เลี้ยงลูกให้ได้ดีตอนที่ 91 : ปี 1985 นศ.ปริญญาเอก Leon Payne ส่งปริญญานิพนธ์เรื่องความฉลาดทางอารมณ์ (Emotional Intelligence)เป็นครั้งแรก
ปี 1990 Salovey&Mayerตีพิมพ์งานวิชาการว่าด้วยความสามารถในการตระหนักรู้อารมณ์ของตนเอง ของผู้อื่น และการแก้ปัญหาที่เกี่ยวพันกับอารมณ์
ปี 1992 Daniel Goleman นักเขียนจาก Psychology Today และนิวยอร์คไทม์ เขียนหนังสือเรื่อง Emotional Intelligence ติดอันดับหนังสือขายดีของนิวยอร์คไทม์ ศัพท์คำนี้แพร่ระบาดไปทั่วโลกด้วยความหมายต่างๆกัน มีหนังสือและคอลัมนิสต์ทั้งที่เป็นและไม่เป็นนักจิตวิทยากระโจนลงสนามนี้จนเปรอะไปหมด ไม่เหลือความเป็นวิชาการอีก
Mayer & Cobb 2000 ให้ความหมายคำนี้ว่า คือความสามารถในการ "process" ข้อมูลทางอารมณ์ที่เกิดขึ้น ประกอบด้วย 1. การรับรู้ 2. การดูดซับ 3. ความเข้าใจ และ 4. การจัดการ
Caruso2003ซึ่งทำงานร่วมกับ Mayer และ Salovey มาตลอด ให้นิยามว่าคือ ความสามารถในการระบุอารมณ์ได้ถูกต้อง ใช้อารมณ์เป็นตัวช่วยในกระบวนการคิด รู้สาเหตุที่เกิดอารมณ์นั้น และสามารถอยู่กับอารมณ์ที่เกิดขึ้นนั้นอย่างชาญฉลาด
นักจิตวิทยาสมัยใหม่เชื่อว่าเด็ก 3 ขวบ ล่วงรู้อารมณ์ตนเองได้ และล่วงรู้ความมีอยู่ของความต้องการและอารมณ์ของคนอื่นได้
สำหรับเพียเจต์ อารมณ์เป็นส่วนประกอบหนึ่งของพัฒนาการวิธีคิดที่มีเหตุผล การพูดคุยเรื่องอารมณ์กับเด็กเพื่อให้เด็กเข้าใจตนเองจึงกลายเป็นเรื่องน่าหัวเราะ
ปี 1990 Salovey&Mayerตีพิมพ์งานวิชาการว่าด้วยความสามารถในการตระหนักรู้อารมณ์ของตนเอง ของผู้อื่น และการแก้ปัญหาที่เกี่ยวพันกับอารมณ์
ปี 1992 Daniel Goleman นักเขียนจาก Psychology Today และนิวยอร์คไทม์ เขียนหนังสือเรื่อง Emotional Intelligence ติดอันดับหนังสือขายดีของนิวยอร์คไทม์ ศัพท์คำนี้แพร่ระบาดไปทั่วโลกด้วยความหมายต่างๆกัน มีหนังสือและคอลัมนิสต์ทั้งที่เป็นและไม่เป็นนักจิตวิทยากระโจนลงสนามนี้จนเปรอะไปหมด ไม่เหลือความเป็นวิชาการอีก
Mayer & Cobb 2000 ให้ความหมายคำนี้ว่า คือความสามารถในการ "process" ข้อมูลทางอารมณ์ที่เกิดขึ้น ประกอบด้วย 1. การรับรู้ 2. การดูดซับ 3. ความเข้าใจ และ 4. การจัดการ
Caruso2003ซึ่งทำงานร่วมกับ Mayer และ Salovey มาตลอด ให้นิยามว่าคือ ความสามารถในการระบุอารมณ์ได้ถูกต้อง ใช้อารมณ์เป็นตัวช่วยในกระบวนการคิด รู้สาเหตุที่เกิดอารมณ์นั้น และสามารถอยู่กับอารมณ์ที่เกิดขึ้นนั้นอย่างชาญฉลาด
นักจิตวิทยาสมัยใหม่เชื่อว่าเด็ก 3 ขวบ ล่วงรู้อารมณ์ตนเองได้ และล่วงรู้ความมีอยู่ของความต้องการและอารมณ์ของคนอื่นได้
สำหรับเพียเจต์ อารมณ์เป็นส่วนประกอบหนึ่งของพัฒนาการวิธีคิดที่มีเหตุผล การพูดคุยเรื่องอารมณ์กับเด็กเพื่อให้เด็กเข้าใจตนเองจึงกลายเป็นเรื่องน่าหัวเราะ
เลี้ยงลูกให้ได้ดีตอนที่ 92 : ปี 2006 นักจิตวิทยาอิสราเอล Reuven Bar-On พัฒนาแบบวัด อีคิว Emotional Quotient : EQ เพื่อวัดระดับความตระหนักในอารมณ์ของตนเอง การแสดงออก อารมณ์ผู้อื่น ความเข้าใจความรู้สึกของผู้อื่น ความปรารถนาที่จะสร้างความสัมพันธ์ และความสามารถในการจัดการความสัมพันธ์ รวมทั้งการมองโลกในแง่ดี
อันที่จริงเราไม่แน่ใจเท่าไรนักว่าเด็กมีความสามารถล่วงรู้อารมณ์ตนเองเมื่อไรแน่ มีหมุดหมายบางจุดเท่านั้นที่เรามั่นใจ เช่น ทารกทำหน้าเลียนแบบแม่ได้ตั้งแต่30นาทีแรก โบกมือบายบายเลียนแบบผู้ใหญ่ได้ตั้งแต่9เดือน แสดงความต้องการได้ตั้งแต่2ขวบ และรู้ว่ามนุษย์ข้างๆต้องการอะไรประมาณ3ขวบหรือช้ากว่า
มีงานทดลองเลื่องชื่อชิ้นหนึ่งที่สาธิตให้เห็นว่าเด็กก่อน3ขวบไม่สามารถมองในมุมคนอื่นได้จริงๆ ให้เด็กดูตุ๊กตา 2 ตัว ชื่อจอห์นและแซลลี่ จอห์นและแซลลี่ช่วยกันซ่อนขนมไว้หลังโซฟา จากนั้นแซลลี่ออกจากห้องไป จอห์นแอบย้ายขนมไปซ่อนไว้ในกล่อง เมื่อแซลลี่กลับเข้ามาในห้อง นักวิจัยถามเด็กว่าแซลลี่อยากกินขนม แซลลี่จะไปหาขนมที่ไหน?
เด็ก3ขวบจะตอบว่าแซลลี่จะไปหาในกล่อง
เด็กโตจะตอบว่าแซลลี่จะไปหาหลังโซฟา
เพียเจต์ยังคงถูกมากกว่าผิด
อันที่จริงเราไม่แน่ใจเท่าไรนักว่าเด็กมีความสามารถล่วงรู้อารมณ์ตนเองเมื่อไรแน่ มีหมุดหมายบางจุดเท่านั้นที่เรามั่นใจ เช่น ทารกทำหน้าเลียนแบบแม่ได้ตั้งแต่30นาทีแรก โบกมือบายบายเลียนแบบผู้ใหญ่ได้ตั้งแต่9เดือน แสดงความต้องการได้ตั้งแต่2ขวบ และรู้ว่ามนุษย์ข้างๆต้องการอะไรประมาณ3ขวบหรือช้ากว่า
มีงานทดลองเลื่องชื่อชิ้นหนึ่งที่สาธิตให้เห็นว่าเด็กก่อน3ขวบไม่สามารถมองในมุมคนอื่นได้จริงๆ ให้เด็กดูตุ๊กตา 2 ตัว ชื่อจอห์นและแซลลี่ จอห์นและแซลลี่ช่วยกันซ่อนขนมไว้หลังโซฟา จากนั้นแซลลี่ออกจากห้องไป จอห์นแอบย้ายขนมไปซ่อนไว้ในกล่อง เมื่อแซลลี่กลับเข้ามาในห้อง นักวิจัยถามเด็กว่าแซลลี่อยากกินขนม แซลลี่จะไปหาขนมที่ไหน?
เด็ก3ขวบจะตอบว่าแซลลี่จะไปหาในกล่อง
เด็กโตจะตอบว่าแซลลี่จะไปหาหลังโซฟา
เพียเจต์ยังคงถูกมากกว่าผิด
เลี้ยงลูกให้ได้ดี ตอนที่ 93 : วัยรุ่น คือ อายุ 12-18 ปี ปัจจุบันด้วยคุณภาพอาหารและการปลุกเร้าของสังคมทำให้เด็กโตก้าวสู่วัยทีนเร็วขึ้นมาก ประมาณอายุ 10 ขวบ พูดง่ายๆว่าแก่แดดเร็วขึ้น พ่อแม่ขาลงหมดสิ้นซึ่งอำนาจวาสนาประมาณเวลานั้น เขาเป็นสิ่งมีชีวิตชนิดใหม่แล้ว
วัยทีนหรือวัยรุ่นเป็นการเกิดใหม่อีกครั้งของมนุษย์ หากเปรียบ5ปีแรกเป็นหนอน 5ปีถัดมาเป็นดักแด้ บัดนี้ลูกของเรากำลังกลายเป็นผีเสื้อแสนสวยพร้อมโบยบิน และพวกเขาก็รักสวยรักงามจริงๆด้วย ผีเสื้อไม่มีอะไรเหมือนหนอนเลย วัยรุ่นก็เช่นกัน เขาคือคนคนใหม่ ไม่ใช่ลูกน้อยที่เราเคยเห็นอีกแล้ว บ้านไหนยังทำกับเขาเหมือนเดิมจะลำบาก ท่องไว้ เขาเป็นมนุษย์คนใหม่แล้ว
เลี้ยงลูกไปทำไม คำตอบหนึ่งคือเพื่อให้เขาปีกกล้าขาแข็งบินไปจากเราได้ด้วยตนเอง มิใช่เป็นลูกแหง่ติดเราไปตลอดชีวิต ควรดีใจที่เขาแข็งแรงและบินได้
วัยรุ่นเปรียบเหมือนการเกิดใหม่ (resurrection) พวกเขาจะทำภารกิจทุกชนิดที่ทำไปแล้วระหว่าง10ขวบปีแรกอีกครั้งหนึ่ง แต่ครั้งนี้ด้วยระดับที่ลึกซึ้งขึ้น กว้างขวางขึ้น และเป็นนามธรรมมากขึ้น เรามาทบทวนภารกิจของทารก เด็กเล็กและเด็กโตที่เล่าให้ฟังตั้งแต่ตอนที่1อย่างรวดเร็วอีกรอบ
ทารก12เดือนแรกมีภารกิจสำคัญคือเรียนรู้ที่จะไว้วางใจ(trust) วางใจอะไร วางใจโลก เพื่อที่จะได้กล้าพัฒนาตนเองจากที่ติดแม่ไปจนถึงวันที่เตาะแตะไปจากอ้อมอกแม่ได้5-10ก้าว วัยรุ่นพิสูจน์ความสามารถที่จะไว้วางใจโลกและผู้คนอีกครั้งหนึ่ง รวมถึงมิตร ภยันตรายและสังคมวัฒนธรรมรอบตัว หากขวบปีแรกเขาสั่งสมความสามารถนี้น้อยเกินไป เราจะได้วัยรุ่นขี้หงอ ขี้กลัว ไม่กล้า และอาจจะถึงกับไม่ยอมไปไหน เพราะ distrust ไม่ไว้ใจใครหรืออะไร
เมื่อลูกอายุ 2-3 ขวบ เขาต้องค้นพบว่าตนเองทำอะไรได้บ้าง คือ 1. มีความสามารถจัดการตนเองได้
(autonomy) และ 2. มีความสามารถทำอะไรใหม่ๆได้ด้วย(initiation) ภายใต้กฎ กติกา มารยาทที่พ่อแม่และสังคมกำหนด วัยรุ่นจะแสดง 1. autonomy และ 2. initiation อีกรอบด้วยพฤติกรรมที่สร้างความปวดหัวแก่พ่อแม่มากกว่าครั้งอายุ 2-3 ขวบ ตอนนี้เขา 12-13 ขวบ แล้ว จะปล่อยเสื้อ นุ่งสั้น เจาะร่างกาย ใช้แบรนด์ ขี่มอเตอร์ไซค์ ไม่สวมหมวกกันน็อค ไปจนถึงสูบบุหรี่ กินเหล้า ใช้ยาเสพติด ฯลฯ
หากเราช่วยเขาภาคภูมิใจกับความสามารถของตนเองเมื่อ 2-3 ขวบ แต่ก็ควบคุมตนเองได้ด้วย เช่น ไม่เคาะช้อนบนโต๊ะอาหาร ทำตามกติกาสาธารณะ ความสามารถที่จะควบคุมตนเองนี้ก็จะติดตัวถึงวัยรุ่นเช่นกัน
2-3 ขวบ จัดการไม่ได้ 12-13 ขวบ จะไปเหลืออะไร
วัยทีนหรือวัยรุ่นเป็นการเกิดใหม่อีกครั้งของมนุษย์ หากเปรียบ5ปีแรกเป็นหนอน 5ปีถัดมาเป็นดักแด้ บัดนี้ลูกของเรากำลังกลายเป็นผีเสื้อแสนสวยพร้อมโบยบิน และพวกเขาก็รักสวยรักงามจริงๆด้วย ผีเสื้อไม่มีอะไรเหมือนหนอนเลย วัยรุ่นก็เช่นกัน เขาคือคนคนใหม่ ไม่ใช่ลูกน้อยที่เราเคยเห็นอีกแล้ว บ้านไหนยังทำกับเขาเหมือนเดิมจะลำบาก ท่องไว้ เขาเป็นมนุษย์คนใหม่แล้ว
เลี้ยงลูกไปทำไม คำตอบหนึ่งคือเพื่อให้เขาปีกกล้าขาแข็งบินไปจากเราได้ด้วยตนเอง มิใช่เป็นลูกแหง่ติดเราไปตลอดชีวิต ควรดีใจที่เขาแข็งแรงและบินได้
วัยรุ่นเปรียบเหมือนการเกิดใหม่ (resurrection) พวกเขาจะทำภารกิจทุกชนิดที่ทำไปแล้วระหว่าง10ขวบปีแรกอีกครั้งหนึ่ง แต่ครั้งนี้ด้วยระดับที่ลึกซึ้งขึ้น กว้างขวางขึ้น และเป็นนามธรรมมากขึ้น เรามาทบทวนภารกิจของทารก เด็กเล็กและเด็กโตที่เล่าให้ฟังตั้งแต่ตอนที่1อย่างรวดเร็วอีกรอบ
ทารก12เดือนแรกมีภารกิจสำคัญคือเรียนรู้ที่จะไว้วางใจ(trust) วางใจอะไร วางใจโลก เพื่อที่จะได้กล้าพัฒนาตนเองจากที่ติดแม่ไปจนถึงวันที่เตาะแตะไปจากอ้อมอกแม่ได้5-10ก้าว วัยรุ่นพิสูจน์ความสามารถที่จะไว้วางใจโลกและผู้คนอีกครั้งหนึ่ง รวมถึงมิตร ภยันตรายและสังคมวัฒนธรรมรอบตัว หากขวบปีแรกเขาสั่งสมความสามารถนี้น้อยเกินไป เราจะได้วัยรุ่นขี้หงอ ขี้กลัว ไม่กล้า และอาจจะถึงกับไม่ยอมไปไหน เพราะ distrust ไม่ไว้ใจใครหรืออะไร
เมื่อลูกอายุ 2-3 ขวบ เขาต้องค้นพบว่าตนเองทำอะไรได้บ้าง คือ 1. มีความสามารถจัดการตนเองได้
(autonomy) และ 2. มีความสามารถทำอะไรใหม่ๆได้ด้วย(initiation) ภายใต้กฎ กติกา มารยาทที่พ่อแม่และสังคมกำหนด วัยรุ่นจะแสดง 1. autonomy และ 2. initiation อีกรอบด้วยพฤติกรรมที่สร้างความปวดหัวแก่พ่อแม่มากกว่าครั้งอายุ 2-3 ขวบ ตอนนี้เขา 12-13 ขวบ แล้ว จะปล่อยเสื้อ นุ่งสั้น เจาะร่างกาย ใช้แบรนด์ ขี่มอเตอร์ไซค์ ไม่สวมหมวกกันน็อค ไปจนถึงสูบบุหรี่ กินเหล้า ใช้ยาเสพติด ฯลฯ
หากเราช่วยเขาภาคภูมิใจกับความสามารถของตนเองเมื่อ 2-3 ขวบ แต่ก็ควบคุมตนเองได้ด้วย เช่น ไม่เคาะช้อนบนโต๊ะอาหาร ทำตามกติกาสาธารณะ ความสามารถที่จะควบคุมตนเองนี้ก็จะติดตัวถึงวัยรุ่นเช่นกัน
2-3 ขวบ จัดการไม่ได้ 12-13 ขวบ จะไปเหลืออะไร
เลี้ยงลูกให้ได้ดี ตอนที่ 94 : วัยรุ่นเปรียบเหมือนการเกิดใหม่อีกครั้งหนึ่ง เมื่อลูก 3 ขวบ เขาต้องมีตัวตน(self) เขาจะใช้ตัวตนนี้เป็นประธานของประโยคในชีวิตที่เหลือนับจากนั้น ไปเรียนหนังสือ ไปคบเพื่อน ไปจากบ้าน ฯลฯ ไม่มีตัวตนก็ไม่มีชีวิต เป็นสิ่งมีชีวิตที่หายใจได้แต่ภายในจิตใจนั้นกลวงโบ๋
เมื่อลูกถึงวัยรุ่น ชีวิตที่กลวงโบ๋คือชีวิตที่ว่างเปล่า ไม่มีชีวิตให้ใช้ ไม่มีประธานของประโยค ไม่รู้จะเอาอะไรไปจีบแฟน ไม่รู้จะเอาอะไรไปคิดถึงการงานอาชีพในอนาคต ไม่มีเป้าหมายของชีวิต ไม่มีแม้แต่ชีวิตให้รัก จะใช้พฤติกรรมเสี่ยงก็ไม่รู้ว่าชีวิตกำลังเสี่ยงทั้งที่มีความรู้ว่ายาเสพติดแปลว่าอะไรหรือเอชไอวีติดต่ออย่างไรหรือตั้งครรภ์ตอนเรียนหนังสือแปลว่าอะไร แต่ชีวิตนั้นไม่เคยมี รู้ทั้งรู้ก็ทำ
เมื่อลูกถึงวัยรุ่น ชีวิตที่กลวงโบ๋คือชีวิตที่ว่างเปล่า ไม่มีชีวิตให้ใช้ ไม่มีประธานของประโยค ไม่รู้จะเอาอะไรไปจีบแฟน ไม่รู้จะเอาอะไรไปคิดถึงการงานอาชีพในอนาคต ไม่มีเป้าหมายของชีวิต ไม่มีแม้แต่ชีวิตให้รัก จะใช้พฤติกรรมเสี่ยงก็ไม่รู้ว่าชีวิตกำลังเสี่ยงทั้งที่มีความรู้ว่ายาเสพติดแปลว่าอะไรหรือเอชไอวีติดต่ออย่างไรหรือตั้งครรภ์ตอนเรียนหนังสือแปลว่าอะไร แต่ชีวิตนั้นไม่เคยมี รู้ทั้งรู้ก็ทำ
เมื่อลูก3ขวบ หันหลังกลับไปก็ต้องเห็นแม่คือแม่นั้นมีอยู่จริงๆ(mother exist) และมีสะพาน หรือสายสัมพันธ์ (attachment) ให้กลับไปหาอ้อมกอดแม่ได้ตลอดเวลา แม่มีจริง ไม่ได้หลอก มีอยู่จริงๆ
เมื่อลูกวัยรุ่น แม่กลายเป็นนามธรรม (abstract) หันกลับไปไม่ต้องเห็นก็ได้แต่เห็น "ความรัก" "ความห่วงใย" "ความคาดหวัง" "คำสั่งสอน" สะพานนั้นหายไปแล้ว สายสัมพันธ์กลายเป็นนามธรรม ไม่มีระยะทางและเวลา นั่นคือแม่อยู่ในใจ ไปไหนไปกัน
เมื่อลูกวัยรุ่น แม่กลายเป็นนามธรรม (abstract) หันกลับไปไม่ต้องเห็นก็ได้แต่เห็น "ความรัก" "ความห่วงใย" "ความคาดหวัง" "คำสั่งสอน" สะพานนั้นหายไปแล้ว สายสัมพันธ์กลายเป็นนามธรรม ไม่มีระยะทางและเวลา นั่นคือแม่อยู่ในใจ ไปไหนไปกัน
เมื่อลูก3ขวบเขาสร้างตัวตนภายในคือselfเรียบร้อย เมื่อลูกวัยรุ่นเขาสร้างตัวตนภายนอกอีกทีเรียกว่าอัตลักษณ์คือ identity กูคือใคร การสร้างอัตลักษณ์ดำเนินไปจากอายุ 12-18 ปี ในที่สุดจะได้สิ่งที่เรียกว่าบุคลิกภาพคือ personality จะเดินจะนั่งจะพูดก็มีจริตและท่าทางของตัวเอง จะไปลงคอร์สฝึกบุคลิกภาพที่ไหนก็ได้ของหมูๆ แต่ข้างในมีตัวตนหรืออัตลักษณ์เป็นอย่างไรเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
เวลาของพ่อแม่หมดอย่างสิ้นเชิงแล้ว นับจากนี้เขาเป็นผู้ใหญ่คือadult เป็นบุคคลอิสระพร้อมจะไปทุกที่ด้วยตนเองอย่างแท้จริง
เวลาของพ่อแม่หมดอย่างสิ้นเชิงแล้ว นับจากนี้เขาเป็นผู้ใหญ่คือadult เป็นบุคคลอิสระพร้อมจะไปทุกที่ด้วยตนเองอย่างแท้จริง
แม้แต่ลูกแฝดที่พันธุกรรมเหมือนกันทุกประการ วิธีเลี้ยงดูและสิ่งแวดล้อมที่พวกเขาเผชิญจะเป็นผู้กำหนด ตัวตน-อัตลักษณ์-บุคลิกภาพ ผลลัพธ์สุดท้าย ไม่เหมือนกัน
เลี้ยงลูกให้ได้ดี ตอนที่ 95 : วัยรุ่นเปรียบเหมือนการเกิดใหม่ เขาต้องทำภารกิจที่เคยทำครั้งเด็กเล็กอีกครั้ง เพื่อการเปลี่ยนผ่านเป็นผู้ใหญ่
โปรแกรมทางเพศถูกติดตั้งรอแล้วในพันธุกรรม เด็กๆจะลงโปรแกรมครั้งแรกเมื่ออายุ 4-5 ขวบ โดยใช้พ่อแม่เป็นต้นแบบบางส่วน การเลี้ยงดูของพ่อแม่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง หลังจาก6ขวบเขาจะเข้าสู่ระบบโรงเรียน เลิกสนใจเรื่องเพศ สนใจเพื่อนและกลุ่มเพื่อนมากกว่า จนกระทั่งอายุ12เมื่อฮอร์โมนเพศหลั่ง ถึงตอนนี้เขาเป็น MF หรือ LGBT อย่างใดอย่างหนึ่ง
มนุษย์มิได้มีเพียง Male Female ยังมี Lesbian Gay Bisexual Transexual เลสเบียนและเกย์ยังแยกย่อยเป็นอีกอย่างละสอง รวมเป็น "อย่างน้อย" 8
มนุษย์มิได้มีเพียง Male Female ยังมี Lesbian Gay Bisexual Transexual เลสเบียนและเกย์ยังแยกย่อยเป็นอีกอย่างละสอง รวมเป็น "อย่างน้อย" 8
เมื่อเด็กอายุ 6-10 ขวบ เขาไป รร พบเพื่อน ทะเลาะ-ดีกัน-ช่วยกัน พอเป็นวัยรุ่น เขาขึ้นชั้นมัธยมและไปมหาวิทยาลัยพบเพื่อน แต่ด้วยโฟกัสที่เปลี่ยนไป เป็นเวลาที่เขาได้ฝึกมีปฏิสัมพันธ์กับMFและLGBT
เมื่อเป็นเด็กเล็ก 0-7 ขวบ เขากลัวแม่ทิ้ง เมื่อเป็นเด็กโต 7-14 ปี เขากลัวเพื่อนทิ้ง เมื่อเป็นวัยรุ่น 14-21 ปี เขากลัวแฟนทิ้ง
เมื่อพ้นวัยรุ่น ทุกอย่างควรพร้อมแล้ว ทั้งตัวตน (self) เพศวิถี (sexuality) อัตลักษณ์ (identity) และบุคลิกภาพ (personality)
เลี้ยงลูกให้ได้ดีตอนที่ 96 : เกือบจะพ้นวัยรุ่นแล้ว ก่อนจะพ้นวัยรุ่น เมื่ออัตลักษณ์และบุคลิกภาพค่อนข้างจะเรียบร้อย ในทางสังคมเขายังมีอีก2ภารกิจที่ต้องเตรียมการคือ 1. มองหาความถนัดของตนเพื่อเตรียมหาอาชีพ 2. มองหาแฟน (รู้ตัวรึยังว่าเราตกกระป๋องไปพักใหญ่แล้ว)
ภารกิจข้อแรกเป็นเรื่องที่พ่อแม่คาดหวัง แต่เด็กไทยมักไม่ชัดว่าตนเองชอบอะไรหรืออยากทำอะไรกิน ต่อให้ชัดก็มักทำตามใจตนไม่ได้เพราะต้องเลือกเรียนตามความคาดหวังของพ่อแม่ หรือความคาดหวังของสังคมมากกว่า
ความสามารถในการมองเห็นความถนัดของตนเองและล่วงรู้ว่าตนเองชอบอะไรรักอะไรอยากเป็นอะไรและอยากทำมาหากินอะไรควรเกิดควบคู่กับ passion คือความหลงใหลคลั่งไคล้ในงานที่รัก เหล่านี้เกิดจากระบบการศึกษาที่เปิดโอกาสให้นักเรียนทำกิจกรรมกลุ่มอย่างหลากหลายต่อเนื่องยาวนานด้วยโจทย์ปัญหา (PBL) ที่สัมพันธ์กับชุมชนหรือสังคม การแบ่งหน้าที่ทำงานอย่างหลากหลายตลอด12ปีของการศึกษาขั้นพื้นฐานป1ถึงม6จะช่วยก่อร่างความหลงใหลและความสามารถควบคู่กัน มิใช่หลงใหลเสียเปล่าแต่ไร้ฝีมือ
ความสามารถที่จะรู้ว่าตนเองอยากเรียนอะไรแน่ๆไม่ได้เกิดจากชั่วโมงแนะแนว และไม่สามารถจะเกิดได้ในการศึกษาแบบตัวใครตัวมันโดยไม่มีเวลาฝึกปรือทักษะต่างๆ (อ่าน การศึกษาสมัยใหม่ ตอนที่1-30)
เป็นเรื่องจริง ที่เด็กๆในหลายประเทศที่พัฒนาแล้วเลือกเรียนตาม passion และเขาจะทำได้ดีที่สุด ทั้งต่อตนเองและประเทศชาติ และไม่มีอัตราการเปลี่ยนสาขากลางคันสูงลิ่วเท่าบ้านเรา
ภารกิจที่2คือหาแฟน ฝึกทักษะการคบเพื่อนต่างเพศวิถี แล้วเคลื่อนตัวเข้าสู่วัยผู้ใหญ่คือ adult ต่อไป
ภารกิจข้อแรกเป็นเรื่องที่พ่อแม่คาดหวัง แต่เด็กไทยมักไม่ชัดว่าตนเองชอบอะไรหรืออยากทำอะไรกิน ต่อให้ชัดก็มักทำตามใจตนไม่ได้เพราะต้องเลือกเรียนตามความคาดหวังของพ่อแม่ หรือความคาดหวังของสังคมมากกว่า
ความสามารถในการมองเห็นความถนัดของตนเองและล่วงรู้ว่าตนเองชอบอะไรรักอะไรอยากเป็นอะไรและอยากทำมาหากินอะไรควรเกิดควบคู่กับ passion คือความหลงใหลคลั่งไคล้ในงานที่รัก เหล่านี้เกิดจากระบบการศึกษาที่เปิดโอกาสให้นักเรียนทำกิจกรรมกลุ่มอย่างหลากหลายต่อเนื่องยาวนานด้วยโจทย์ปัญหา (PBL) ที่สัมพันธ์กับชุมชนหรือสังคม การแบ่งหน้าที่ทำงานอย่างหลากหลายตลอด12ปีของการศึกษาขั้นพื้นฐานป1ถึงม6จะช่วยก่อร่างความหลงใหลและความสามารถควบคู่กัน มิใช่หลงใหลเสียเปล่าแต่ไร้ฝีมือ
ความสามารถที่จะรู้ว่าตนเองอยากเรียนอะไรแน่ๆไม่ได้เกิดจากชั่วโมงแนะแนว และไม่สามารถจะเกิดได้ในการศึกษาแบบตัวใครตัวมันโดยไม่มีเวลาฝึกปรือทักษะต่างๆ (อ่าน การศึกษาสมัยใหม่ ตอนที่1-30)
เป็นเรื่องจริง ที่เด็กๆในหลายประเทศที่พัฒนาแล้วเลือกเรียนตาม passion และเขาจะทำได้ดีที่สุด ทั้งต่อตนเองและประเทศชาติ และไม่มีอัตราการเปลี่ยนสาขากลางคันสูงลิ่วเท่าบ้านเรา
ภารกิจที่2คือหาแฟน ฝึกทักษะการคบเพื่อนต่างเพศวิถี แล้วเคลื่อนตัวเข้าสู่วัยผู้ใหญ่คือ adult ต่อไป
เลี้ยงลูกให้ได้ดีตอนที่ 97 : พ้นจากวัยรุ่นคือผู้ใหญ่ หรือ adult ในทางจิตวิทยาสังคมแบ่งเป็น 2 ช่วง คือ ช่วงต้นอายุ 18-35 ปี ช่วงปลายอายุ 35-55 ปี
adult หรือผู้ใหญ่ที่แท้กำหนดด้วยพฤติกรรม มิใช่กำหนดด้วยตัวเลขอายุ บางคนใหญ่แต่ตัว อะไรก็ไม่เป็นโล้เป็นพาย เช่นนี้มิใช่ adult วัยรุ่นบางคนเพิ่งจะ18แต่ก็มีความคิดอ่านและรับผิดชอบการงานเหมือน adult
วัยผู้ใหญ่ตอนต้นมีภารกิจทางจิตวิทยาที่สำคัญและควรทำให้ลุล่วงคือ intimacy หมายถึงการหลอมรวมเป็นหนึ่งหรือ intimate กับใครบางคน นี่มิใช่ความหมายของการแต่งงานตามจารีตแต่หมายถึงการมีคนรักหรือเพื่อนที่รักอย่างแท้จริง
การรวมเป็นหนึ่งหรือ intimate นี้ทำให้เราพัฒนาตนเองหรืออีโก (ego)ไปอีกระดับหนึ่งเพราะในกรณีเช่นนี้ 1+1 มากกว่า 2 แต่ในขณะเดียวกันเราก็ไม่สูญเสียอีโกของตนเองไป ยังเป็นคน และยังเป็นเรา ด้วยนัยยะนี้คนที่แต่งงานแล้วแต่สูญเสียความเป็นตัวเองให้แก่ชีวิตสมรสก็มิใช่ intimate
การหลอมรวมเป็นหนึ่งหรือ intimacy นี้ อาจจะหมายความเพียงร่างกายคือมีเพศสัมพันธ์และ orgasm หรือทางสังคมคือการแต่งงาน ทางจิตใจคือขอบเขตของอีโกหรือ ego boundary ขยายอาณาเขตกว้างขวาง หรือทางจิตวิญญาณ หรือ spirituality สามารถตีความได้ เสรีนิยม มาร์คซิสต์ เฟมินิสต์ และศรัทธาในศาสนาไปจนถึงคลั่งศาสนาตีความต่างกัน
ที่คาดหวังน่าจะเป็นการหลอมรวมทางจิตใจคือขอบเขตของอีโกขยายอาณาเขตกว้างขวางเพื่อเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ตอนปลายต่อไป
adult หรือผู้ใหญ่ที่แท้กำหนดด้วยพฤติกรรม มิใช่กำหนดด้วยตัวเลขอายุ บางคนใหญ่แต่ตัว อะไรก็ไม่เป็นโล้เป็นพาย เช่นนี้มิใช่ adult วัยรุ่นบางคนเพิ่งจะ18แต่ก็มีความคิดอ่านและรับผิดชอบการงานเหมือน adult
วัยผู้ใหญ่ตอนต้นมีภารกิจทางจิตวิทยาที่สำคัญและควรทำให้ลุล่วงคือ intimacy หมายถึงการหลอมรวมเป็นหนึ่งหรือ intimate กับใครบางคน นี่มิใช่ความหมายของการแต่งงานตามจารีตแต่หมายถึงการมีคนรักหรือเพื่อนที่รักอย่างแท้จริง
การรวมเป็นหนึ่งหรือ intimate นี้ทำให้เราพัฒนาตนเองหรืออีโก (ego)ไปอีกระดับหนึ่งเพราะในกรณีเช่นนี้ 1+1 มากกว่า 2 แต่ในขณะเดียวกันเราก็ไม่สูญเสียอีโกของตนเองไป ยังเป็นคน และยังเป็นเรา ด้วยนัยยะนี้คนที่แต่งงานแล้วแต่สูญเสียความเป็นตัวเองให้แก่ชีวิตสมรสก็มิใช่ intimate
การหลอมรวมเป็นหนึ่งหรือ intimacy นี้ อาจจะหมายความเพียงร่างกายคือมีเพศสัมพันธ์และ orgasm หรือทางสังคมคือการแต่งงาน ทางจิตใจคือขอบเขตของอีโกหรือ ego boundary ขยายอาณาเขตกว้างขวาง หรือทางจิตวิญญาณ หรือ spirituality สามารถตีความได้ เสรีนิยม มาร์คซิสต์ เฟมินิสต์ และศรัทธาในศาสนาไปจนถึงคลั่งศาสนาตีความต่างกัน
ที่คาดหวังน่าจะเป็นการหลอมรวมทางจิตใจคือขอบเขตของอีโกขยายอาณาเขตกว้างขวางเพื่อเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ตอนปลายต่อไป
เลี้ยงลูกให้ได้ดีตอนที่ 98 : หน้าที่ทางจิตวิทยาของวัยผู้ใหญ่ตอนปลาย 35-55 ปีคือ Generativity หมายถึง generate หรือสร้างผลผลิตบางอย่างให้แก่สังคม อาจจะเป็นบุตรหรือผลผลิตอื่นหรือประโยชน์สาธารณะ
วัฒนธรรมเป็นส่วนกำหนดว่าคนเราควรมีผลผลิตอะไร บางวัฒนธรรมกดดันเรื่องต้องมีบุตรแต่บางวัฒนธรรมก็ไม่ การสร้างประโยชน์สาธารณะมีความสำคัญมากกว่า
หลังจากมีคู่หรือเพื่อนรู้ใจแล้ว อีโกขยายอาณาเขตออกไปอย่างกว้างขวาง เป็นเวลาที่คนเรามีพลังจะสร้างสรรค์ผลผลิตแก่สังคมมากที่สุด สร้างครอบครัว ฐานะและชื่อเสียง เพื่อ generate ออกไป ย้ำอีกครั้ง ครอบครัวมิได้แปลว่าต้องมีบุตร
วัยนี้ หลายคนทำตามหน้าที่ทางจิตวิทยา ทำงานเต็มกำลังเพื่อครอบครัวและผู้อื่น หลายคนไม่ทำมัวแต่หาเงินอย่างเดียวไม่ใส่ใจเรื่องอื่น กว่าจะถึงเวลาเกษียณจากงานก็สายเสียแล้ว มาขวนขวายทำในบั้นปลายอย่างไรก็จะ "ไม่อิ่ม" กลายเป็นคนชราทำเกินหน้าที่ไปเสียก็มาก
วัฒนธรรมเป็นส่วนกำหนดว่าคนเราควรมีผลผลิตอะไร บางวัฒนธรรมกดดันเรื่องต้องมีบุตรแต่บางวัฒนธรรมก็ไม่ การสร้างประโยชน์สาธารณะมีความสำคัญมากกว่า
หลังจากมีคู่หรือเพื่อนรู้ใจแล้ว อีโกขยายอาณาเขตออกไปอย่างกว้างขวาง เป็นเวลาที่คนเรามีพลังจะสร้างสรรค์ผลผลิตแก่สังคมมากที่สุด สร้างครอบครัว ฐานะและชื่อเสียง เพื่อ generate ออกไป ย้ำอีกครั้ง ครอบครัวมิได้แปลว่าต้องมีบุตร
วัยนี้ หลายคนทำตามหน้าที่ทางจิตวิทยา ทำงานเต็มกำลังเพื่อครอบครัวและผู้อื่น หลายคนไม่ทำมัวแต่หาเงินอย่างเดียวไม่ใส่ใจเรื่องอื่น กว่าจะถึงเวลาเกษียณจากงานก็สายเสียแล้ว มาขวนขวายทำในบั้นปลายอย่างไรก็จะ "ไม่อิ่ม" กลายเป็นคนชราทำเกินหน้าที่ไปเสียก็มาก
เลี้ยงลูกให้ได้ดี ตอนที่ 99 : วัยชรา
เมื่อคนคนหนึ่ง ขวบปีแรกเรียนรู้ที่จะไว้ใจโลกแล้ว ขวบปีที่ 2-3 พบว่า โลกนี้มีแม่ สร้างสายสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับแม่ตลอดกาลนาน มีตัวตนที่แจ่มชัดแล้ว อายุ 4-5 ขวบมีเพศ อายุ 6-10 ขวบ ได้ทะเลาะกับเพื่อน คืนดีกันและทำงานด้วยกัน วัยรุ่นมีอัตลักษณ์ รู้ชัดว่ากูเป็นใคร 20-35 ปี มีเพื่อนคู่ใจหรือแต่งงาน 35-55 ปี ได้สร้างผลผลิตฝากไว้แก่โลกที่ตนเองเกิดมา เมื่อเข้าสู่วัยชรา จึงเป็นวัยที่ "อิ่ม" เรียกว่า Integrity ความมั่นคง
ในทางตรงข้าม คนเข้าใกล้วัยสูงอายุหรือสูงอายุยังระแวงโลก ไม่มีรากคือพ่อแม่ (ซึ่งตายหมดแล้ว) ไม่มีความผูกพัน ไม่มีตัวเอง ไม่มีเพื่อนคู่ใจ หรือไม่มีคู่ชีวิต ไม่เคยสร้างผลผลิตอะไรให้แก่โลก จะรู้สึกสิ้นหวัง แม้จะพยายามสร้างชื่อเสียงเมื่อแก่แล้วหรือรวยแล้วก็ไม่มีความหมาย (ในใจ) มากนัก ทำอย่างไรก็ไม่อิ่ม เรียกว่า Despair หลายครั้งยิ่งทำมากยิ่งรกรุงรังทั้งแก่ตนเองและผู้อื่น
ตอนที่ตนเองอายุ 35-55 ปี คือ วัยผู้ใหญ่ตอนปลายจึงเป็นวัยที่ควรทำงาน หาเงิน แต่ก็สร้างผลผลิตแก่ส่วนรวมด้วย มิใช่หาเงินอย่างเดียว ตอนแก่จะอิ่ม(ใจ) และมีความสุข
ตอนที่พ่อแม่ทุกบ้านอายุ 35-55 ปี (คือบางท่านที่กำลังอ่านตอนนี้) อย่าลืมว่าลูกอายุ 25-35 ปี (คือบางท่านที่กำลังอ่านตอนนี้) พ่อแม่ และ ลูก บัดนี้ได้เคลื่อนตัวเข้ามาอยู่ในวัยผู้ใหญ่ด้วยกันแล้ว จากเดิมเราอยู่คนละช่วงวัยกันมาโดยตลอด ดังนั้นปฏิบัติต่อลูกด้วยความเคารพ และให้เกียรติเสมือนหนึ่งผู้ใหญ่ที่เท่ากัน ลูกๆจะเคารพท่านยิ่งกว่า
ตอนที่คนเราอายุ 35-55 ปี จะมีเวลาและความสามารถไปสร้างผลผลิตให้แก่สังคมได้รวมทั้งสามารถปฏิบัติต่อลูกด้วยการให้เกียรติและเคารพได้ ลูกๆต้องเรียบร้อยดีตามสมควร มีพัฒนาการมาถึงจุดที่เขาเป็นผู้ใหญ่ที่ดีน่าเคารพ หากลูกยังไม่ได้เรื่อง แม้กระทั่งเมื่อเราแก่แล้วเข้าสู่วัยชรา ลูกก็ยังไม่ได้เรื่อง เช่นนี้ก็ไม่อิ่ม สิ้นหวัง และไม่สงบเช่นกัน
คนแก่ที่อิ่ม คือคนแก่ที่มั่นคง และสามารถตายในบ้านที่ตนเองสร้างมากับมือ หรืออยู่มาทั้งชีวิต ท่ามกลางลูกหลานหรือคนรู้ใจ จึงเป็นสุดยอดของ Integrity ไม่มีอะไรจะสุข สงบ และหมดลมหายใจอย่างดีไปกว่านี้อีกแล้ว
ในขณะที่ตอนต้นบทความชุดนี้เขียนว่า เมื่อลูกเกิดใหม่ คุณแม่ห้ามตาย ถึงตอนก่อนอวสานแล้ว คุณแม่(และพ่อ)มีหน้าที่ตาย
โลกสมัยใหม่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง 2 ประการ ประการแรกคือคนสูงอายุอายุยืนยาวมากขึ้นไม่ยอมตาย หลายครั้งยืนยาวจนกระทั่งเกินจุดอิ่ม สังขารเสื่อมจนไม่รู้จักตนเองหรือสร้างความเบื่อหน่ายแก่ลูกหลานและสังคมโดยไม่รู้ตัว ประการสองคือคนสูงอายุมักตายด้วยท่อหายใจ ท่อมอนิเตอร์หัวใจ ท่อน้ำเกลือ ท่ออาหาร และท่อปัสสาวะ รวม 5 ท่อ ไม่รวมสายเดรนของเสียหรือสิ่งคัดหลั่งจากช่องปอดหรือช่องท้อง (ถ้ามี) ในโรงพยาบาลท่ามกลางคนแปลกหน้าอย่างเปลี่ยวเหงาระคนน่ากลัว และเจ็บตัวเป็นเดือน บ้างเป็นปี ก่อนที่จะตายอย่างทนทุกข์ทรมานและไม่สงบ แม้จะอ่านประวัติในงานศพว่าสงบก็ตาม
ตอนต่อไป ตอนอวสาน
เมื่อคนคนหนึ่ง ขวบปีแรกเรียนรู้ที่จะไว้ใจโลกแล้ว ขวบปีที่ 2-3 พบว่า โลกนี้มีแม่ สร้างสายสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับแม่ตลอดกาลนาน มีตัวตนที่แจ่มชัดแล้ว อายุ 4-5 ขวบมีเพศ อายุ 6-10 ขวบ ได้ทะเลาะกับเพื่อน คืนดีกันและทำงานด้วยกัน วัยรุ่นมีอัตลักษณ์ รู้ชัดว่ากูเป็นใคร 20-35 ปี มีเพื่อนคู่ใจหรือแต่งงาน 35-55 ปี ได้สร้างผลผลิตฝากไว้แก่โลกที่ตนเองเกิดมา เมื่อเข้าสู่วัยชรา จึงเป็นวัยที่ "อิ่ม" เรียกว่า Integrity ความมั่นคง
ในทางตรงข้าม คนเข้าใกล้วัยสูงอายุหรือสูงอายุยังระแวงโลก ไม่มีรากคือพ่อแม่ (ซึ่งตายหมดแล้ว) ไม่มีความผูกพัน ไม่มีตัวเอง ไม่มีเพื่อนคู่ใจ หรือไม่มีคู่ชีวิต ไม่เคยสร้างผลผลิตอะไรให้แก่โลก จะรู้สึกสิ้นหวัง แม้จะพยายามสร้างชื่อเสียงเมื่อแก่แล้วหรือรวยแล้วก็ไม่มีความหมาย (ในใจ) มากนัก ทำอย่างไรก็ไม่อิ่ม เรียกว่า Despair หลายครั้งยิ่งทำมากยิ่งรกรุงรังทั้งแก่ตนเองและผู้อื่น
ตอนที่ตนเองอายุ 35-55 ปี คือ วัยผู้ใหญ่ตอนปลายจึงเป็นวัยที่ควรทำงาน หาเงิน แต่ก็สร้างผลผลิตแก่ส่วนรวมด้วย มิใช่หาเงินอย่างเดียว ตอนแก่จะอิ่ม(ใจ) และมีความสุข
ตอนที่พ่อแม่ทุกบ้านอายุ 35-55 ปี (คือบางท่านที่กำลังอ่านตอนนี้) อย่าลืมว่าลูกอายุ 25-35 ปี (คือบางท่านที่กำลังอ่านตอนนี้) พ่อแม่ และ ลูก บัดนี้ได้เคลื่อนตัวเข้ามาอยู่ในวัยผู้ใหญ่ด้วยกันแล้ว จากเดิมเราอยู่คนละช่วงวัยกันมาโดยตลอด ดังนั้นปฏิบัติต่อลูกด้วยความเคารพ และให้เกียรติเสมือนหนึ่งผู้ใหญ่ที่เท่ากัน ลูกๆจะเคารพท่านยิ่งกว่า
ตอนที่คนเราอายุ 35-55 ปี จะมีเวลาและความสามารถไปสร้างผลผลิตให้แก่สังคมได้รวมทั้งสามารถปฏิบัติต่อลูกด้วยการให้เกียรติและเคารพได้ ลูกๆต้องเรียบร้อยดีตามสมควร มีพัฒนาการมาถึงจุดที่เขาเป็นผู้ใหญ่ที่ดีน่าเคารพ หากลูกยังไม่ได้เรื่อง แม้กระทั่งเมื่อเราแก่แล้วเข้าสู่วัยชรา ลูกก็ยังไม่ได้เรื่อง เช่นนี้ก็ไม่อิ่ม สิ้นหวัง และไม่สงบเช่นกัน
คนแก่ที่อิ่ม คือคนแก่ที่มั่นคง และสามารถตายในบ้านที่ตนเองสร้างมากับมือ หรืออยู่มาทั้งชีวิต ท่ามกลางลูกหลานหรือคนรู้ใจ จึงเป็นสุดยอดของ Integrity ไม่มีอะไรจะสุข สงบ และหมดลมหายใจอย่างดีไปกว่านี้อีกแล้ว
ในขณะที่ตอนต้นบทความชุดนี้เขียนว่า เมื่อลูกเกิดใหม่ คุณแม่ห้ามตาย ถึงตอนก่อนอวสานแล้ว คุณแม่(และพ่อ)มีหน้าที่ตาย
โลกสมัยใหม่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง 2 ประการ ประการแรกคือคนสูงอายุอายุยืนยาวมากขึ้นไม่ยอมตาย หลายครั้งยืนยาวจนกระทั่งเกินจุดอิ่ม สังขารเสื่อมจนไม่รู้จักตนเองหรือสร้างความเบื่อหน่ายแก่ลูกหลานและสังคมโดยไม่รู้ตัว ประการสองคือคนสูงอายุมักตายด้วยท่อหายใจ ท่อมอนิเตอร์หัวใจ ท่อน้ำเกลือ ท่ออาหาร และท่อปัสสาวะ รวม 5 ท่อ ไม่รวมสายเดรนของเสียหรือสิ่งคัดหลั่งจากช่องปอดหรือช่องท้อง (ถ้ามี) ในโรงพยาบาลท่ามกลางคนแปลกหน้าอย่างเปลี่ยวเหงาระคนน่ากลัว และเจ็บตัวเป็นเดือน บ้างเป็นปี ก่อนที่จะตายอย่างทนทุกข์ทรมานและไม่สงบ แม้จะอ่านประวัติในงานศพว่าสงบก็ตาม
ตอนต่อไป ตอนอวสาน
เลี้ยงลูกให้ได้ตอนที่ 100 : มนุษย์มีข้อยกเว้นได้เสมอ แต่ส่วนใหญ่ไม่มีข้อยกเว้น การเลี้ยงลูกและพัฒนาการของลูกมีหลักการทั่วไปไม่มาก เพียงทำตามก็ประกันผลลัพธ์สุดท้ายได้ระดับหนึ่ง หากไม่ทำเพราะเหตุใดก็ตามก็อาจจะมีข้อยกเว้นหรือสิ่งมหัศจรรย์ได้บ้างแบบในหนังฮอลลีวู้ด แต่ส่วนใหญ่ไม่มี
ปิรามิดอยู่มาได้ 5000 ปีเ พราะฐานแข็งแรง ลูกๆก็เช่นกัน จะแข็งแรงและพุ่งยอดขึ้นไปได้เรื่อยๆเพราะฐานที่ดี คนเราเหนื่อยได้ ท้อได้ พักได้ นอนได้ พยายามฆ่าตัวตายก็มี แต่ไม่มีวันล้ม รู้สติก็จะลุกขึ้นยืนอีกครั้งเสมอ ไม่มีวันล้ม เราอยากได้ลูกแบบนั้น
นอกจากไม่มีวันล้มแล้วเราอยากให้เขามีเป้าหมายในอนาคตที่เขากำหนดไว้แล้วเดินทางไป คือฐานทีละชั้นๆของปิรามิดที่เขาจะค่อยๆสร้าง ไม่มีทางลัดและไม่มีการข้ามขั้นอีกทั้งไม่จำเป็นต้องใช้ทางลัดแม้กระทั่งห้ามใช้ทางลัด ค่อยๆสร้างความสามารถทีละชั้นไปตามลำดับชั้นพัฒนาการตามที่เล่ามาตั้งแต่ตอนที่ 1-99 อย่างสั้นๆ
รายละเอียดเป็นเรื่องของแต่ละบ้าน พ่อแม่เป็นผู้ตัดสินใจ ผิดบ้างถูกบ้างมิใช่เรื่องควรกังวล หลักการใหญ่ๆโอเค ชีวิตก็โอเค มีทางไปได้เสมอ
ปิรามิดอยู่มาได้ 5000 ปีเ พราะฐานแข็งแรง ลูกๆก็เช่นกัน จะแข็งแรงและพุ่งยอดขึ้นไปได้เรื่อยๆเพราะฐานที่ดี คนเราเหนื่อยได้ ท้อได้ พักได้ นอนได้ พยายามฆ่าตัวตายก็มี แต่ไม่มีวันล้ม รู้สติก็จะลุกขึ้นยืนอีกครั้งเสมอ ไม่มีวันล้ม เราอยากได้ลูกแบบนั้น
นอกจากไม่มีวันล้มแล้วเราอยากให้เขามีเป้าหมายในอนาคตที่เขากำหนดไว้แล้วเดินทางไป คือฐานทีละชั้นๆของปิรามิดที่เขาจะค่อยๆสร้าง ไม่มีทางลัดและไม่มีการข้ามขั้นอีกทั้งไม่จำเป็นต้องใช้ทางลัดแม้กระทั่งห้ามใช้ทางลัด ค่อยๆสร้างความสามารถทีละชั้นไปตามลำดับชั้นพัฒนาการตามที่เล่ามาตั้งแต่ตอนที่ 1-99 อย่างสั้นๆ
รายละเอียดเป็นเรื่องของแต่ละบ้าน พ่อแม่เป็นผู้ตัดสินใจ ผิดบ้างถูกบ้างมิใช่เรื่องควรกังวล หลักการใหญ่ๆโอเค ชีวิตก็โอเค มีทางไปได้เสมอ
ที่มา :: น.พ.ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น