยู่บนอะไร? ผู้ใดวางศิลามุมเอกของมัน”
ไม่มีใครอยู่ตอนที่พระเจ้าสร้างโลกใบนี้ มีแต่พระเจ้าเท่านั้น ดังนั้นจะพูดเรื่องการกำเนิดโลกยังไงก็ได้เพราะไม่มีใครรู้คำตอบที่แท้จริง ทางที่ดีที่สุดก็คือ ให้พูดในสิ่งที่เรารู้ และที่เรารู้แน่ ๆ ก็คือ คำว่า “ในปฐมกาล พระเจ้า…” นั่นหมายความว่า พระเจ้าทรงอยู่มาก่อนแล้ว และพระองค์เป็นผู้เดียวที่จะบอกได้ว่าโลกมีอายุเท่าไร เพราะพระองค์ทรงอยู่ที่นั่น
“ในปฐมกาล พระเจ้าทรงเนรมิตสร้างฟ้าและแผ่นดิน” ปฐมกาล 1:1
หลายคนปฏิเสธพระเจ้า ไม่เชื่อว่าพระเจ้ามีอยู่จริง คนเหล่านี้เชื่อว่าจุดเริ่มต้นของสิ่งต่าง ๆ นั้นมีเพียงกลุ่มแก๊สและอวกาศที่ว่างเปล่า แต่คำถามก็คือ กลุ่มแก๊สและอวกาศที่ว่างเปล่านี้มาจากไหน? เราไม่สามารถหาคำตอบได้จนกว่าจะยอมรับว่า “ในปฐมกาล พระเจ้า…” เพราะพระเจ้าทรงดำรงอยู่ก่อนสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น และพระองค์ทรงสร้างสิ่งเหล่านี้ จะต้องมีสิ่งที่ดำรงอยู่ก่อน “โดยไม่ต้องมีที่มา” ถึงจะอธิบายได้
แล้วทำไมคนจึงอยากเอาพระเจ้าออกไปจากปฐมกาล? เพราะคนเหล่านี้คิดว่าตนฉลาด ไม่จำเป็นต้องมีพระเจ้า เขามีสติปัญญาสามารถคิดเองได้ ในโรม 1:21-23 บอกว่า
“เพราะถึงแม้ว่าเขาได้รู้จักพระเจ้าแล้ว เขาก็ไม่ได้ถวายพระเกียรติแด่พระองค์ให้สมกับที่ทรงเป็นพระเจ้า หรือขอบพระคุณพระองค์ แต่พวกเขากลับคิดในสิ่งที่ไม่เป็นสาระ และจิตใจโง่เขลาของเขาก็มืดมัวไป ในการอ้างตัวว่าเป็นคนมีปัญญา เขากลายเป็นคนโง่เขลาไป และเขาได้เอาพระสิริของพระเจ้าผู้เป็นอมตะมาแลกกับรูปมนุษย์ที่ต้องตาย หรือรูปนก รูปสัตว์สี่เท้า และรูปสัตว์เลื้อยคลาน”
ความมั่นใจในสติปัญญาของตนเองทำให้คนเหล่านี้เชื่อว่า “ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน” พระเจ้ามีไว้สำหรับคนที่ขาดความเชื่อมั่น คนที่ต้องการความหวัง หากเขายอมรับว่ามีพระเจ้าที่รับผิดชอบโลกนี้อยู่ และเขาอยู่ในโลกของพระองค์ นั่นหมายถึงชีวิตของเขาก็อยู่ในความรับผิดชอบของพระเจ้าด้วย และนี่คือสิ่งที่พวกเขายอมรับไม่ได้ !!
แต่ถ้าเราเชื่อปฐมกาล 1:1 ว่า “ในปฐมกาล พระเจ้าทรงเนรมิตสร้างฟ้าและแผ่นดิน” เรื่องอื่น ๆ ในพระคัมภีร์ก็เชื่อได้ไม่ยาก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องน้ำท่วมโลก หรือโยนาห์ที่อยู่ในท้องปลา เรื่องพวกนี้เป็นเรื่องเล็กน้อยเมื่อเทียบกับการทรงสร้างของพระเจ้า หรือ เรื่องการถูกรับขึ้นไปบนสวรรค์ของเอลียาห์ พระเยซูทรงดำเนินบนน้ำ คนตายที่ฟื้นคืนชีพได้ เรื่องพวกนี้เหมือนกับการปลอกกล้วยเข้าปากเมื่อเทียบกับความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าที่สร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก
คนสมัยใหม่นั้นเชื่อในทฤษฎีวิวัฒนาการของชาร์ล ดาวิน เชื่อว่าสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ เกิดจากการวิวัฒนาการ ไม่ได้เกิดจากการทรงสร้างของพระเจ้า แต่ปัญหาของทฤษฎีวิวัฒนาการก็คือ เราขาดหลักฐานทางด้านซากดึกดำบรรพ์ หรือ ฟอสซิล (Fossil) เช่น ความเชื่อที่ว่าคนเราเป็นผลมาจากการวิวัฒนาการของลิง ถ้าสิ่งนี้เป็นความจริง เราต้องมีหลักฐานทางฟอสซิลจำนวนมากของลิงที่กำลังวิวัฒนาการจากลิงมาสู่คน แต่ในความเป็นจริงแล้วเราเจอแต่ฟอสซิลของลิงหรือไม่ก็คนเท่านั้น เราขาดฟอสซิลช่วงรอยต่อนี้ไป นอกจากนี้ถ้าหากแนวคิดนี้เป็นความจริง เราก็ต้องเห็นลิงที่กำลังวิวัฒนาการมาเป็นคนในปัจจุบันด้วย หรือไม่ก็สิ่งมีชีวิตอื่น ๆ ที่วิวัฒนาการไปสู่สิ่งมีชีวิตที่ดีขึ้นและซับซ้อนขึ้น แต่เราไม่เคยเห็นปรากฏการณ์นี้เลย นี่จึงเป็นหลักฐานที่เพียงพอต่อการปฏิเสธทฤษฎีวิวัฒนาการว่าเป็นเพียงแค่แนวความคิดเท่านั้น ไม่ได้เป็นความจริงเลย คำถามก็คือ ถ้าโลกไม่ได้เกิดจากการวิวัฒนาการแล้ว โลกเกิดขึ้นได้อย่างไร?
ความสวยงามของธรรมชาติ ภูเขา ทะเล ป่าไม้ ลำธาร ความซับซ้อนของระบบต่าง ๆ ในร่างกายของสิ่งมีชีวิต การออกแบบวงจรชีวิตของสัตว์ต่าง ๆ หรือระบบนิเวศในธรรมชาติล้วนแล้วแต่ได้รับการสร้างสรรค์อย่างมีระบบระเบียบ เป็นไปได้หรือที่สิ่งสวยงามและมีระบบซับซ้อนเช่นนี้จะสามารถเกิดขึ้นได้เอง? “โลกต้องมีคนออกแบบ” เมื่อมีการออกแบบก็ต้องมีผู้ออกแบบ ซึ่งก็คือ “พระเจ้า” นั่นเอง
การเชื่อในทฤษฎีวิวัฒนาการที่เชื่อว่าโลกที่ซับซ้อนเกิดขึ้นได้เองนั้นต้องใช้ความเชื่อมากกว่าคริสเตียนที่เชื่อว่าพระเจ้าทรงสร้างโลกเสียอีก เหมือนกับการเชื่อว่า “เก้าอี้” ตัวหนึ่งที่วางอยู่บนสนามหญ้านั้นเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ เกิดจากการระเบิดของจักรวาลเมื่อหลายพันล้านปีก่อน เมื่ออยู่ในสภาวะที่เหมาะสม เศษไม้ต่าง ๆ ก็ปลิวมารวมตัวกันผ่านทางพายุ ผ่านการกดทับ ผ่านการกระแทกของสิ่งต่าง ๆ ที่อยู่รอบตัวจนกลายมาเป็น “เก้าอี้” ที่เราเห็นในที่สุด คำถามคือ การเชื่อว่า “เก้าอี้” เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติกับมีคนสร้างขึ้น อย่างไหนต้องใช้ความเชื่อมากกว่ากัน? “เก้าอี้” ที่เป็นสิ่งที่ไม่สลับซับซ้อนอะไรเรายังเชื่อว่าต้องมีคนสร้างขึ้น แล้วทำไมโลกที่สลับซับซ้อน สวยงาน เรากลับเชื่อว่าเกิดขึ้นเองละ?
ถ้าเรารู้ว่าพระเจ้าเป็นใคร ก็ไม่ยากที่จะเชื่อว่าพระเจ้าทรงสร้างโลก และก็ไม่ยากที่จะเชื่อว่าพระเจ้าจะช่วยเราในสถานการณ์ที่ยากลำบากของชีวิต เพราะเรารู้จักพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ เพราะเราเป็นลูกของพระองค์
วันที่ 1 - แยกความสว่างออกจากความมืด
“พระเจ้าตรัสว่า “จงเกิดความสว่าง” ความสว่างก็เกิดขึ้น พระเจ้าทรงเห็นว่าความสว่างนั้นดี และทรงแยกความสว่างออกจากความมืด พระเจ้าทรงเรียกความสว่างนั้นว่า วัน และความมืดนั้นว่า คืน มีเวลาเย็นและเวลาเช้า เป็นวันแรก” ปฐมกาล 1:3 – 5
มีหลายคนพยายามตีความคำว่า “วัน” ในปฐมกาลบทที่ 1 ว่า 1 วัน มีระยะเวลาเท่ากับ 1 ล้านปี เพื่อให้สอดคล้องกับทฤษฎีที่ว่าโลกเกิดจากการระเบิด “บิกแบง” และต้องใช้ระยะเวลาเป็นล้าน ๆ ปี เพื่อให้โลกเกิดการวิวัฒนาการจนเป็นโลกในปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม นักวิชาการคริสเตียนเชื่อว่า คำว่า “วัน” ในเรื่องการทรงสร้างของพระเจ้านั้นน่าจะหมายถึงเวลา 24 ชั่วโมง เพราะไม่เชื่อเรื่องวิวัฒนาการที่ต้องใช้เวลาหลายล้านปีกว่าจะก่อกำเนิดเป็นโลกใบนี้ นอกจากนี้พระคัมภีร์ยังระบุชัดเจนว่า “เป็นวันแรก” “เป็นวันที่สอง” ไปเรื่อย ๆ จนถึง “วันที่เจ็ด” อีกทั้งยังมีการระบุในแต่ละวันว่า “มีเวลาเย็นและเวลาเช้า เป็นวันที่…” ซึ่งเป็นการบอกที่ชัดเจนถึงการหมุนของโลกที่จบใน 1 วัน จึงยากที่จะตีความ คำว่า “วัน” เป็นอย่างอื่น
ไม่เพียงเท่านี้ การตีความคำว่า “วัน” ในปฐมกาลบทที่ 1 ว่า “1 วัน = 1 ล้านปี” ก็ก่อให้เกิดข้อขัดแย้งอื่น ๆ ในพระคัมภีร์อีกด้วย โดยเฉพาะเรื่องอายุของอาดัม ในปฐมกาล 5:5 บอกว่า “รวมอายุของอาดัมได้ 930 ปี จึงสิ้นชีวิต” สมมติว่าพระเจ้าสร้างอาดัมหลังจากวันที่ 6 ผ่านไปแล้วครึ่งวัน และอยู่ในวันที่ 7 ที่พระเจ้าทรงหยุดพักด้วย หาก “1 วัน = 1 ล้านปี” ดังนั้นอายุของอาดัมก็จะเท่ากับ 1,500,930 ปี ซึ่งชีวิตของอาดัมไม่น่าจะยืนยาวเป็นล้านปีได้
แท้จริงแล้วการใช้เวลา 24 ชั่วโมงสำหรับการทรงสร้างก็นานเกินไปสำหรับพระเจ้า เพราะถ้าพระองค์จะประสงค์ พระองค์สามารถใช้เวลาแค่ 1 วินาทีก็ได้ แล้วทำไมพระเจ้าต้องใช้เวลาถึง 6 วันในการสร้างโลก? เหตุผลที่น่าจะเป็นไปได้ก็คือ เพื่อเป็นแบบอย่างให้แก่เรา เพื่อให้เราทำงาน 6 วัน และพักผ่อนในวันที่ 7 ซึ่งสอดคล้องกับบทบัญญัติ 10 ประการ ที่พระเจ้าได้สั่งโมเสสให้บอกกับชนชาติของพระองค์ให้หยุดพักจากการงานและถือรักษาวันสะบาโตถือเป็นวันบริสุทธิ์ (อพยพ 20:8 -11)
เป็นที่น่าสังเกตว่าในหกวันแห่งการทรงสร้างนั้น พระเจ้าตรัสว่า “มีเวลาเย็นและเวลาเช้า เป็นวันที่ …” เป็นการนับวันตั้งแต่พระอาทิตย์ตกไปจนถึงพระอาทิตย์ตกของอีกวันหนึ่ง นี่จึงเป็นที่มาของการนับวันของชนชาติอิสราเอลที่เริ่มต้นวันใหม่ในเวลาเย็นแทนที่จะเป็นเวลาเช้าเหมือนกับประเทศอื่น ๆ ในโลกนี้
พระเจ้าตรัสว่า “จงเกิดความสว่าง” คำถามคือ ความสว่างนี้มาจากไหน เพราะพระเจ้าสร้างดวงอาทิตย์ในวันที่ 4? คำตอบคือ เราไม่รู้ แต่เราสามารถคาดเดาได้ว่าอาจจะเป็นพระสิริของพระเจ้าที่ส่องแสงมายังโลก เหมือนกับที่บอกในวิวรณ์ 22:5 ว่า “กลางคืนจะไม่มีอีกต่อไป เขาไม่จำเป็นต้องมีแสงตะเกียงหรือแสงอาทิตย์ เพราะว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าคือพระเจ้าจะทรงเป็นแสงสว่างของเขาทั้งหลาย และเขาจะครอบครองอยู่ตลอดไปเป็นนิตย์” นี่น่าจะเป็นเหตุผลที่ดีที่สุดว่าทำไมถึงเกิดแสงสว่างได้โดยไม่มีพระอาทิตย์
วันที่ 2 – สร้างพื้นฟ้าและผืนน้ำ
“พระเจ้าตรัสว่า “จงมีภาคพื้นในระหว่างน้ำ แยกน้ำออกจากกัน” พระเจ้าทรงสร้างภาคพื้นนั้นขึ้น แล้วทรงแยกน้ำที่อยู่ใต้ภาคพื้นออกจากน้ำที่อยู่เหนือภาคพื้น ก็เป็นดังนั้น พระเจ้าจึงทรงเรียกภาคพื้นนั้นว่า ฟ้า มีเวลาเย็นและเวลาเช้า เป็นวันที่สอง” ปฐมกาล 1:6 - 8
พระเจ้าทรงทำให้เกิดท้องฟ้าในวันที่สอง คำว่า “ฟ้า” หรือ “ชั้นบรรยากาศ” จะเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “สวรรค์” ก็ได้ เพราะสำหรับคนยิวนั้น คำว่า “สวรรค์” มีความหมายอยู่ 3 แบบ คือ
1. หมายถึงท้องฟ้าหรือชั้นบรรยากาศ เช่น “ไม่มีผู้ใดเหมือนพระเจ้าของเยชูรูน พระองค์เสด็จมาจากฟ้าสวรรค์เพื่อช่วยท่าน เสด็จมาบนเมฆด้วยความสูงส่งของพระองค์” เฉลยธรรมบัญญัติ 33:26
2. หมายถึงตั้งแต่ท้องฟ้าไปจนถึงดวงดาว เช่น “ในปฐมกาล พระเจ้าทรงเนรมิตสร้างฟ้าและแผ่นดิน” ปฐมกาล 1:1
3. หมายถึงที่ ๆ อยู่เหนือดวงดาวขึ้นไป หรือสวรรค์ชั้นที่ 3 เช่น “ข้าพเจ้ารู้จักชายคนหนึ่งที่อยู่ในพระคริสต์ เมื่อสิบสี่ปีที่แล้วเขาถูกรับขึ้นไปยังสวรรค์ชั้นที่สาม (จะไปทั้งร่างกายหรือไปโดยไม่มีร่างกายข้าพเจ้าไม่รู้ พระเจ้าทรงรู้) “ 2 โครินธ์ 12:2
ถ้าหากเราดูพระคัมภีร์ภาษาอังกฤษเวอร์ชั่น New King James ในข้อ 8 จะบอกว่า “And God called the firmament Heaven.” คำว่า “ฟ้า” ในภาษาไทย ก็คือคำว่า “Heaven” (สวรรค์) ในภาษาอังกฤษนั่นเอง เพราะ “ฟ้า” ก็คือสวรรค์ชั้นที่ 1 ตามความหมายของคนยิว
และหากเราลองย้อนกลับไปดูปฐมกาลบทที่ 1: 1 ในเวอร์ชั่น New King James จะเขียนว่า “In the beginning God created the heavens and the earth.” จะเห็นว่าคำว่า “heavens” มีการเติม “S” ซึ่งหมายถึงพหูพจน์ คือไม่ได้มีแค่สวรรค์เดียว นี่จึงหมายความว่าในปฐมกาลนั้น พระเจ้าไม่ได้สร้างแค่โลก แต่ทรงสร้างสวรรค์ทั้ง 3 ชั้น ด้วย
ในวันที่ 2 ของการสร้างโลกนี้ นักวิชาการหลายคนเชื่อว่าการแยกน้ำออกจากกันทำให้มี “ฟ้า” นั้น ส่งผลให้ชั้นบรรยากาศของโลกเต็มไปด้วย “ละอองน้ำ” จำนวนมาก พระเจ้าทรงเตรียมระบบน้ำให้กับต้นไม้ที่พระองค์จะสร้างในวันที่ 3 เนื่องจากโลกไม่เคยมีฝนตกเลยจนกว่าจะเกิดน้ำท่วมโลก แต่พืชต้องการน้ำ ละอองน้ำจำนวนมากที่อยู่ในโลกและในชั้นบรรยากาศนี่เองที่ทำให้ต้นไม้ต่าง ๆ ชุ่มฉ่ำและเจริญเติบโตได้โดยไม่ต้องพึ่งพาน้ำฝนตามธรรมชาติ
วันที่ 3 - สร้างแผ่นดิน ทะเล และพืช
“พระเจ้าตรัสว่า “น้ำที่อยู่ใต้ฟ้าจงรวมอยู่ในที่เดียวกัน ที่แห้งจงปรากฏขึ้น” ก็เป็นดังนั้น พระเจ้าจึงทรงเรียกที่แห้งนั้นว่า แผ่นดิน และที่ซึ่งน้ำรวมกันนั้นว่า ทะเล พระเจ้าทรงเห็นว่าดี พระเจ้าตรัสว่า “แผ่นดินจงเกิดพืช คือ ธัญพืชที่ให้เมล็ด และต้นไม้ผลที่ออกผลตามชนิดของมัน และมีเมล็ดในผลบนแผ่นดิน” และก็เป็นดังนั้น แผ่นดินก็เกิดพืช คือธัญพืชที่ให้เมล็ดตามชนิดของมัน และต้นไม้ที่ออกผลมีเมล็ดในผลตามชนิดของมัน พระเจ้าทรงเห็นว่าดี มีเวลาเย็นและเวลาเช้า เป็นวันที่สาม” ปฐมกาล 1:9 – 13
พระเจ้าทรงเรียกที่แห้งในโลกว่า “แผ่นดิน” และเรียกที่น้ำไปรวมตัวกันว่า “ทะเล” ดังนั้นคำว่า “ทะเล” ในที่นี้จึงหมายถึงน้ำในโลกทั้งหมด
ข้อมูลจาก NASA Space Place บอกว่า น้ำเป็นส่วนประกอบหลักของโลก ซึ่งน้ำส่วนใหญ่จะอยู่ใต้พื้นดิน ในทะเล ในชั้นบรรยากาศ และในสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ บนใบโลกนี้ ร่างกายเรา 60% ประกอบไปด้วย “น้ำ” ในพื้นผิวของโลกเป็นแผ่นดินแค่ 29% ที่เหลืออีก 71% เป็นน้ำ และน้ำในโลกนี้ 96.5% เป็นน้ำเค็ม นั่นหมายความว่ามีน้ำจืดที่เราสามารถดื่มได้ในโลกมีเพียง 3.5% เท่านั้น เรารู้หรือไม่ว่าน้ำจืดบนโลกใบนี้ 68% อยู่ในรูปของน้ำแข็ง อีก 30% อยู่ใต้พื้นดิน ที่เหลืออีก 2% อยู่ตามแม่น้ำลำธารต่าง ๆ ส่วนน้ำในชั้นบรรยากาศมีน้อยมาก ๆ ซึ่งก็คือเมฆนั่นเอง
ในวิวรณ์ 21:1 บอกว่า “และข้าพเจ้าเห็นฟ้าสวรรค์ใหม่และแผ่นดินโลกใหม่ เพราะว่าฟ้าสวรรค์เดิมและแผ่นดินโลกเดิมนั้นหายไปแล้ว และทะเลก็ไม่มีอีกต่อไป” โลกใหม่ที่พระเจ้าจะสร้างให้เรานั้นไม่มี “ทะเล” ไม่ใช่โลกที่ประกอบไปด้วย “น้ำ” เป็นส่วนใหญ่เหมือนในปัจจุบัน และเราได้รับ “กายใหม่” ที่ไม่เหมือนเดิมซึ่งน่าจะสอดคล้องกับโลกใหม่ที่พระเจ้าทรงเตียมไว้ให้ เพราะ “ทะเล” นั้นหมายถึง “การแบ่งแยก” เป็นสิ่งที่ทำให้คนกลุ่มหนึ่งห่างจากคนอีกกลุ่มหนึ่ง ดังนั้นการไม่มีทะเลจึงหมายถึงไม่มีการถูกโดดเดี่ยวอีกต่อไป ไม่มีการแตกแยกหรือแบ่งแยกอีกต่อไปนั่นเอง
หลังจากที่เกิดแผ่นดินแล้ว พระเจ้าทรงสร้างพืชต่าง ๆ ด้วย พระเจ้าไม่ได้เพียงแค่สร้างพืชเท่านั้น แต่ยังได้ออกแบบพืชให้สามารถแพร่พันธุ์ได้ พืชจึงเกิดผลและมีเมล็ดตามชนิดของมัน เป็นที่น่าสังเกตว่า แม้ว่ามนุษย์จะมีสติปัญญาดี สามารถนำเมล็ดพันธุ์ต่าง ๆ มาผสมกันเพื่อให้เป็นพืชสายพันธุ์ใหม่ เช่น เราเห็นทุเรียนสายพันธุ์ใหม่ ๆ มะม่วงสายพันธุ์ใหม่ ๆ แต่เราไม่เคยเห็นการตัดแต่งพันธุกรรมมะม่วงให้ออกผลเป็นทุเรียน นั่นเป็นเพราะพระเจ้าทรงสร้างพืชตามชนิดของมัน แม้จะมีการผสมข้ามสายพันธุ์แต่ก็เป็นการเปลี่ยนแปลงในตระกูลของพืชนั้น ๆ ไม่มีการเปลี่ยนแบบข้ามตระกูลพืชได้
วันที่ 4 – สร้างดวงดาวต่าง ๆ
“พระเจ้าตรัสว่า “จงมีดวงสว่างต่างๆ ของภาคพื้นฟ้า เพื่อแยกวันออกจากคืน ให้เป็นหมายกำหนดฤดู วัน ปี และให้เป็นดวงสว่างต่างๆ บนภาคพื้นฟ้า เพื่อส่องสว่างเหนือแผ่นดิน” ก็เป็นดังนั้น พระเจ้าทรงสร้างดวงสว่างขนาดใหญ่ไว้สองดวง ให้ดวงที่ใหญ่กว่าครองวัน ดวงที่เล็กกว่าครองคืน พระองค์ทรงสร้างดวงดาวต่าง ๆ ด้วย พระเจ้าทรงตั้งดวงสว่างเหล่านี้ไว้บนภาคพื้นฟ้า ให้ส่องสว่างเหนือแผ่นดิน ให้ครองวันและคืน และแยกความสว่างออกจากความมืด พระเจ้าทรงเห็นว่าดี มีเวลาเย็นและเวลาเช้า เป็นวันที่สี่” ปฐมกาล 1:14 – 19
โลกเราอยู่ในระบบสุริยะจักรวาล ดวงดาวต่าง ๆ ภายในระบบสุริยะจักรวาลต่างโคจรไปรอบ ๆ ดวงอาทิตย์ ห่างออกไปอีกก็จะเป็นกาแล็กซีทางช้างเผือก (Milky Way Galaxy) ซึ่งเป็นกาแล็กซีที่ระบบสุริยะของเราอาศัยอยู่ จากข้อมูลขององค์การนาซาระบุว่า หากเราต้องการเดินทางข้ามกาแล็กซีนี้จะต้องใช้เวลาถึง 100,000 ปี ทีเดียว ดวงดาวต่าง ๆ ที่เราเห็นยามค่ำคืนนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งของกาแล็กซีทางช้างเผือก (Milky Way Galaxy) ด้วย และภายในกาแล็กซีนี้ยังมีดาวอีกเป็นล้าน ๆ ดวง แต่เรารู้หรือไม่ว่าในจักรวาลนี้มีกาแล็กซีอีกเป็นพันล้านกาแล็กซี ดังนั้นกาแล็กซีทางช้างเผือก (Milky Way Galaxy) จึงเป็นเพียงส่วนประกอบเล็ก ๆ ในจักรวาลเท่านั้น และเมื่อมองกลับมาที่โลกเรา เราจะเห็นว่าโลกเป็นเหมือนกับฝุ่นผงเล็ก ๆ เท่านั้นเมื่อเทียบกับจักรวาลที่กว้างใหญ่ไพศาล
การสร้างดวงดาวต่าง ๆ ในวันที่ 4 นี้ก็ถือเป็นการอัศจรรย์อีกอย่างหนึ่ง เนื่องจากใน 1 วินาที นั้น แสงสามารถเดินทางได้ 300,000 กิโลเมตร ดังนั้น ระยะทาง 1 ปีแสง จึงมีค่าประมาณ 9 ล้านล้านกิโลเมตร (ระยะทาง 1 ปีแสง (Light-Year) หมายถึง ระยะทางที่แสงเดินทางได้ทั้งหมด เมื่อเวลาบนโลกผ่านไป 1 ปี)
ดวงอาทิตย์อยู่ห่างจากโลก 149.6 ล้านกิโลเมตร ดังนั้นแสงจากดวงอาทิตย์จะใช้เวลา 8.3 นาที มาถึงโลก นั่นคือแสงอาทิตย์ที่เราเห็นตอนนี้เป็นแสงที่ปรากฏบนดวงอาทิตย์เมื่อ 8.3 นาทีก่อนหน้าเสมอ
จากเว็บไซต์ของ The Universe Space Tech บอกว่า ดาวที่อยู่ไกลที่สุดที่เราสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าคือดาวที่อยู่ใน The Triangulum Galaxy ซึ่งอยู่ห่างจากกาแล็กซีทางช้างเผือกถึง 2.7 ล้านปีแสง หรือแสงต้องใช้เวลาถึง 2.7 ล้านปี จึงจะเดินทางมาสู่โลกเรา แต่ในวันที่ 4 นี้ แค่วันเดียว พระเจ้าก็สามารถทำให้แสงของดวงดาวต่าง ๆ ส่องมายังโลกนี้ได้ นี่จึงเป็นอีกหนึ่งความมหัศจรรย์ในการทรงสร้างของพระเจ้า
วันที่ 5 – สร้างนกและสัตว์น้ำ
“พระเจ้าตรัสว่า “น้ำจงอุดมด้วยฝูงสัตว์ที่มีชีวิต และให้นกบินไปมาในภาคพื้นฟ้าเหนือแผ่นดิน” พระเจ้าทรงสร้างสัตว์ทะเลขนาดใหญ่ และสัตว์ที่มีชีวิตทุกชนิด ซึ่งแหวกว่ายอยู่ในน้ำเป็นฝูงๆ ตามชนิดของมัน และสัตว์ปีกทุกชนิดตามชนิดของมัน พระเจ้าทรงเห็นว่าดี พระเจ้าจึงทรงอวยพรสัตว์เหล่านั้นว่า “จงมีลูกดกทวีมากขึ้นจนเต็มน้ำในทะเล และให้นกทวีมากขึ้นบนแผ่นดินโลก” มีเวลาเย็นและเวลาเช้า เป็นวันที่ห้า” ปฐมกาล 1:20 – 23
เราจะเห็นว่าพระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าผู้จัดเตรียมมาตั้งแต่แรกสร้างโลก พระองค์ทรงสร้างธัญพืชสร้างต้นไม้ก่อนที่จะสร้างสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ ขึ้น เพื่อที่สิ่งที่ทรงสร้างตามมาจะได้มีอาหาร จะได้ดำรงชีวิตอยู่ได้ เช่นเดียวกันกับชีวิตของเรา พระเจ้าทรงรักและห่วงใยเรา พระองค์ทรงรู้ว่าเราต้องการสิ่งใด สิ่งไหนจำเป็นสำหรับชีวิตของเรา และพระองค์ก็ทรงจัดเตรียมไว้ให้เราล่วงหน้า เรารู้หรือไม่ว่าพระเจ้าทรงทำทุกอย่างเพื่อเรา!!
ในการสร้างสัตว์น้ำต่าง ๆ ก็เช่นเดียวกัน พระเจ้าทรงจัดเตรียมอุณหภูมิของน้ำให้เหมาะสม ทรงให้มีดวงอาทิตย์ที่ให้ความอบอุ่นกับผืนน้ำ มีแสงที่ทำให้ปะการังหรือต้นไม้ใต้น้ำต่าง ๆ สามารถสังเคราะห์แสงและดำรงอยู่ได้ ทุกสิ่งแห่งการทรงสร้างมีการจัดเตรียมและออกแบบมาอย่างดี นี่จึงเป็นการยืนยันว่าไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ทุกอย่างล้วนแล้วแต่ถูกสร้างขึ้นทั้งนั้น
วันที่ 6 – สร้างสัตว์ต่าง ๆ และสร้างมนุษย์
“พระเจ้าตรัสว่า “แผ่นดินจงเกิดสัตว์ที่มีชีวิตตามชนิดของมัน คือสัตว์ใช้งาน สัตว์เลื้อยคลาน และสัตว์ป่าตามชนิดของมัน” ก็เป็นดังนั้น พระเจ้าทรงสร้างสัตว์ป่าตามชนิดของมัน สัตว์ใช้งานตามชนิดของมัน และสัตว์ต่างๆ ที่เลื้อยคลานทุกชนิดบนแผ่นดินตามชนิดของมัน แล้วพระเจ้าทรงเห็นว่าดี แล้วพระเจ้าตรัสว่า “ให้เราสร้างมนุษย์ตามฉายาของเรา ตามอย่างของเรา ให้ครอบครองฝูงปลาในทะเล ฝูงนกในท้องฟ้าและฝูงสัตว์ใช้งาน ให้ปกครองแผ่นดินโลกทั้งหมด และสัตว์เลื้อยคลานทุกชนิดบนแผ่นดินทั้งหมด” …พระเจ้าทอดพระเนตรสิ่งทั้งปวงที่พระองค์ทรงสร้างไว้ ดูสิ ทรงเห็นว่าดียิ่งนัก มีเวลาเย็นและเวลาเช้า เป็นวันที่หก” ปฐมกาล 1:24 – 26, 31
พระเจ้าทรงสร้างสัตว์ต่าง ๆ และมนุษย์ขึ้นในวันเดียวกัน คำถามคือ ไดโนเสาร์มีชีวิตอยู่ในยุคเดียวกันกับมนุษย์จริงหรือ? จากเว็บไซต์ของ Natural History Museum บอกว่าไดโนเสาร์มีชีวิตอยู่ราว ๆ 245 – 66 ล้านปีก่อน ซึ่งเราเรียกช่วงเวลานั้นว่า มหายุคมีโซโซอิก (Mesozoic Era) โดยในยุคนี้ยังได้แบ่งออกเป็น 3 ช่วงเวลา คือ ยุคไทรแอสสิก (Triassic Period) ครอบคลุมช่วงเวลาตั้งแต่ 252 - 201 ล้านปี ยุคจูแรสสิก (Jurassic Period) ครอบคลุมช่วงเวลาตั้งแต่ 201 - 145 ล้านปี และยุคครีเทเชียส (Cretaceous Period) เป็นยุคสุดท้ายของมหายุคมีโซโซอิกครอบคลุมช่วงเวลาตั้งแต่ 145 - 66 ล้านปี ในปลายยุคครีเทเชียสเกิดการสูญพันธุ์ครั้งใหญ่และไดโนเสาร์ได้สูญพันธุ์ทั้งหมด สาเหตุของการสูญพันธุ์ครั้งนี้นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าอาจเกิดจาก ธรณีแปรสัณฐาน กิจกรรมภูเขาไฟ และสาเหตุจากนอกโลก ซึ่งหลังจากไดโนเสาร์สูญพันธุ์ไป 65 ล้านปี แล้วนั้น มนุษย์จึงได้ถือกำเนิดขึ้น นักวิทยาสตร์จึงสรุปว่าไดโนเสาร์นั้นมีชีวิตอยู่คนละช่วงเวลากับมนุษย์
ที่มา : https://www.newscientist.com/article/dn26985-stunning-fossils-sauropod-flees-for-its-life/
อย่างไรก็ตามกลุ่มที่ “เชื่อในเรื่องการทรงสร้าง” เชื่อว่าไดโนเสาร์เกิดในยุคเดียวกันกับมนุษย์ โดยในปี 1940 Roland T. Bird ได้ค้นพบฟอสซิล (Fossil) รอยเท้าไดโนเสาร์ที่ Paluxy River ในรัฐเทกซัส (Texas) ประเทศสหรัฐอเมริกา เขาได้ถ่ายรูปเอาไว้ทั้งหมด 16 รูป ซึ่งบางรูปนั้นมีลักษณะเหมือนกับรอยเท้ามนุษย์อยู่ใกล้ ๆ กับรอยเท้าไดโนเสาร์ หรือไม่ก็เป็นรอยเท้ามนุษย์อยู่ทับรอยเท้าไดโนเสาร์เลย นี่จึงเป็นหลักฐานสำคัญที่ยืนยันเรื่องการทรงสร้างว่าเป็นเรื่องจริง และคนเราเคยใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันกับไดโนเสาร์ เป็นที่น่าเสียดายที่หลังจากการค้นพบฟอสซิล (Fossil) รอยเท้าไดโนเสาร์ที่ Paluxy River แล้ว ได้มีการตัดรอยเท้าไดโนเสาร์ออกเป็นส่วน ๆ และส่งไปศึกษาตามที่ต่าง ๆ บางส่วนก็เอาไปเก็บไว้ในพิพิธภัณฑ์ แต่ชิ้นส่วนหลาย ๆ ชิ้นกลับหายไปอย่างน่าเสียดายจึงเหลือแต่หลักฐานเพียงภาพถ่ายเท่านั้น นี่จึงเป็นสาเหตุที่นักวิทยาศาสตร์ต่าง ๆ ไม่ยอมรับทฤษฎีของกลุ่มที่เชื่อเรื่องการทรงสร้าง และหยิบยกเหตุผลต่าง ๆ ว่าสิ่งที่เห็นนั้นไม่ใช่รอยเท้าของมนุษย์ เช่น บ้างเชื่อว่าเป็นรอยเท้าของไดโนเสาร์ที่มีลักษณะคล้ายมนุษย์ ในขณะที่บางคนเชื่อว่ามีคนปลอมรอยเท้ามนุษย์ขึ้นมา รอยเท้ามนุษย์นั้นไม่มีอยู่จริง เป็นสิ่งที่เราเข้าใจผิดไปนั่นเอง
ที่มา : https://www.nbcnews.com/id/wbna7285683
ความเชื่อที่ว่าไดโนเสาร์เกิดคนละยุคกับมนุษย์นั้นก็มียังข้อที่น่าสงสัยอยู่หลายประการ เช่น เรื่องการค้นพบของ Mary Schweitzer ผู้เชี่ยวชาญด้านซากดึกดำบรรพ์ (Paleontologist) ชาวสหรัฐอเมริกา ซึ่งได้คนพบเซลเม็ดเลือดและเนื้อเยื่ออ่อน ๆ ในซากฟอสซิลของ T. rex ซึ่งเป็นไปไม่ได้เลยทีกระดูกไดโนเสารอายุ 68 ล้านปี จะสามารถมีเซลเม็ดเลือดและเนื้อเยื่ออ่อน ๆ หลงเหลืออยู่ เพราะสิ่งเหล่านี้อาจจะคงอยู่ได้เป็นร้อยปี หรือมากสุดก็พันปี แต่ไม่สามารถอยู่ได้เป็นล้าน ๆ ปี โดยไม่แห้งไปอย่างแน่นอน ซึ่งข้อสรุปของ Mary Schweitzer นั้นได้บอกว่า เราคงต้องกลับไปศึกษาอีกทีว่ามีกระบวนการทางเคมีอะไรที่ทำให้เนื้อเยื่อเหล่านี้คงอยู่ได้ นี่จึงเป็นการสะท้อนความเชื่อของนักวิทยาศาสตร์ว่า เรื่องอายุของไดโนเสาร์นั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้อง หากมีอะไรผิดปกติเกิดขึ้น เราต้องไปหาสาเหตุอื่น ๆ ที่ไม่ใช่อายุ เพราะนี่คือความจริงที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้
ถ้าหากเราดูหนังสือไดโนเสาร์สำหรับเด็ก หนังสือส่วนใหญ่จะขึ้นต้นด้วยการบอกว่าเมื่อหลายล้านปีก่อน เมื่อเด็กไปโรงเรียนคุณครูก็จะสอนว่าไดโนเสาร์เกิดขึ้นมาเมื่อหลายล้านปีก่อน เมื่อไปพิพิธภัณฑ์ต่าง ๆ ก็จะระบุเหมือนกันว่าไดโนเสาร์ได้ถือกำเนิดบนโลกเมื่อหลายล้านปีก่อน การเจอข้อมูลเดิม ๆ ซ้ำ ๆ กัน เด็กก็จะถูกปลูกฝังในหัวว่านี่คือเรื่องจริง นี่คือสิ่งที่ถูกต้อง ไม่จำเป็นต้องมีการพิสูจน์อะไร สิ่งนี้ไม่ต่างอะไรกับการ “ล้างสมอง” และเมื่อเด็กเหล่านี้เติบโตไปเป็นผู้ใหญ่ ความเชื่อของเขาจะเป็นยังไง? เขาจะเชื่อสิ่งที่พระคัมภีร์สอนหรือว่าเชื่อในสิ่งที่มุมมองของโลกได้ปลูกฝังเอาไว้ว่านี่คือ “วิทยาศาสตร์”?
พระเจ้าทรงสร้างสัตว์บกในวันที่ 6 ดังนั้นไดโนเสาร์จึงถูกสร้างในวันที่ 6 ด้วย แต่ทำไมเราถึงไม่เห็นคำว่าไดโนเสาร์ในพระคัมภีร์เลย? ก็คงเหมือนกับการที่เราไม่เห็นคำว่า Facebook Twister หรือคำว่าอินเตอร์เน็ตในพระคัมภีร์ เพราะคำพวกนี้เป็นศัพท์ใหม่ ไดโนเสารก็เช่นกัน เป็นคำที่เพิ่งมีมาเมื่อปี ค.ศ. 1841 และใช้กันอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน
ในพระคัมภีร์มีการบันทึกเรื่องไดโนเสาร์หรือไม่? นักวิชาการได้บอกว่ามีสิ่งที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ซึ่งคล้าย ๆ กับไดโนเสาร์ ก็คือคำว่า “มังกร” อยากให้เราลองคิดดูว่าเป็นสิ่งที่น่าแปลกไหมที่ชนชาติต่าง ๆ ทั่วโลกมีตำนานเกี่ยวกับมังกร ทั้ง ๆ ที่อยู่คนละทวีป อยู่คนละซีกโลกและไม่เคยเกี่ยวข้องติดต่อกัน แต่ต่างก็มี “มังกร” เป็นตำนานของตนเอง !!
ในโยบ 40:15 – 18 ได้บันทึกถึงสัตว์ชนิดหนึ่งที่ชื่อ “เบเฮโมท” ดังนี้
“จงดู เบเฮโมทเถิด ซึ่งเราได้สร้างอย่างที่เราได้สร้างเจ้า มันกินหญ้าเหมือนวัว ดูเถิด กำลังของมันอยู่ในเอวและพลังของมันอยู่ในกล้ามเนื้อท้อง มันก่งหางของมันให้แข็งเหมือนไม้สนสีดาร์ เอ็นโคนขาของมันก็สานเข้าด้วยกัน กระดูกของมันเหมือนท่อทองสัมฤทธิ์ และแข้งขาของมันเหมือนท่อนเหล็ก”
“เบเฮโมท” ถือว่าเป็นสัตว์ขนาดใหญ่ ซึ่งเชิงอรรถในพระคัมภีร์บอกว่าอากจจะเป็นช้างหรือฮิปโป แต่ถ้าหากเราดูในภาษาอังกฤษจะบอกว่า “มันแกว่งหางเหมือนไม้สนสีดาร์” ซึ่งต้นสนสีดาร์นี้จะสูงประมาณ 30 – 40 เมตร แล้วสัตว์อะไรจะมีหางที่ใหญ่ขนาดนี้ และกระดูกยังแข็งเหมือนเหล็กอีกด้วย ไม่น่าจะเป็นช้างหรือฮิปโปอย่างแน่นอน
ในโยบ 41 ได้พูดถึง “เลวีอาธาน” ซึ่งเป็นสัตว์ขนาดใหญ่ อยากให้เราลองดูสิ่งที่พระคัมภีร์ได้บันทึกถึงสัตว์ชนิดนี้
ข้อ 1 “เจ้าจะลากเลวีอาธานออกมาด้วยเบ็ดได้หรือ? จะเอาเชือกกดลิ้นของมันลงได้หรือ?
ข้อ 7- 9 เจ้าเอาฉมวกปักหนังของมัน เอาหลาวแทงหัวของมันได้หรือ? ลงมือจับมันดู เมื่อนึกถึงการต่อสู้กับมันแล้ว เจ้าจะไม่คิดทำอีก ดูเถิด ความหวังของคนที่จะจับมันก็สูญเปล่า เมื่อเห็นมันเข้าเท่านั้น จะไม่ล้มลงหรือ?
ข้อ 12 - 31 “เราจะไม่งดพูดถึงแข้งขาของมัน หรือพลังอันแข็งกล้าของมัน หรือโครงร่างอันดีของมัน ผู้ใดจะถลกเสื้อชั้นนอกของมันออกได้ ผู้ใดจะแทงเข้าไปในเสื้อเกราะสองชั้นของมันได้ ผู้ใดจะมีแรงง้างขากรรไกรมันได้? ฟันของมันเรียงรายโดยรอบน่าสยดสยอง ที่หลังของมันทำด้วยโล่เป็นแถวๆแนบตัวมันสนิทเหมือนอย่างตราผนึก มันอยู่ชิดกันมาก ไม่มีลมผ่านเข้าไปได้ เกล็ดเหล่านั้นเชื่อมต่อกันและกัน มันเกาะติดกันแน่น และแยกจากกันไม่ได้ การจามของมันปล่อยแสงสว่างออกมา ตาของมันเหมือนอย่างแสงอรุณ คบเพลิงออกมาจากปากของมัน ประกายไฟพุ่งออกมา ควันออกมาทางรูจมูกของมันอย่างกับมาจากหม้อเดือดและอ้อเล็กที่ลุกไหม้ ลมหายใจของมันจุดไฟให้ถ่านได้ เปลวเพลิงออกมาจากปากของมัน กำลังอยู่ในลำคอของมัน และความสยดสยองเต้นอยู่ข้างหน้ามัน หลืบเนื้อของมันเกาะติดกัน หล่อติดกันแน่น ไม่ขยับเขยื้อน หัวใจของมันแข็งอย่างกับหิน เออ แข็งเหมือนอย่างแท่นหินโม่ เมื่อมันลุกขึ้นมา เขาทั้งหลายก็มีใจฝ่อเนื่องด้วยเสียงกระแทกของมัน ถึงคนใดเอาดาบลองแทงมัน ก็ต้านมันไม่ได้ ไม่ว่าหอก หรือแหลน หรือหอกซัด มันนับเหล็กว่าเป็นฟาง และทองสัมฤทธิ์ว่าเป็นไม้ผุ ลูกธนูทำให้มันหนีไปไม่ได้ หินลูกสลิงก็กลายเป็นตอข้าว ไม้กระบองก็นับเป็นตอข้าวด้วย มันหัวเราะเยาะเสียงหอกซัด เบื้องล่างของมันคมอย่างกับเศษหม้อแตก มันเหยียดตัวออกบนเลนเหมือนเลื่อนนวดข้าว มันทำให้ที่ลึกเดือดเหมือนหม้อ มันทำให้ทะเลเหมือนหม้อน้ำมัน"
ที่มา : https://www.nationalgeographic.com/science/article/how-this-beetle-creates-500-explosions-per-second-in-its-bum
สิ่งที่พระคัมภีร์บันทึกไว้นั้นมีลักษณะคล้าย ๆ กับ “มังกรพ่นไฟ” ตามตำนานของประเทศต่าง ๆ นั่นเอง หลาย ๆ คนอาจจะคิดว่าไม่น่าจะมีสัตว์ประหลาดที่พ่นไฟแบบนี้ได้บนโลกนี้ ไม่มีใครเคยเห็นหรือเกิดทันยุคนั้น แต่การที่สัตว์มีไฟในตัวเองนั้นไม่น่าแปลก อย่างเช่น หิ่งห้อย ที่มีแสงสว่างออกมาจากตัวเอง ปลาไหลไฟฟ้า ที่สามารถปล่อยกระแสไฟฟ้าออกมาได้ หรือตัว Bombardier Beetle ที่สามารถปล่อยสารเคมีออกมาที่มีความร้อนเท่ากับน้ำเดือด แมลงตัวเล็ก ๆ สามารถปล่อยความร้อนขนาดนี้ออกมาได้อย่างไร เราไม่รู้ แต่นี่ไม่เกิดความสามารถในการทรงสร้างของพระเจ้าแน่นอน
ทำไมเรื่องไดโนเสาร์ถึงสำคัญ? เพราะการที่โลกบอกว่าไดโนเสาร์เกิดก่อนมนุษย์เมื่อ 65 ล้านปีก่อนนั้น หมายความว่า โลกนี้มี “ความตาย” เกิดขึ้นก่อนที่จะมี “บาป” ก่อนที่จะมีมนุษย์ ดังนั้น “ความตาย” ไม่ได้เกิดจากมนุษย์ทำบาป แต่พระเจ้าทรงสร้างความตายขึ้นมา และเมื่อพระเจ้าสร้างโลกเสร็จ พระเจ้า “ทรงเห็นว่าดียิ่งนัก” นั่นแสดงว่าพระเจ้าเห็นดีเห็นงามด้วยกับความตายที่เกิดบนโลกนี้
และถ้า “ความตาย” ไม่ได้เป็นผลมาจาก “ความบาป” การที่พระคัมภีร์บอกว่า “เพราะว่าค่าจ้างของบาปคือความตาย” ในโรม 6:23 ก็ไม่เป็นความจริง และการที่พระเยซูลงมาตายบนไม้กางเขนเพื่อไถ่บาปมนุษย์ก็ไม่มีความหมาย ความเชื่อในพระเยซูเป็นสิ่งที่เหลวไหล เพราะไม่สามารถกำจัด “ความตาย” ได้ เรื่องไดโนเสาร์จึงเป็นเรื่องสำคัญ ถึงเวลาแล้วหรือยังที่เราจะสอนความเชื่อที่ถูกต้องให้กับเด็ก ๆ? ถึงเวลาแล้วหรือยังที่เราจะให้มุมมองทางพระคัมภีร์มีอิทธิพลต่อลูกหลานของเรามากกว่ามุมมองของโลกนี้?
ในปฐมกาล 1:26 พระเจ้าตรัสว่า “ให้เราสร้างมนุษย์ตามฉายาของเรา” หมายถึงอะไร หมายถึงการที่เรามีลักษณะคล้ายกับพระเจ้าพระผู้สร้าง เราแตกต่างจากสัตว์ต่าง ๆ ที่พระเจ้าทรงสร้าง เพราะเราสามารถพูดได้ เรามีเหตุผล มีสติปัญญา เราสามารถค้นคว้าวิจัยและพัฒนาความรู้ใหม่ ๆ ได้ ซึ่งสัตว์ทำไม่ได้ และในพระธรรมตอนนี้ใช้คำว่า “ให้เรา” นั่นหมายถึงการมีมากกว่า 1 เป็นการพูดคุยกัน และนี่จึงเป็นการบอกเป็นนัยว่าพระเจ้าไม่ได้มีแค่หนึ่ง และต่อมาพระคัมภีร์จึงค่อย ๆ เปิดเผยว่าพระองค์ทรงเป็นตรีเอกานุภาพ ทรงมี 3 พระภาค คือ พระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร และพระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ คนเราก็ประกอบด้วย 3 ส่วนเช่นกัน คือ ร่างกาย ความคิด และจิตวิญญาณ เหมือนกับที่บอกใน 1 เธสะโลนิกา 5:23 ว่า “ขอให้พระเจ้าแห่งสันติสุขทรงชำระท่านทั้งหลายให้เป็นคนบริสุทธิ์หมดจด และทรงรักษาทั้งวิญญาณ จิตใจ และร่างกายของท่านไว้ให้ปราศจากการติเตียน จนถึงวันที่พระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราจะเสด็จมา”
การเชื่อว่ามนุษย์เกิดจากการวิวัฒนาการของลิงก็เท่ากับว่าเราตีค่าของความเป็น “มนุษย์” เท่ากับ “สัตว์” ซึ่งพระคัมภีร์บอกเราว่าพระเจ้าสร้าง “มนุษย์” ตามพระฉายาของพระองค์ แต่ “สัตว์” พระเจ้าแค่ตรัสเท่านั้น มันก็เกิดขึ้นมา พระเจ้าสร้างมนุษย์ให้สูงกว่าสัตว์มาก
พระเยซูได้ตรัสในมัทธิว 6:26 ว่า “จงดูนกทั้งหลายบนฟ้า พวกมันไม่ได้หว่าน ไม่ได้เกี่ยว ไม่ได้รวบรวมไว้ในยุ้งฉาง แต่พระบิดาของพวกท่าน ผู้สถิตในสวรรค์ทรงเลี้ยงพวกมันไว้ ท่านไม่ประเสริฐกว่าพวกมันหรือ?” นี่เป็นการยืนยันว่า “มนุษย์” นั้นสูงกว่าและประเสริฐกว่า “สัตว์” แต่เป็นเรื่องแปลกที่หลายคนพยายามบอกคนอื่นว่ามนุษย์นั้นวิวัฒนาการมาจากสัตว์ ซึ่งเป็นการยอมรับว่าคนกับสัตว์นั้นมี “ศักดิ์ศรี” ไม่แตกต่างกัน นี่ก็เป็นเพราะเขาต้องการปฏิเสธการมีอยู่ของ “พระเจ้า” คนเหล่านี้ก็ไม่แตกต่างจากคนในสมัยของพระเยซูที่ทนฟังคำสอนของพระองค์ไม่ได้ เหมือนกับที่พระเยซูได้บอกไว้ใน ยอห์น 8:43 – 44 ว่า “ทำไมพวกท่านถึงไม่เข้าใจถ้อยคำที่เราพูด? นี่เป็นเพราะท่านทนฟังคำสอนของเราไม่ได้ พวกท่านมาจากพ่อของท่านคือมาร และท่านอยากจะทำตามความปรารถนาของพ่อ มันเป็นฆาตกรตั้งแต่เริ่มแรกและไม่ได้ตั้งอยู่ในสัจจะ เพราะมันไม่มีสัจจะ เมื่อมันพูดเท็จมันก็พูดตามสันดานของมันเอง เพราะมันเป็นผู้มุสา และเป็นพ่อของการมุสา”
เราถูกสร้างตามพระฉายาพระเจ้าก็จริงแต่เราเป็นแค่แสงสะท้อนจาง ๆ เท่านั้น เพราะร่างกายเราแก่ลง เสื่อมสภาพลง นี่ไม่ใช่สภาพของพระเจ้า เราแค่สะท้อนสภาพของพระองค์เท่านั้น ถ้าเราอยากเห็นพระเจ้าจริง ๆ ให้มองไปที่พระเยซู พระองค์คือพระเจ้าในสภาพมนุษย์ และเมื่อพระองค์ทรงฟื้นคืนพระชนม์ พระองค์ทรงมีกายใหม่ที่ไม่เหมือนกายดินของเรา และวันหนึ่งเราจะได้รับกายใหม่นี้ด้วย ซึ่งเป็นกายที่พระเจ้าตั้งใจจะให้เราเป็นตั้งแต่ครั้งแรกที่ทรงสร้างโลกนี้
พระเจ้าไม่ใช่แค่สร้างมนุษย์ตามพระฉายาของพระองค์เท่านั้น แต่พระองค์ยังทรงมอบหมาย “งาน” ให้มนุษย์ทำด้วย หน้าที่ของมนุษย์ก็คือ ให้ “ครอบครอง” ฝูงปลา ฝูงนกและสัตว์ใช้งาน ให้ “ปกครอง” โลกและสัตว์ทั้งหมด รวมทั้งให้ “มีลูกดก” ทวีจนเต็มแผ่นดิน เหมือนที่บอกไว้ในปฐมกาล 1:26, 28 ว่า “แล้วพระเจ้าตรัสว่า “ให้เราสร้างมนุษย์ตามฉายาของเรา ตามอย่างของเรา ให้ครอบครองฝูงปลาในทะเล ฝูงนกในท้องฟ้าและฝูงสัตว์ใช้งาน ให้ปกครองแผ่นดินโลกทั้งหมด และสัตว์เลื้อยคลานทุกชนิดบนแผ่นดินทั้งหมด”… พระเจ้าทรงอวยพรพวกเขา ตรัสกับพวกเขาว่า “จงมีลูกดกทวีมากขึ้นจนเต็มแผ่นดิน จงมีอำนาจเหนือแผ่นดิน จงครอบครองฝูงปลาในทะเล และฝูงนกในท้องฟ้า กับสัตว์ที่เคลื่อนไหวบนแผ่นดินทั้งหมด”
จะเห็นได้ว่า “งาน” ไม่ใช่เป็นคำสาปเหมือนที่หลาย ๆ คนเข้าใจ พระเจ้าให้มนุษย์ทำ “งาน” ตั้งแต่แรกเริ่มก่อนที่จะมีบาป แต่ “งาน” ที่พระเจ้ามอบหมายนั้นแตกต่างจาก “งาน” ที่เราทำในปัจจุบัน เพราะส่วนใหญ่เราทำ “งาน” เพื่อหาเลี้ยงชีพ เพื่อความอยู่รอด แต่ไม่ใช่ในสวนเอเดน เพราะในสวนนั้นพระเจ้าทรงเลี้ยงดู มนุษย์ไม่ต้องคอยกังวลว่าจะเอาอะไรกิน พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ให้อย่างอุดมสมบูรณ์ แต่หลังจากมนุษย์ทำบาป “งาน” ก็ได้เปลี่ยนรูปแบบไป กลายเป็นความยากลำบาก เป็นการดิ้นรนเพื่อให้ชีวิตอยู่รอด เพื่อให้มีอาหารกิน คงจะดีไม่น้อยหากชีวิตเราในปัจจุบันได้ทำ “งาน” ตามพระประสงค์ของพระเจ้า ไม่ใช่เพื่อปากท้อง และนี่จึงเป็นความหวังของเราที่จะได้ทำ “งาน” แบบที่พระเจ้าทรงตั้งใจให้ทำ ซึ่งในวันสุดท้าย พระเจ้าสัญญาว่า เราจะได้ทำ “งาน” แบบอาดัมและเอวานี้ นั่นคือการได้ครอบครองร่วมกับพระคริสต์นั่นเอง
ในปฐมกาล 1:29 - 30 บอกว่า “พระเจ้าตรัสว่า “ดูนี่ เราให้ธัญพืชที่มีเมล็ดทุกชนิด ซึ่งมีอยู่ทั่วพื้นแผ่นดิน และต้นไม้ผลทุกชนิดที่มีเมล็ดในผลของมันแก่เจ้า เป็นอาหารของเจ้า ฝ่ายสัตว์ทั้งหมดบนแผ่นดิน นกทั้งปวงบนท้องฟ้าและสัตว์เลื้อยคลานทั้งหมดบนแผ่นดิน คือ สิ่งมีชีวิตที่มีลมหายใจนั้น เราให้พืชเขียวสดทั้งปวงเป็นอาหาร” ก็เป็นดังนั้น”
เดิมทีพระเจ้าให้พืชเป็นอาหารแก่สิ่งมีชีวิตทุกชนิดบนโลกใบนี้รวมทั้งมนุษย์ด้วย เพราะพระเจ้าไม่ปรารถนาให้มี “ความตาย” เกิดขึ้น นี่จึงเป็นการยืนยันอีกครั้งว่าไดโนเสาร์ถูกสร้างขึ้นในวันที่ 6 และมีชีวิตอยู่ในยุคเดียวกันกับมนุษย์ เรื่องทฤษฎี “ไดโนเสาร์ครองโลก” ที่ว่าไดโนเสาร์เกิดก่อนมนุษย์และขยายเผ่าพันธุ์ออกไปทั่วโลกนั้น “ไม่เป็นความจริง” เพราะไม่มีทางที่จะเกิด “ความตาย” ก่อนที่จะมีมนุษย์ได้ เพราะนี่คือน้ำพระทัยพระเจ้าที่ต้องการสร้างโลกที่สวยงาม เป็นโลกที่ไม่มีความตาย และทุกชีวิตอาศัยอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขเป็นนิจนิรันดร์
ในปฐมกาล 1:31 บอกว่า “พระเจ้าทอดพระเนตรสิ่งทั้งปวงที่พระองค์ทรงสร้างไว้ ดูสิ ทรงเห็นว่าดียิ่งนัก มีเวลาเย็นและเวลาเช้า เป็นวันที่หก” เป็นที่น่าสังเกตว่า 5 วันแรกแห่งการทรงสร้างนั้น พระคัมภีร์บันทึกไว้ว่า “พระเจ้าทรงเห็นว่าดี” แต่ในวันที่ 6 เมื่อพระเจ้าทรงทอดพระเนตรสิ่งที่ทรงสร้างทั้งหมด พระคัมภีร์บอกว่าพระเจ้า “ทรงเห็นว่าดียิ่งนัก” นั่นหมายความว่าพระเจ้าทรงสร้างโลกได้อย่างสมบูรณ์แบบ แต่น่าเสียดายที่มีมนุษย์แค่ 2 คน เท่านั้นที่เคยอาศัยอยู่ในโลกแบบนั้น
เมื่อมองกลับมาดูโลกที่เราอยู่ในปัจจุบัน เราเห็นมีการแก่งแย่งชิงดี มีการรบราฆ่าฟันกัน มีการขโมยกัน มีการอิจฉาคิดปองร้ายกัน เรามองว่านี่เป็นเรื่องปกติ โลกมันก็เป็นอย่างนี้ แต่นี่คือสภาพที่ไม่ปกติของโลก ไม่ใช่โลกที่พระเจ้าสร้างและ “ทรงเห็นว่าดียิ่งนัก” เพราะความบาปที่เข้ามาในโลกทำให้โลกที่พระเจ้าทรงสร้างนั้นค่อย ๆ เสื่อมถอยลง อย่างไรก็ตามเราผู้เชื่อทุกคนจะมีโอกาสเห็นโลกที่พระเจ้า “ทรงเห็นว่าดียิ่งนัก” อีกครั้งหนึ่ง นั่นก็คือ “แผ่นดินสวรรค์” ที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้สำหรับเราทุกคน ซึ่งเป็นที่ที่จะไม่มี “ความตาย” ไม่มีความเจ็บป่วยหรือการร้องไห้ เพราะนี่คือน้ำพระทัยของพระเจ้าที่ต้องการเห็นมนุษย์ทุกคนรอดและได้อยู่ในโลกที่สมบูรณ์แบบ ได้ครอบครองร่วมกับพระองค์เหมือนที่พระเจ้าทรงตั้งใจนั้น
“พระเจ้าทอดพระเนตรสิ่งทั้งปวงที่พระองค์ทรงสร้างไว้ ดูสิ ทรงเห็นว่าดียิ่งนัก มีเวลาเย็นและเวลาเช้า เป็นวันที่หก” ปฐมกาล 1:31
God Creates the World , god created the world , How God Created the World , Christians believe God created the world , การสร้างโลกของพระเจ้า , 7 วันแห่งการทรงสร้าง ตามความเชื่อของศาสนาคริสต์ , การสร้างโลก , ใครสร้างโลก , พระเจ้าสร้างฟ้าสวรรค์และโลก
CR :: https://siamchristian.com/article/genesis1.html
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น